หลันถังนั่งอยู่บนรถด้วยความรู้สึกหลากหลาย คิดว่าต้องแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ในบ้านสกุลจ้าว และใช้ชีวิตอย่างอดทนจนกว่าจะหาทางแก้แค้นได้ แต่ใครจะคิดละว่าทุกอย่างจะกลับตาลปัตรเช่นนี้ นี่เธอแต่งงานเป็นสะใภ้ที่ยังไม่ทันได้เข้าบ้านสามี ก็ถูกไล่ออกมาพร้อมสามีเสียแล้ว
ก่อนจะหันมองหน้าสามีที่หัวเราะฮ่า ๆ อย่างชอบใจราวกับเด็กหนุ่มโง่ ๆ ที่มีความสุขกับอีแค่การยั่วโมโหให้พ่อแม่โกรธและทำได้สำเร็จ ก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา
“แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน”
เทียนซวี่หันมองภรรยาด้วยดวงตากระจ่าง ตอบกลับในทันทีว่า “ถามมาได้ ก็ต้องบ้านภรรยาสิ ตอนนี้ผมคือหลันเทียนซวี่แล้ว หลันเทียนซวี่แต่งเข้าบ้านภรรยา จะไปอยู่ที่ไหนได้อีกละครับ คุณนี่ก็ถามไม่คิดเลยนะ”
เจอคำตอบแบบนี้กลับมา หลันถังอยากพูดว่าเธอไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นเลย
เธอคาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าทุกอย่างจะต่างจากที่คิดเอาไว้จากหน้ามือเป็นหลังมือ หลังจากรู้ว่าตนเองต้องแต่งงานกับตระกูลจ้าวอย่างเป็นที่แน่ชัดแล้ว เธอเตรียมตัวอย่างดีที่จะได้รับความไม่ยุติธรรมจากสามี โดนแม่สามีกดขี่ข่มเหง
แต่แล้วทุกอย่างตรงหน้านี้คืออะไร?
ทำไมสองคนนี้ถึงเดินเข้ามาในบ้านเธอเหมือนกำลังมาเยี่ยมชมสถานที่อะไรสักอย่าง คนเป็นเจ้านายอย่างเทียนซวี่ก็ออกปากชมไม่หยุด
“บ้านภรรยาใหญ่มาก อาจางดูสิ เครื่องเรือนก็แข็งแรงทนทาน”
“ชอบขนาดนั้นก็เลือกเอาคนละตัวสิ”
หลันถังอดไม่ได้ต้องพูดขึ้นมา เขาชมตั้งแต่ประตูหน้า ว่าดูเรียบหรูน่าอยู่มาก ต่อมาก็ชมต้นหญ้าเขียวมากไม่เคยเห็นมาก่อน จนลามไปใบไม้แห้ง เข้ามาในบ้านยังไม่หยุดอีก
คนคนนี้ประหลาดจริง ๆ
“จริงเหรอ ภรรยาของฉันใจดีจริงๆ”
“คุณชาย…” อาจางพยายามดึงแขนเสื้อเจ้านายเอาไว้ก่อนที่ทั้งตนเองและเจ้านายจะไม่มีที่นอนในคืนนี้และคืนต่อ ๆ ไป ‘เจ้านายโปรดช่วยดูหน้าคุณนายก่อน เธอไม่ได้อารมณ์ดีเหมือนที่เจ้านายเป็นเลยนะ’ ว่าแล้วอาจางอยากจะร้องไห้เสียตรงนี้
“เลือกได้แล้วรึยัง” หลันถังหันกลับมาถามย้ำอีกครั้ง
“ผมชอบตัวนี้ แล้วนายล่ะอาจาง?” เทียนซวี่ชี้ไปยังโซฟาหน้าทีวี นั่นเป็นแบบที่เห็นได้ยากบุนวมอย่างดี นั่ง ๆ นอน ๆ ก็คงนุ่มสบาย ก่อนจะหันมาถามคนสนิท
“ผมตัวไหนก็ได้ครับ”
หลันถังได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนจะเอ่ยประโยคต่อมา “ดี ถ้าเลือกได้แล้วก็เชิญนอนเก้าอี้ที่ชอบของใครของมันได้เลย หลังจากนี้นั่นคือที่นอนของพวกคุณ”
คำพูดนี้ของภรรยาหมาด ๆ ทำให้เทียนซวี่หน้างอเมื่อได้ยินอย่างนั้น ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ ๆ แล้วเอ่ยถามเสียงเบา
“ภรรยา!”
“คุณไม่ต้องทำเสียงอย่างนั้น ถึงอย่างไรฉันก็ไม่คิดจะพาผู้ชายสองคนขึ้นไปนอนข้างบนด้วยกันหรอกนะ” หลันถังยังคงยืนยันเสียงหนักแน่น นี่คือเรื่องจริง เธอไม่ต้องการร่วมชายคากับบุรุษคนไหน ยิ่งเป็นคนจากสกุลจ้าวเธอยิ่งไม่ต้องการ
“แต่เราแต่งงานกันแล้ว” เทียนซวี่ขมวดคิ้วเถียงกลับและมองหญิงสาวอย่างหนักใจ นี่เขาแต่งงานตัดขาดออกจากสกุลจ้าวมาอยู่สกุลหลัน กลายเป็นว่าเขาต้องโดนภรรยารังแกงั้นเหรอ
“แต่งงานหรือไม่แล้วเกี่ยวอะไร อย่าลืมสิว่าเราไม่ได้รู้สึกอะไรกัน อีกอย่างฉันเพิ่งเคยเจอคุณครั้งแรกด้วยซ้ำ จะให้คนแปลกหน้ามานอนห้องนอนตัวเองเพียงเพราะเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินด้วยกันแล้วน่ะเหรอ ฉันทำไม่ได้หรอกนะ”
นี่คือเรื่องจริงที่หลันถังกล่าวมา ประเด็นนี้เธอไม่มองว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะใช่คนจากสกุลจ้าวหรือไม่ แต่การแต่งงานที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากความรักเธอไม่สามารถยอมรับได้
“แต่ถ้ายังอยู่ในตระกูลจ้าว ยังไงก็ต้องเข้าห้องหอกันไม่ใช่เหรอ อีกทั้งสามีภรรยาอยู่ห้องเดียวกันนี่นา แล้วทำไมพอมาบ้านหลันถึงทำตามธรรมเนียมไม่ได้” เทียนซวี่กล่าวขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ เพราะเรื่องนี้มันไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก
คำพูดของเทียนซวี่นั้นก็ถูกต้อง ถ้าเวลานี้หากยังอยู่ในตระกูลจ้าว วันนี้เขาและภรรยาควรเข้าหอตามประเพณี และหลังจากนั้นคงเรียกร้องแยกห้องนอนอีกไม่ได้ เพราะอย่างไรหลันถังก็เป็นรองของคนในบ้านสามี ยากที่จะมีอิสระในการตัดสินใจเอง
“แต่ที่นี่บ้านฉัน ฉันไม่สบายใจที่จะให้คนแปลกหน้าเข้าห้องตัวเอง”
“ได้! คำก็แปลกหน้า สองคำก็แปลกหน้า บางทีผมก็คิดว่าความจริงแล้วผมไม่ควรรับข้อเสนอนี้แล้วแต่งเป็นเจ้าบ่าวแทน ไม่แน่ว่าคนที่คุณอยากแต่งงานด้วยคือจ้าวปิงฉือ ไม่ใช่ผม” น้ำเสียงของชายหนุ่มดุดันขึ้นมาทันที ทว่าแฝงไปด้วยความน้อยใจ
“จะยังไงก็ยังเป็นสกุลจ้าวอยู่ดี” หลันถังพึมพำ ก่อนจะเดินนำไปยังห้องพักแขกสองห้องที่บ้านหลันมีไว้เพื่อรองรับแขกในสมัยก่อน
“อยู่ห้องพักแขกไปก่อนแล้วกัน”
เมื่อมาถึงหน้าห้อง หลันถังจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง อย่างไรเสียเวลานี้เธอยังไม่ไว้ใจชายหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของตนเอง เลยเลือกที่จะทำแบบนี้ก่อน อีกทั้งตัวเธอเองก็มีความลับไม่น้อย แค่มีคนอยู่ร่วมบ้านเธอยังอดที่จะระแวงไม่ได้
เทียนซวี่ได้ยินอย่างนั้นก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร เขาเดินถือกระเป๋าตัวเองเข้าห้องไป แต่ระหว่างที่เดินผ่านหญิงสาวก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ
“ไม่ว่าคุณจะรังเกียจผมแค่ไหน แต่คุณจงจำไว้ว่าคุณคือภรรยาของเทียนซวี่คนนี้” แล้ววันหนึ่งผมจะทำทุกอย่างไม่ให้คุณถูกเอารัดเอาเปรียบเหมือนที่แล้วมา และผมจะทำทุกอย่างให้คุณรักผมซึ่งเป็นสามีของคุณคนนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม ประโยคนี้ชายหนุ่มไม่กล้าที่จะกล่าวออกมา จากนั้นจึงเดินเข้าห้องที่ภรรยาเตรียมไว้ให้
หลันถังได้แต่ขมวดคิ้ว จากนั้นจึงเดินออกไปที่ห้องครัวเพื่อนำข้าวของบางอย่างกลับมาไว้ที่เดิม และเติมเสบียงล่วงหน้า เนื่องจากก่อนหน้านี้คิดว่าต้องย้ายไปบ้านสกุลจ้าว จึงเก็บข้าวของไปหมดแล้ว ตอนนี้ครัวที่โล่งก็กลับมาพร้อมใช้งานเหมือนเดิมเช่นกัน
หญิงสาวหยิบกาน้ำชาขึ้นมาชงชา พลันนึกขึ้นได้ว่าหลังบ้านมีต้นชาอยู่ หากมีโอกาสคงต้องลองนำเข้าไปปลูกในมิติดู หากต้นชาให้ผลผลิตดีก็สามารถเป็นสินค้าได้อีกอย่างหนึ่ง
เมื่อนึกดูแล้วการแยกบ้านของสามีในนามอย่างจ้าวเทียนซวี่ก็เป็นผลดีมากกว่าผลเสีย แต่ก็ไม่รู้ว่าตระกูลจ้าวมีแผนอะไรซ่อนเร้นเอาไว้รึเปล่า
พอยกกาน้ำชาออกมา กลับเห็นนายบ่าวเปิดวิทยุฟังกันสองคน หลันถังเห็นดังนั้นจึงเดินเข้ามาปิดวิทยุ ทำให้ทั้งสองคนหันมาสนใจเธอแทน ก่อนจะเอ่ยถึงเรื่องหนังสือแยกบ้านของเขา
“ฉันขอดูหนังสือแยกบ้านได้ไหม”
ถ้าหนังสือนี้เป็นของปลอมบังหน้า เพื่อเป้าหมายบางอย่างของสกุลจ้าวล่ะเธอจะทำอย่างไรต่อจากนี้ ดังนั้นเธอจำเป็นต้องตรวจสอบให้ดีก่อน ว่าการกระทำเช่นนี้ของเทียนซวี่คืออะไรกันแน่
“ได้สิ” เทียนซวี่ตอบกลับอย่างไม่ลังเลและเดินกลับเข้าห้อง นำหนังสือตัดขาดออกมามอบให้หญิงสาว อาจาง หรือจางอี้ที่เป็นคนสนิทของเขาก็รินชาให้เจ้านาย ก่อนตนเองเดินหลบมุมออกไปไม่ไกลเพื่อให้เจ้านายทั้งสองคนได้สนทนากัน
หลันถังรอไม่นาน จ้าวเทียนซวี่จึงเดินกลับมา ก่อนจะยื่นซองเอกสารแยกบ้านให้กับภรรยาของตน
“หนังสือนี้เป็นของจริง” หลันถังเอ่ยขึ้นมาคล้ายกับจะพึมพำคนเดียว
หนังสือแยกบ้านนี้มีทั้งหมดสามฉบับ หนึ่งสำหรับทั้งสองฝ่าย และอีกหนึ่งสำหรับนำส่งทางการ
โดยเหตุผลของการแยกบ้านและตัดขาดในครั้งนี้ เป็นเพราะว่าที่ลูกสะใภ้มีเหตุทำร้ายอดีตคู่หมั้นจึงทำให้เกิดการเปลี่ยนตัวคู่หมั้น และเพื่อป้องกันไม่ให้นางเอกเข้ามาทำให้บ้านวุ่นวาย ทางด้านสามีคนใหม่อย่างจ้าวเทียนซวี่จึงขอแต่งเข้าสกุลหลัน และตัดขาดกับทางครอบครัวจ้าวเอง
เมื่อเห็นเนื้อหาในหนังสือแยกบ้านที่พ่วงด้วยหนังสือตัดขาดจึงเงยหน้ามองสามีอย่างตกใจ และเอ่ยถามขึ้นมา
“นี่คุณเป็นคนเสนอตัดขาดเอง? ทำไมหัวหน้าจ้าวถึงยอม หรือว่าคุณเป็นลูกบุญธรรมครอบครัวนั้น”
หลันถังไม่เข้าใจความคิดของตระกูลจ้าว พวกเขายอมตัดขาดลูกชายคนนี้ทำไมกันนะ อีกทั้งยังเป็นลูกชายคนโตด้วยซ้ำ ต่อให้จะเป็นลูกภรรยาเก่าก็ตามทีเถอะ
“เพราะนายน้อยจ้าวมีแค่ปิงฉือน่ะสิ” รอยยิ้มของเทียนซวี่ดูเหมือนเป็นการถากถางตัวเอง
แม้จะรู้สึกว่าสถานการณ์ของชายหนุ่มอาจไม่เป็นอย่างที่คิด หลันถังก็ไม่ได้ลดการป้องกันลงเลยแม้แต่น้อย เธอนึกดีใจที่ตัดสินใจทำร้ายจ้าวปิงฉือไปในวันนั้น เพราะหากไม่เกิดเรื่องนั้นขึ้นมา คนที่ต้องแต่งงานด้วยก็อาจเป็นคนสารเลวนั่น แทนที่จะเป็นพี่ชายที่ไม่เอาไหนของเขา
“ว่าแต่คุณเถอะ เรื่องที่เขียนในนี้จริงเหรอ” เทียนซวี่ตั้งคำถามกับภรรยาตนเอง
“เรื่องไหนล่ะ”
หลันถังพยายามจะเฉไฉ ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าคนตรงหน้าคือหมาล่าเนื้อที่ตระกูลจ้าวส่งมา หรือเป็นลูกแกะเชื่องเหมือนที่เขาแสดงออกจริง ๆ ดังนั้นมีแต่ต้องสร้างเกราะกำบังเพื่อไม่ปล่อยให้เขาเข้ามาในพื้นที่ตัวเองมากเกินไป