เช่นเดียวกัน พศินกับลูกตาลมาตามทางที่วิสาบอก คือให้มาที่นี่มี รีสอร์ต ร้านอาหาร และบ้านหลังใหญ่สีขาว ติดกับอาคารชมวิวอีกต่างหาก นี่แหละคือจุดเด่น พอถึงที่หมายเขาก็หาที่จอดรถแล้วจูงมือลูกตาลเดินเลียบๆ เคียงๆ ตรงบริเวณอาคารชมวิว เขาเห็นมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเหมือนเป็นยาม จึงได้เข้าไปถาม
“ขอโทษครับพี่ ผมเอ่อ อยากพบเจ้าของบ้านหลังนั้น ต้องทำยังไงครับ” พศินถามด้วยความประหม่า
“น้องนัดไว้หรือเปล่า หรือมาสมัครงาน”
“เอ่อ มา มา สมัครงานครับ ผมกับเมียจะมาสมัครงาน แต่ไม่ได้นัด”
“ก็ต้องติดต่อผ่านกับแม่บ้านที่ดูแลบ้านหลังนั้นก่อน จะเข้าหาเจ้าของบ้านตรงๆ เลยไม่ได้ งานเธอเยอะ”
“ช่วยผมหน่อยได้ไหมครับ คุณแม่บ้านคนนั้นอยู่ที่ไหน เราจะพบได้ยังไง”
“ก็จะยากหน่อยนะ เพราะไม่ค่อยออกมาเดินป้วนเปี้ยนแถวนี้เท่าไหร่ จะมีก็แต่เด็กรับใช้ที่ออกมาหาซื้ออะไรเข้าไปกิน” ยามตอบและพยายามกวาดตามองไปด้วย เผื่อจะเจอคนรู้จักในบ้านนั้น พศินเองก็มองซ้ายมองขวาเพราะกลัวว่าจะมีคนตามมาจากบ้านของชาร์ล
“นั่นๆ คนนั้นคือคนในบ้าน รอเดี๋ยวนะ!” ว่าแล้วยามก็วิ่งไปตามทันที พร้อมกับจูงแขนเจ้าหล่อนลากมาหลบร่ม
“มีอะไรน้า ฉันออกมาซื้อส้มตำให้แม่ออง”
“มาก่อน มีคนอยากเจอเจ้านายเรา สองคนนี้ บอกว่าจะมาสมัครงานน่ะ”
“เหรอ แล้วสองคนมาจากไหนล่ะ” เธอถามด้วยความสงสัยพลางมองหน้า
“เรา เอ่อ เรา... มีคนแนะนำให้เรามาที่นี่ครับ” พศินตอบ
“ใครแนะนำมาบอกได้ไหม”
“เรามาจากเอ่อ บ้านคือ ไม่รู้ว่าคุณจะรู้จักไหม เรามาจากบ้านคุณชาร์ล มีปัญหานิดหน่อยเราก็เลยมาที่นี่ มีคนบอกเราว่าให้มา เจ้าของบ้านจะช่วยเราได้”
“บ้าน... บ้านคุณชาร์ลเหรอ ทำไมถึงมาจากทางนั้นได้ล่ะ” แค่ได้ยินชื่อเธอก็รู้สึกหวาดหวั่นแล้ว
“เรื่องมันยาวครับ เราขอเล่าแบบละเอียดอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ที่นี่ ขอร้องล่ะครับ ช่วยเราด้วยเราหนีร้อนมาเพิ่งเย็น”
“เฮ้อ! งั้นรอก่อนนะ เดี๋ยวจะโทรศัพท์ก่อน” ว่าแล้วเธอก็รีบหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจ แต่ก็อีกนั่นแหละแทบจะไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ แค่เอ่ยชื่อชาร์ลปลายสายก็อนุญาตแล้ว เพราะแน่นอนว่าคนที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือก็ต้องอยากรู้ที่มาที่ไป
“แม่อองให้เข้าไปหาตอนนี้เลย คิดว่าคงอยากจะรู้อะไรหลายๆ อย่าง” เธอก็หันมามองทั้งสองคนทันทีที่วางสาย ทำให้ทั้งคู่ดีใจมาก
“จริงเหรอครับ ดีจัง ขอบคุณมากนะครับ”
“รีบเข้าไปตอนนี้เลย เดี๋ยวฉันจะพาไป” เธอบอกอีกครั้ง
พร้อมกับพาทั้งสองออกจากใต้อาคาร พศินกับลูกตาลผู้มาขอความช่วยเหลือเดินตาม ระหว่างที่ลูกตาลตามหลังอยู่นั้น ด้วยความหวาดระแวงทำให้เธอหันซ้ายขวาหน้าหลัง กลัวว่าจะมีคนตาม ทว่าต้องตกใจเมื่อเหลือบเห็นชาร์ลยืนมองจากบนอาคาร
ชายหนุ่มยืนมองนิ่งๆ เพื่อไม่ให้หญิงสาวตกใจ แต่เธอกลับรีบเดินเข้าไปในบ้านหลังงามด้วยความหวาดกลัว ชาร์ลได้แต่ถอนใจ พลางกัดฟันแน่นข่มอารมณ์โมโห แต่ไม่ได้เสียดายหญิงสาวมากนัก เขาแค่เกลียดการถูกหักหลังแบบนี้ และพศินต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสม
ทว่าจังหวะนั้น ชาร์ลก็กวาดตามองไปทั่วทั้งบริเวณหาดเช่นกัน เผื่อเจอเจ้าของบ้าน และแน่นอนหญิงสาวออกมาสำรวจนักท่องเที่ยว แต่คล้ายกับจะออกมาเดินเล่นเสียมากกว่า ชาร์ลเห็นจากระยะไกลๆ เพราะความสวยโดดเด่น ผิวขาว ออร่าจับกว่าคนทั่วไปรูปร่างเล็ก บาง อรชรอ้อนแอ้น น่าทะนุถนอม เขามองทุกการย่างก้าวของเธอจนแทบอยากจะถอดแว่นออกมองให้ชัดๆ ว่านั่นนางฟ้า หรือว่าแม่มดใจร้ายกันแน่ หรือแม่ชีที่รับอุปถัมภ์คนที่หนีไปขอความช่วยเหลือ เขาคิดพลางกัดกรามแน่น แต่ไม่ได้แสดงท่าทีว่าโกรธหรือไม่พอใจ
ส่วนเจ้าของบ้าน หลังจากที่เดินตรวจตราหน้าบ้านเสร็จแล้ว ก็เดินเข้าบ้านไปในทันที และได้รับรายงานจากแม่ละอองซึ่งเป็นพี่เลี้ยง ว่ามีคนมาขอความช่วยเหลือ เธอจึงอยากจะสอบถามให้แน่ชัดว่าเป็นใครมาจากไหน ถึงได้หนีมา เมื่อเข้ามาในบ้าน หญิงสาววัยขบเผาะก็นั่งกับพื้น เคียงข้างกับชายหนุ่มวัยประมาณยี่สิบกว่าๆ เมื่อเจ้าของบ้านคนงามเดินเข้ามา ทั้งสองก็ต่างก้มหน้าและขยับตัวเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรจ้ะ ขึ้นมานั่งข้างบนเถอะ” เจ้าของบ้านคนงามกล่าวเสียงหวาน
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ เรานั่งข้างล่างก็ได้” พศินเป็นคนพูดด้วยความเกรงใจ
“นี่ไม่ใช่ละครกากับหงส์ จะได้นั่งคนละชั้น ฉันไม่เคยให้ใครนั่งพื้น เธอสองคนก็เป็นแขก มาขอความช่วยเหลือ ฉะนั้นนั่งข้างบนก่อนจ้ะ”
เจ้าของบ้านบอกอีกครั้งพร้อมกับยิ้มนิดๆ ทั้งสองจึงยกมือไหว้ก่อนจะลุกขึ้นนั่งบนโซฟา
“แม่อองเล่าให้ฟังคราวๆ แล้วว่ามาขอความช่วยเหลือเรื่องงาน แต่ไม่ได้เล่ารายละเอียดให้ฟัง เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม อ่อลืมไป ฉันชื่อแพท หรือภัทรจิราเรียกแพทก็พอ เธอสองคนชื่ออะไร” หญิงสาวบอกด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร อ่อนโยน ยิ้มหวาน
“ผมชื่อพศินครับ แล้วนี่ลูกตาลเราเป็นผัวเมียกันครับ” พศินเป็นคนแนะนำตัวตรงๆ อีกครั้ง
“จะให้ช่วยอะไร” ภัทรจิราถามอีกครั้ง
“คือเอ่อ คือ” พอจะได้เล่าพศินกลับอ้ำอึ้ง ส่วนลูกตาลก็ก้มหน้าเล็กน้อย
“บอกคุณแพทไปเถอะ ถ้าอยากให้คุณแพทช่วย”
“ตาลเล่าก่อนสิ แล้วพี่จะเล่าต่อ” พศินหันไปบอกลูกตาล
“คือหนู เริ่มแรก แม่ให้หนูไปทำงานเป็นคนรับใช้ที่บ้านของนักธุรกิจคนหนึ่ง หนูก็ไปอยู่ได้หนึ่งเดือน ไม่เคยเห็นเจ้าของบ้านเลยค่ะ แต่ทุกคนห้ามไม่ให้ผู้ชายคนไหนยุ่งกับหนูเป็นอันขาด แต่หนูกับพี่ศินเราลักลอบอยู่ด้วยกันจนได้ ทำให้แม่บ้านที่นั่นไม่พอใจ และกลัวเจ้านายจะเอาเรื่อง แต่ก็ไม่ได้บอกให้เขารู้กระทั่งเขากลับมา ให้หนูเตรียมตัวแล้วเรียกขึ้นไปหาบนห้อง แต่หนูกับพี่ศินเราเอ่อ... เราคิดไม่ตก ไม่ได้อยากเป็นเมียเขา กลัวความผิดเลยรีบหนีออกมา” ลูกตาลเล่าแบบย่อๆ
“คนที่นั่นแอบให้ความช่วยเหลือบอกว่า ถ้าจะหนีให้พ้นอิทธิพลของเขาต้องหนีมาหาคุณแพท ต้องเป็นคุณแพทเท่านั้นที่ช่วยได้” พศินเสริมขึ้น
“ทำไมต้องเป็นฉัน คนอื่นเยอะแยะ คิดว่ามาหาฉันแล้วปลอดภัยเหรอ”
“คุณแพทคะ สองคนนี้มาจากบ้านของเอ่อ บ้าน... บ้าน... คุณชาร์ล แมคควีนค่ะ” แม่ละอองแทรกขึ้นน้ำเสียงหวาดหวั่นเช่นกัน
“บ้านใครนะ! พูดอีกทีซิ” ภัทรจิราถามย้ำอีกครั้งด้วยความตกใจ
“บ้านคุณชาร์ล แมคควีนค่ะ” แม่ละอองย้ำ
“มา... มาจากบ้านนั้นเหรอ ทำไมไม่บอกแต่แรก หาเรื่องปวดหัวให้แล้วไหมเนี่ย” ภัทรจิราออกปากบ่นในทันที เพราะเธอรู้จักผู้ชายคนนั้น
“ทำไมถึงบอกแบบนั้นล่ะคะคุณแพท” ลูกตาลถามด้วยความสงสัย และประหม่าเพราะคิดว่าภัทรจิราคงไม่ช่วยแน่
“ถ้ามาจากที่นั่น ฉันคงช่วยอะไรพวกเธอไม่ได้” ภัทรจิราบอกปัดในทันที พลางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย
“ทำไมล่ะคะ คนรู้จักบอกว่าคุณแพทช่วยได้” ลูกตาลตอบกลับ
“ฉันช่วยได้ ยกเว้นคนที่มาจากบ้านนั้น คนที่นี่ไม่ยุ่งกับเจ้าพ่อ”
“เจ้าพ่อเลยเหรอคะ”
“ก็ใช่เลยล่ะ ไม่มีใครเขาอยากจะยุ่งกับทางนั้นหรอก”
“แต่หนูกับพี่ศินไม่มีหนทางไปไหนแล้วค่ะ”
“ตอนทำไม่คิด ไม่กลัว แต่ตอนนี้ดันกลัว อารมณ์มันพาไปหรือยังไง” ภัทรจิราอดว่าให้ไม่ได้
“เรารู้ว่าเราผิดครับ กลัวคุณท่านจะเอาเรื่องเลยหนีมา” พศินกล่าว
“คงไม่ได้แย่ขนาดนั้นใช่ไหม แค่สารภาพผิด ขอโทษก็น่าจะจบ”
“มันแย่ก็ตรงที่คุณท่านยังเรียกให้หนูขึ้นไปรับใช้ หนูมีผัวสองคนไม่ได้”