"ไอ้เชี่ยเธีย..." พี่เชนที่ดูเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวหันไปต่อว่าเพื่อนที่ยืนทำหน้านิ่งอยู่ด้านหลัง แต่ทุกคนดูออกว่าเขานั่นแหละที่เป็นคนผลักเพื่อนมาโดนฝ่ามือของยัยรุ่นพี่นั่น โชคดีที่เขาตัวสูงราวร้อยแปดสิบเซนเลยโดนฟาดไปแค่หน้าอกเท่านั้น "ขอโทษทีสาวๆ ทำอะไรกันอยู่เหรอ รบกวนหรือ"
ทั้งฉันและยัยนั่นไม่มีใครตอบ สีหน้าของหล่อนไม่ค่อยจะดีนักเหมือนทำอะไรไม่ถูก
"..." พี่เธียยังคงเงียบปรายตามองฉันแวบหนึ่งแล้วจึงเลื่อนสายตาไปหาเพื่อนร่วมรุ่นที่ยืนหน้าตาตื่นกันทั้งแก๊ง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไรเขาจึงเอ่ยปากพูดแล้วยิ้มออกมา "เด็กใหม่คงน่าแกล้งดีใช่มั้ย"
"ยัยนี่ชอบหาเรื่องนะเธีย เมื่อกี้เรา..."ฉันรอฟังอยู่ว่าผู้หญิงคนนี้จะพูดอะไรเพราะฉันมั่นใจว่าตัวเองไม่ใช่คนผิดแน่ แต่หล่อนก็ยังจะพยายามสร้างเรื่องให้ฉันผิด
"ไม่ได้อยากรู้" ยัยรุ่นพี่ถูกตัดบทไปดื้อๆ ด้วยประโยคที่ไม่รักษาน้ำใจของอีกฝ่ายจึงต้องหุบปากลงทันที "แต่ที่เธอต้องรู้..."
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบทุกคนรอฟังอย่างตั้งใจรวมไปถึงฉันด้วย
"ยัยนี่ของเล่นของฉัน" พี่เธียพูดพร้อมกับส่งยิ้มมาให้คนที่ถูกกล่าวถึงซึ่งก็คือตัวฉัน ว่าแต่...เมื่อกี้นี้พูดว่าไงนะ
ของเล่น?
"ฉันไม่ชอบให้ใครมาแย่งเล่น"
ไม่ใช่แต่ตัวฉันที่ตกใจแต่ทุกคนรวมไปถึงผู้ชายที่ดูเงียบๆอย่างพี่คีตะก็มีท่าทีไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง พี่เชนเองก็ไม่ต่างกันเขาทำเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบแล้วยกมือขึ้นมาเสยผมตัวเองแทน ส่วนยัยรุ่นพี่พวกนั้นไม่ต้องพูดถึงยืนเงียบกันหมดไม่มีใครกล้าต่อความยาวอีกเลย
อันที่จริงฉันอยากจะออกปากเถียงตรงนี้เลยว่าฉันไม่ใช่ของเล่นอะไรของใครแต่คิดดูแล้วยืนเงียบให้ยัยพวกรุ่นพี่นั้นหน้าเสียไปนั่นแหละดีแล้ว เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
สุดท้ายฉันก็ต้องมาร้านน้ำปั่นข้างโรงเรียนตามความตั้งใจของดรีม น่าแปลกที่พวกมันไม่มีใครพูดเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อีกเลย เงียบกันเสียจนฉันเริ่มรู้สึกว่ามันมีอะไรผิดปกติ
พอพี่เธียพูดออกไปแบบนั้นยัยรุ่นพี่ก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อ บวกกับเป็นเวลาเลิกเรียนพอดีถึงได้แยกย้ายกันไป รวมถึงฉันด้วยที่รีบหนีออกมาจากตรงนั้นเพราะคำพูดบ้าๆนั่นแหละ มันไม่ได้ทำให้รู้สึกดีหรอกแต่รู้สึกเหมือนว่าหายนะกำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเอง
ร้านประจำที่ยัยเพื่อนจอมคลั่งอย่างดรีมพามาเกือบทุกวันหลังเลิกโรงเรียนตลอดสองเดือนที่ฉันย้ายมาเรียนที่นี่ จนป้าเจ้าของร้านจำพวกเราได้ทุกคนโดยเฉพาะว่าที่ลูกสะใภ้อย่างยัยดรีมที่ชอบประจบประแจงแม่ของรุ่นพี่เขาเหลือเกิน
ป้าแกเป็นคนใจดีมาก ชอบยิ้มและทักทายพวกเราตลอด ต่างจากลูกชายที่ฉันมองว่าเขาดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ แทบไม่เห็นเขายิ้มให้ใครเลยสักครั้ง ซึ่งนั่นยัยดรีมบอกว่าคือเสน่ห์ของพี่คีตะ เจ้าหล่อนแปลพฤติกรรมนั้นว่าคือความเย็นชา
แบบในนิยายหรือซีรีย์เกาหลีที่พระเอกชอบทำกับนางเอก ซึ่งในชีวิตจริงมันดูแตกต่างกันลิบลับ ฉันมองว่านั่นคือความหยิ่งแถมดูไม่เป็นมิตรเสียมากกว่าบอกตามตรงคนเดียวในกลุ่มที่ดูปกติคือพี่เชนถึงแม้ดูภายนอกเขาจะเหมือนกับผู้ชายเจ้าชู้และกะล่อนสักหน่อย
“วันนี้เอาอะไรดีจ้ะคนสวย” ทันทีที่แม่ของรุ่นพี่ละสายตาจากเครื่องปั่นพลังม้านั้นแล้วเงยหน้าขึ้นมาเห็นพวกเราท่านก็รีบทักทายพร้อมกับรอยยิ้ม
คำนี้เรามักจะได้ยินประจำ แต่น่าเสียดายที่ป้าทักทุกคนว่า ‘คนสวย’ แม้กระทั่งเพื่อนชายหัวใจหญิงก็ถูกชมแบบนี้เหมือนกัน
“วันนี้หนูเอาอะโวคาโดปั่นนมสดค่ะ”
“ของดรีมเอาแตงโมปั่นค่ะ”
“หนูเอาแอปเปิ้ลปั่นนมเหมือนเดิมค่ะ”
เมนูประจำที่เราสามคนมักจะไม่เปลี่ยนถูกกล่าวขึ้นราวกับซ้อมกันมา อันที่จริงไม่บอกป้าของรุ่นพี่ก็คงจะจำได้ดีเพราะในหนึ่งอาทิตย์พวกเราต้องแวะมาร้านนี้แล้วไม่ต่ำกว่าสามวัน นั่นก็เพราะยัยดรีมคนคลั่งรักคนเดียว ฉันคิดว่าต่อจากนี้ไปไม่เกินสิบปีถ้ายังมาแบบนี้พวกเราคงได้เป็นเบาหวานกันหมด
บางทีก็อยากให้เพื่อนได้ลงเอยกับรุ่นพี่สักที
“อ้าว หนูพิมพ์แม่ไม่เห็นหน้ามาหลายวันแล้วนึกว่าเจอร้านใหม่เลยหนีแม่ไปซะอีก”
ความคิดของฉันที่กำลังผุดขึ้นมาในสมองนั้นพังลงเมื่อเสียงทักทายของป้าเจ้าของร้านดังขึ้นมาพร้อมกับร่างอรชรของรุ่นพี่อีกสี่คนที่กำลังเดินเข้ามาในร้าน
‘แก๊งนางฟ้า’
คำที่ถูกใช้เรียกกลุ่มรุ่นพี่สี่คนนี้ซึ่งเรียนโรงเรียนเดียวกันกับพวกเราและอยู่ห้องเอหนึ่งของชั้นมัธยมปลายชั้นปีที่หกห้องเดียวกับกับพวกพี่เธีย ฉันจำได้ว่าหนึ่งในกลุ่มนี้คือคนที่ทักเขาวันนั้น วันที่ฉันถูกเขาลากไปคุย แล้วผู้หญิงรุ่นพี่คนนั้นก็ถูกเมินใส่
คงไม่ใช่แค่เธอหรอกที่ถูกเมิน รู้สึกว่าทุกคนจะโดนแบบนี้เหมือนกัน ผู้ชายคนนั้นดูไม่สนใจใครเลยสักคนหรืออาจจะมีแฟนอยู่แล้วแต่ไม่เปิดตัว
เรื่อง‘แก๊งนางฟ้า’ฉันก็เพิ่งรู้มาเมื่อตอนกลางวันจากยัยเพื่อนสองคนนี้เหมือนกันเพราะเราดันมีปัญหากับพวกนี้เข้าแถมรู้สึกว่าตอนนี้กำลังจะตั้งตัวเป็นศัตรูกันแล้วด้วย
พิมพ์ใจ ฟ้า มะนาวและกิ่งกานต์ สมาชิกในกลุ่มที่ล้วนเป็นตัวท็อปของโรงเรียนเกือบทุกๆด้าน ทั้งการเรียน กิจกรรมรวมไปถึงหน้าตา มองภายนอกคือดูดี เรียนเก่งและเพรียบพร้อมจนทุกคนลงความเห็นว่านี่คือพวกนางฟ้าที่มารวมตัวกันบนโลกมนุษย์
โคตรเว่อร์!
แถมทั้งสี่คนยังเป็นสมาชิกชมรมเชียร์รีดเดอร์ของโรงเรียนอีกด้วย ชมรมที่ผู้หญิงหลายๆคนอยากเข้าแต่ก็ไม่ง่ายเลยที่จะผ่านการทดสอบไปได้ ไม่ต้องอธิบายอะไรมากก็พอจะรู้ว่าพวกรุ่นพี่จะเป็นที่ชื่นชอบของหนุ่มๆในโรงเรียนขนาดไหน
“พอดีใกล้สอบเข้ามหาวิทยาลัย พวกเราเลยยุ่งๆน่ะค่ะ ต้องติวหนังสือหนัก” พี่พิมพ์ใจตอบพร้อมรอยยิ้มมีแวบหนึ่งที่ฉันแอบเห็นสายตาของเธอมองมาทางเราด้วยแต่มันแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นจึงดูไม่ออกว่าต้องการจะสื่อแบบไหน
ถึงแม้ว่าเราจะอยู่โรงเรียนเดียวกันแต่ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่จะมีเรื่องให้ต้องคุยกัน ยิ่งกับพวกเธอเหล่านี้ยิ่งดูเหมือนยาก และพวกเราสามคนก็ไม่ใช่ประเภทที่ทำความรู้จักกับใครไปทั่ว เรียกว่าไม่ค่อยยุ่งกับใครมากกว่า ใช้ชีวิตของพวกเราไปวันๆกับความสนุกสนาน อีกเหตุผลที่สำคัญคือ ‘พี่พิมพ์ใจ’ คือเสี้ยนหนามตำหัวใจของยัยดรีม เพราะมีข่าวมาแว่วๆว่าพี่คีตะกับพี่พิมพ์ใจแอบคุยกันอยู่
ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะไม่ได้เปิดเผยแต่เล่นเอายัยดรีมใจแป้วไปหลายอาทิตย์กว่าจะกลับมาฮึดสู้อีกครั้ง สู้กับการเข้าทางแม่ของรุ่นพี่แทน แต่ดูเหมือนตอนนี้คู่แข่งของยัยดรีมเองก็ใช้วิธีเดียวกันแถมยังคะแนนนำไปเกินครึ่งอีกต่างหาก
ระยะเวลาเกือบสามเดือนที่ฉันย้ายมาอยู่โรงเรียนนี้มันวุ่นวายและมีเรื่องราวมากมายไปหมด
“ถึงว่าล่ะ แม่ไม่เห็นหน้าหลายวัน คีตะก็กลับดึกทุกวันเหมือนกัน” แม่ของรุ่นพี่พูดพร้อมๆกับหยิบจับนั่นนี่ทำเมนูที่พวกเราเพิ่งสั่งไปด้วย
คำพูดของเจ้าของร้านทำให้ยัยดรีมหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย พอมองสายตาของเพื่อนก็เห็นว่ากำลังจ้องตากับรุ่นพี่ที่ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าร้าน
รอยยิ้มแบบนางเอก…
ฉันพอจะได้ยินมาว่าพี่พิมพ์ใจกับพี่คีตะแอบคุยกันอยู่ซึ่งก็เหมือนกับที่ยัยดรีมรู้ แต่ก็ไม่เคยเห็นเปิดตัวหรือมีอะไรยืนยันได้ว่าจริง
ความสัมพันธ์ของพวกเรากับแก๊งนางฟ้าพวกนี้เลยดูฝืดๆสักหน่อย ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะเรื่องของฉันหรือเรื่องของยัยดรีมกันแน่ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้แสดงออกว่าจงเกลียดจงชังกันแต่สำหรับพวกเราดูออกว่าพวกนี้ไม่ได้คิดดีกับพวกเรานักหรอก
ไม่ได้คิดไปเองแต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ
เพราะเมื่อตอนสายๆของวันนี้ที่เราสามคนเข้าโรงเรียนช้าเพราะยัยดรีมติดปัญหากับการกดเงินสดก่อนจะมาโรงเรียน เลยต้องรอติดต่อเจ้าหน้าที่ธนาคาร เลยถูกทำโทษอย่างที่เห็นทั้งที่บอกเหตุผลไปแล้วแต่ครูฝ่ายปกครองก็ไม่ยอมเชื่อ
มันจะไม่เจ็บใจเลยถ้าเมื่อเช้านี้พวกแก๊งนางฟ้าที่อยู่ธนาคารกับพวกเราไม่ถูกทำโทษเพราะโพรไฟล์ดีกว่า สิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าพวกนี้เกลียดพวกเรานักคือตอนที่ครูปกครองถามว่าเราพูดเรื่องจริงไหม
แต่พวกนั้นบอกว่าไม่เห็นเราสามคนแล้วยังทำมึนไม่รับรู้
‘ในเมื่อพวกพี่เห็นพวกเราทำไมถึงตอบว่าไม่เห็นวะ’
‘ก็พวกพี่ไม่เห็นจริงๆ’
‘เราก็นั่งรออยู่ในธนาคารด้วยกัน จะไม่เห็นได้ไง’ ยัยดรีมคงหมดความอดทนจนไม่อยากจะนับถือว่าเป็นรุ่นพี่
‘อย่าพาลสิคะน้อง’
‘เหอะ แก๊งนางฟ้าหรือนางมารกันแน่’ ธัญญาพูดขึ้นแบบลอยๆแต่คำพูดนั้นเล่นเอาพวกรุ่นพี่มอบด้วยสายตาที่ไม่พอใจอย่างมาก ฉันก็เห็นด้วยกับธัญญ่านะ
‘ไปกันเถอะเพื่อนๆ อย่าไปยุ่งกับคนพวกนี้ดีกว่า’
‘พวกฉันมันยังไงวะ!’ ดรีมทำท่าจะพุ่งตัวเข้าไปหาพี่กิ่งกานต์ซึ่งเป็นคนพูดประโยคนั้นออกมา ถึงแม้คำพูดนั้นจะไม่ได้สื่อความหมายชัดเจนแต่สายตาและน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาก็ไม่ได้แปลความคำนั้นว่าเป็นเรื่องดี
‘ไม่ต้องอธิบายก็น่าจะรู้ตัวนะ ว่าพวกเธอมันไม่ได้เรื่อง แถมบางคนก็หน้าด้านจังโดนคนทั้งโรงเรียนเกลียดก็ยังอยู่ต่อได้’ ประโยคหลังนั่นไม่ต้องขยายความให้มากก็รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังหมายถึงฉัน
'หน้าด้านแล้วไง ฉันจ่ายค่าเทอมเองไม่ได้ขอใคร ไปกันเถอะดรีม ธัญญ่า อย่าไปคุยกับพวกติดปีกปลอมๆให้ตัวเองเลย'
วินาทีนั้นจึงแน่ใจแล้วว่าแก๊งเรากับแก๊งนั้นกำลังตั้งตัวเป็นศัตรูกันอย่างชัดเจน