วันต่อมา...
งานแต่งงานจัดขึ้นที่สกุลจ้าว เนื่องจากหลันถังนั้นไร้ญาติสนิทมิตรสหาย เธอจึงเดินออกมาขึ้นรถไปบ้านเจ้าบ่าวด้วยตัวเอง
ร่างหญิงสาวในชุดแต่งงานสีแดงสวมผ้าคลุมหน้าเดินลงมาจากรถ คุณนายจ้าวยังแอบให้คนเปิดผ้าคลุมหน้าของหญิงสาวขึ้นเล็กน้อย เพื่อดูว่าเป็นหลันถังตัวจริงรึไม่
เพราะถ้ามีการเปลี่ยนตัวหรือสับเปลี่ยนเจ้าสาว เธอจะได้รีบโวยวายขึ้นเพื่อหักหน้าลูกเลี้ยง แต่พอเห็นว่าเป็นตัวจริงจึงได้ปล่อยให้จ้าวเทียนซวี่รับเจ้าสาวเข้าไปในงาน
งานแต่งครั้งนี้ค่อนข้างเรียบง่ายเหลือเกินเนื่องจากไม่มีญาติฝ่ายเจ้าสาวเลยสักคน เพราะว่าไม่มีใครกล้ามายุ่งกับสกุลหลันในตอนนี้ ไม่ว่าคนคนนั้นจะมีอำนาจหรือไม่ พวกเขาไม่อยากโดนหางเลขไปด้วย
ส่วนด้านฝ่ายเจ้าบ่าวนั้นมีสหายข้างบ้านมาร่วมงานเพียงไม่กี่คนเช่นกัน เรื่องนี้บ่งบอกได้ว่านายท่านจ้าวไม่ได้ให้ความสำคัญกับการแต่งงานครั้งนี้ของลูกชายคนโตเลย แม้จะจัดงานอย่างเอิกเกริกให้ผู้คนรับรู้ก็ตามที
แต่ทว่าพวกเขาไม่ใส่ใจถึงขนาดที่จะชวนแขกเหรื่อที่มีหน้ามีตามาเลยด้วยซ้ำ สาเหตุที่เพื่อนบ้านมางานนี้ไม่ใช่เพราะความเคารพต่อตระกูลจ้าวแต่ที่มาก็เพื่อกินอาหารในงานแต่งเท่านั้น ทำให้สีหน้าพ่อแม่เจ้าบ่าวยิ่งไม่ดี
พิธีคำนับฟ้าดิน บรรพบุรุษ พ่อแม่ และคู่บ่าวสาวดำเนินไปอย่างเรียบร้อย ทั้งคู่จับชายผ้าสีแดงคนละด้านเดินเข้าห้องหอ ก่อนเจ้าบ่าวจะออกไปหน้าห้องครู่หนึ่ง
หลังจากนั้นไม่นานเจ้าบ่าวก็เดินเข้ามา เขาเปิดผ้าคลุมหน้าและยื่นสุรามงคลให้หญิงสาวที่ทำหน้าเย็นชาใส่ ก่อนจะนั่งลงข้างกันและทำท่าอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไร
“คือ…”
ก่อนที่จ้าวเทียนซวี่จะได้พูดอะไร ประตูห้องเปิดออกพร้อมกับพ่อแม่ลูกสกุลจ้าวที่บุกเข้ามาในห้องหอ หัวหน้าจ้าวยื่นหนังสือตัดขาดให้จ้าวเทียนซวี่
“พอใจรึยัง จำไว้ว่าแกไม่ใช่คนสกุลจ้าวอีกต่อไป ตอนนี้นายน้อยจ้าวมีเพียงจ้าวปิงฉือเท่านั้น พาผู้หญิงคนนี้ออกไปจากบ้านของฉันได้แล้ว”
หลันถังได้ยินอย่างนั้นก็หันขวับไปมองชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของตนเองหมาด ๆ ทันที ก่อนจะหันไปทางคนสกุลจ้าวอีกครั้ง ซึ่งพวกเขามีสีหน้าแตกต่างกัน แต่ล้วนดูไม่ยินดีทั้งที่เป็นงานแต่ง
ดูเหมือนว่าสถานะของจ้าวเทียนซวี่ในบ้านจ้าว จะย่ำแย่กว่าที่เธอรับรู้มาเสียอีก หากไม่ต้องการให้เธอแต่งเข้าสกุลจ้าวแล้วจัดงานแต่งงานเพื่ออะไร
“อย่าลืมคำพูดของตัวเองก็แล้วกันนะครับพ่อ ผมทำตามที่พูดอยู่แล้ว เรื่องนี้พ่อและแม่เลี้ยงไม่ต้องกลัว ต่อไปสกุลจ้าวจะไม่มีคนที่ชื่อจ้าวเทียนซวี่อีก” จ้าวเทียนซวี่ตอบกลับ และรับหนังสือตัดขาดมาอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะลุกขึ้นเดินผ่านสกุลจ้าวไปทางประตู ในขณะกำลังจะก้าวออกไป ก็เพิ่งรู้ตัวว่าภรรยาหมาด ๆ ของตนเองยังนั่งงงอยู่บนเตียงก็รีบเดินกลับไปหา
“ทำอะไรอยู่ คนบ้านนี้ตัดขาดผมแล้ว เราเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้อง ต่อจากนี้ไปก็ถือว่าผมใช้สกุลหลันของภรรยาแล้วกันนะ ถังถัง”
มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ตอบกลับมา เวลานี้หลันถังยังมึนงงไม่หายไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่เธอกลับเดินตามชายหนุ่มไปแต่โดยดี อีกทั้งยังยอมเขาจับมือเธอเอาไว้แน่นอีกด้วย เพื่อให้เขาและเธอเดินออกจากบ้านสกุลจ้าวมาด้วยกัน
เมื่อมาถึงหน้าบ้านก็มีรถสีดำจอดรออยู่แล้ว คนสกุลจ้าวยังเดินตามมาพร้อมกับโยนกระเป๋าเดินทางสองสามใบ ทำให้ลูกน้องจ้าวเทียนซวี่รีบเข้ามาเก็บของเจ้านาย
“นี่กลัวผมจะไม่ออกไปจริง ๆ รึยังไงครับคุณนายจ้าว ถึงได้เตรียมตัวพร้อมขนาดนี้ หากจะบอกว่าเพิ่งเก็บให้ตายผมไม่เชื่อเด็ดขาด”
จ้าวเทียนซวี่เอ่ยขึ้นพร้อมกับมีรอยยิ้มเยาะที่มุมเล็กน้อย นี่เขายังไม่ทันก้าวพ้นออกจากบ้านเลย รอกันไหวเชียวเหรอถึงได้กระทำสิ่งที่ยน่ารังเกียจแบบนี้
“ไม่ใช่นะคะคุณพี่ ฉันแค่คิดว่าเทียนซวี่ลืมเลยให้คนเอามาให้เขาด้วย”
คุณนายจ้าวรีบหันไปอธิบายกับสามีทันที ท่าทางของเธอเหมือนเป็นคนโดนรังแก ทั้งที่ลูกชายคนโตของหัวหน้าจ้าวยังไม่ได้ขยับตัวทำอะไรเพียงแค่เอ่ยไม่กี่คำพูดเท่านั้น
“...” หลันถังหันมองกระเป๋าด้วยสายตามีคำถาม เมื่อเห็นคนขับรถเก็บกระเป๋าเข้ารถเรียบร้อยโดยไม่ได้พูดอะไรก็มีท่าทีแปลกใจยิ่งกว่าเดิม จะบอกว่าเธอยังไม่เข้าใจก็ได้ ภายในใจนั้นคิดว่า นี่เธอมาอยู่ท่ามกลางสงครามระหว่างลูกชายของภรรยาเก่า กับแม่เลี้ยงงั้นเหรอ เคยเห็นแต่ในละครเลือดหมา ไม่เคยคาดฝันว่าจะได้เจอกับตัวเองแบบนี้
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมไม่ได้ลืมอะไร เพราะถึงยังไงต่อให้ขนมาทั้งห้องก็มีของแค่สามกระเป๋าเดินทางเท่านั้น จะลืมอะไรได้ยังไงล่ะ จริงมั้ยครับแม่เลี้ยง”
เทียนซวี่หันไปทางแม่เลี้ยงด้วยรอยยิ้ม แต่คนฟังกลับมองว่าอีกฝ่ายกำลังตำหนิและประจาน ที่เธอดูแลลูกเลี้ยงไม่ดีทำให้มีทรัพย์สินติดตัวเพียงแค่กระเป๋าเดินทางสามใบ
“พอ! จะไปก็รีบไป มัวพูดอะไรไร้สาระอยู่ได้” หัวหน้าจ้าวขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินที่ลูกชายพูด แต่ก็ยังไม่ได้ตำหนิอะไรภรรยามากนักเนื่องจากเวลานี้ยังอยู่ในงานเลี้ยงแต่งงาน
ปกติแล้วเขาไม่ค่อยมีเวลาอบรมเลี้ยงดูลูกชายมากนัก จึงปล่อยให้เรื่องในบ้านเป็นหน้าที่ของภรรยา แต่เขาไม่คิดว่าข้าวของของจ้าเทียนซวี่ที่ได้ชื่อว่าถูกเลี้ยงดูอย่างเอาอกเอาใจจนเสียคน จะมีน้อยขนาดนี้
“พ่อครับ ว่าแต่พ่อลืมเอาหนังสือสัญญาหนี้ของสกุลหลันออกมาหรือเปล่า ทางหลันถังยังต้องชดใช้หนี้อีกเหรอครับ พ่ออย่าลืมนะครับว่าภรรยาปผมไม่ได้แต่งเข้าสกุลจ้าวของเรา แต่จ้าวเทียนซวี่คนนี้กลับแต่งเข้าสกุลหลัน อ้อไม่สิ ต้องเป็นหลันเทียนซวี่แต่งออกไปอยู่กับหลันถังแล้ว ดังนั้นสัญญาที่ทำไว้ย่อมเป็นโมฆะ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น เพราะดูเหมือนเรื่องนี้จำสำคัญกับภรรยาเขาไม่น้อย เลยเอ่ยขึ้นมา
“ใช่”
นายท่านจ้าวนึกขึ้นได้ก็หยิบเอกสารออกมา มีรอยประทับของปู่หลัน แต่ไม่รู้ว่าเป็นของจริงหรือของปลอม ยังเขียนไว้ว่าสกุลหลันติดหนี้สกุลจ้าวอยู่ร่วมสามพันหยวน
“ตรานั่น!!” เมื่อเห็นบางอย่างในสัญญาฉบับนี้ทำให้หลันถังต้องเอ่ยแย้งออกมา “ไม่ใช่หายไปนานแล้วเหรอ ตรงนี้บอกว่าสัญญานี้ทำขึ้นเมื่อสองปีก่อน แต่ตรานั้นหายไปตั้งแต่พ่อแม่ของฉันตายแล้ว สกุลหลันไม่มีตราประจำตระกูลนานแล้วนี่”
หลันถังเห็นตราที่ประทับเอาไว้พร้อมลงชื่อของปู่ก็โกรธจัด นี่เป็นแผนร้ายของสกุลจ้าวจริง ๆ ด้วย พวกเขาไม่ต้องการให้ตระกูลหลันพลิกกลับมาได้อีกครั้ง จึงได้มีเรื่องพวกนี้
“ช่วยไม่ได้ ตอนนั้นนายท่านหลันใช้เงินมากเพื่อเอาชนะคดีของพ่อแม่เธอเลยมากู้ยืมเงินที่ฉัน แล้วฉันผิดอะไรแค่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้คนหนึ่งเท่านั้น” หัวหน้าจ้าวไม่คิดที่จะยอมรับหรือแก้ต่างอะไรให้มากความอีก
“...” หลันถังได้ยินอย่างนั้นก็กำเอกสารนั้นแน่น รับไม่ได้กับสิ่งที่ตระกูลจ้าวทำ
แต่แล้วกลับรู้สึกถึงความอบอุ่นจากมือของคนด้านข้าง เธอเงยหน้าขึ้นและเห็นใบหน้าด้านข้างของสามีหมาด ๆ ที่เผชิญหน้ากับครอบครัวจ้าวด้วยความไม่เกรงกลัว
“รังแกกันเกินไปแล้วนะครับ ผมบอกแล้วว่านี่เป็นปัญหาที่ผมตามเช็ดล้างให้พ่อกับปิงฉือ อย่าให้มันมากนักเลย”
“จ้าวเทียนซวี่ แกแต่งงานยังไม่ถึงวันก็คิดเล่นงานตระกูลเก่าที่เลี้ยงดูตัวเองมาแล้วงั้นเหรอ อกตัญญูสิ้นดี” หัวหน้าจ้าวได้ยินลูกชายเข้าข้างคนอื่นก็ชี้หน้าเขาด้วยความโมโห
ทว่าจ้าวเทียนซวี่ไม่ได้สนใจสักนิด ยกหนังสือตัดขาดขึ้นให้ดูพร้มมีรอยยิ้มที่สะใจมุมปาก
“ไม่ใช่ว่าในหนังสือตัดขาดบอกไว้อย่างชัดเจนว่าผมไม่จำเป็นต้องกตัญญูอีกต่อไป และให้จ้าวปิงฉือทำแทนงั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นปิงฉือนายเองก็ต้องกตัญญูพ่อแม่ให้มาก ๆ แทนฉันด้วยล่ะ”
“แก!” หัวหน้าจ้าว พร้อมทั้งจ้าวปิงฉือมีท่าทางไม่พอใจ แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้โวยวาย เทียนซวี่ก็คว้ามือของหลันถังเดินไปทางรถที่จอดอยู่ ก่อนจะดันหลังให้ภรรยาของตนเข้าไปนั่ง แล้วหันมาพูดกับคนที่ได้ชื่ว่าเป็นพ่ออีกครั้ง
“รถนี้ปู่มอบให้ผมเป็นสมบัติส่วนตัว คงไม่ต้องคืนสกุลจ้าวกระมัง นอกจากนี้อาจางก็เป็นคนที่ปู่ให้ติดตามดูแลผมเช่นกัน หวังว่าพ่อคงไม่ขัดคำสั่งของปู่ใช่มั้ย?”
“หุบปาก แกจะไปไหนก็ไป ฉันจะไม่สนใจแกอีกแล้วจ้าวเทียนซวี่ ไม่สิ ตอนนี้แกไปใช้นามสกุลเมียได้เลย สกุลจ้าวไม่มีวันรับแกกลับมาอีกเด็ดขาด”
“คิดว่าสกุลจ้าวเขียนดูดีเท่าสกุลหลันงั้นเหรอ ผมกลับชอบสกุลหลันมากกว่านะครับนายท่านจ้าว ออกรถ!” จ้าวเทียนซวี่เถียงข้าง ๆ คู ๆ ยั่วโทสะของคนบ้านจ้าว ก่อนตะโกนบอกคนขับรถซึ่งเป็นผู้ติดตามคนสนิทของตัวเองให้รีบขับรถออกจากบ้านจ้าวทันที