“ที่จริงแล้วไม่ต้องมาก็ได้นะ” ฉันหันไปพูดกับเก็นริวอย่างเกร็งๆ เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้ใกล้ชิดเขาขนาดนี้ แถมยังอยู่กันตามลำพังอีกด้วย
“เลิกพูดเถอะน่า มันน่ารำคาญ”
ฉันก้มหน้านิ่ง... มองมือที่วางทับกันอยู่บนตักครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกไปอีก ไม่งั้นคงนอนไม่หลับ
“แต่เพราะต้องรอนายเลยทำให้ฉันไม่ได้ไปดูการซ้อมพิเศษที่โรงเรียนอื่น”
“สำคัญมากหรือไง!?” เก็นริวถามออกมาอย่างหงุดหงิด ฉันรู้ว่าเขาไม่ได้สนใจก็แค่ถามออกมาส่งๆ เท่านั้นแหละ
“อืม... ก็ฉันอยากเห็นนี่นาว่าโรงเรียนอื่นเขามีชมรมดนตรีเป็นแบบไหน” ฉันบ่นอุบอิบในลำคอ วันนี้ที่ชมรมมีนัดแสดงพิเศษที่โรงเรียนเซนท์โมนาร์ชเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนศิลปะทางดนตรีของทั้งสองโรงเรียน และอาทิตย์หน้าก็จะเป็นคราวของเซนท์โมนาร์ชที่จะต้องมาเล่นดนตรีที่ชมรมของเรา
เอี๊ยด!
จู่ๆ เก็นริวก็เบรกรถกะทันหัน จนฉันหัวคะมำหน้าทิ่มไปข้างหน้าเต็มรัก
“ที่ไหน” หมอนั่นถามออกมาเสียงขุ่น
“อะไร?” ฉันหันไปมองอย่างไม่เข้าใจ
“โรงเรียนอะไรล่ะ ฉันจะได้ไปส่ง เลิกบ่นน่ารำคาญได้แล้ว”
“ช่างเถอะ ฉันไม่อยากไปแล้ว”
“ฉันไม่ชอบผู้หญิงเรื่องมาก”
“เซนท์โมนาร์ช” ฉันบอกชื่อโรงเรียนออกไปอย่างไม่สบอารมณ์
“เหอะ”
แล้วเก็นริวก็หันหัวรถไปยังเส้นทางที่ทอดยาวสู่โรงเรียนเซนท์โมนาร์ชทันที ชิ ฉันไม่ได้ขอให้นายมาทำแบบนี้สักหน่อย อย่ามาเหวี่ยงใส่ฉันนะ คนใจร้าย
ไม่นานก็มาถึงที่นี่...
ณ เซนท์โมนาร์ช
ฉันลงจากรถอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ ก่อนจะรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาจิลทันที...
(ฮะโหล)
“จิล ตอนนี้ยังซ้อมอยู่หรือเปล่าแล้วห้องชมรมดนตรีของเซนท์โมนาร์ชไปทางไหน?”
(ถามทำไมเหรอ)
“ก็จะไปดูน่ะสิ”
(ไม่ต้องมาแล้วล่ะเพราะเราเพิ่งเลิกเมื่อกี้นี้เอง)
“ฮะ!?”
(ตกใจอะไร เขาซ้อมกันมาร่วมชั่วโมงแล้วคงจะมีใครอยู่รอเธอหรอกมั้ง)
พูดแบบนั้นฉันน้อยใจนะ!
“เหรอ... อืมๆ แค่นี้ล่ะ”
(เดี๋ยวมานา!)
“หืม?”
(เอ่อ... เรื่อง... ช่างมันเถอะ ไม่มีอะไรหรอก ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกันก็ได้ แค่นี้นะ)
ติ้ด!
อ้าว อะไรของหมอนั่นกันนะ มาพูดจาแปลกๆ ใส่ฉันแล้วก็วางสายไปซะงั้น ฮึ่ย
“ถ้าเป็นห้องชมรมดนตรีล่ะก็ฉันรู้ว่าอยู่ตรงไหน” เสียงเข้มๆ ของเก็นริวดังขึ้นมาหลังจากฉันเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋าเสร็จ
“อ้าว!? แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่ทีแรกล่ะ?” ฉันเงยหน้าขึ้นมองเก็นริวอย่างข้องใจ
หมอนั่นจ้องหน้าฉันด้วยสายตาทิ่มแทง “แล้วเธอเอ่ยถามฉันสักคำหรือเปล่าล่ะ?”
พวกยากูซ่านี่เถียงคำไม่ตกฟากกันทุกคนเลยหรือเปล่านะ ฮึ่ย
“เฮ้เก็นริว! มาทำอะไรที่นี่เนี่ย?” ระหว่างที่ฉันกำลังหงุดหงิดเก็นริวเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากที่ไหนไกลๆ ไม่นานเจ้าของเสียงก็เร่งฝีเท้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเรา พร้อมๆ กับที่เก็นริวเรียกชื่อเขาออกมา
“ซันเซน อยู่ทำอะไรที่โรงเรียนเย็นๆ แบบนี้”
“ทางนี้ต่างหากที่ต้องถามว่าแกมาทำอะไร ทั้งที่เรียนจบไปแล้ว”
ฉันตกใจนิดหน่อยที่รู้ว่าเก็นริวเรียนจบแล้ว และที่สำคัญเขาเคยเรียนที่นี่งั้นเหรอ มิน่าล่ะถึงบอกว่ารู้จักห้องชมรม เหอะ ถ้ารู้ว่านายเรียนที่นี่ตั้งแต่แรกฉันคงไม่ต้องเสียเวลาโทรหาจิลหรอก แต่เอาเถอะอย่างน้อยก็รู้ว่าเลิกแล้วจะได้ไม่ต้องไปให้เสียเที่ยว
“มีธุระนิดหน่อย” เก็นริวตอบไปเสียงห้วนๆ
ทำให้ซันเซนคนนั้นเหลือบมามองฉันอย่างสนใจ
“เด็กเซนท์ซาฟาเลียร์... ยังไม่เข็ดอีกหรือไง!?” ซันเซนหันไปมองหน้าเก็นริวด้วยสายตาที่มีนัยบางอย่าง ฉันรู้สึกสงสัยขึ้นมาทันทีแต่ก็ไม่รู้จะไปถามใคร ขืนโพล่งออกมาใส่หน้าสองคนนี้มีหวังชีวิตได้จบไม่สวยแน่
“มันต่างกัน กูยุ่งเพราะเห็นว่ามันน่าสนุกดี” เก็นริวพูดพลางเหลือบมองหน้าฉันอย่างมีเลศนัย
“แน่ใจนะว่าจะไม่เสียใจทีหลัง”
“คิดว่ากำลังพูดกับใครอยู่ห๊ะ!?”
“หึ! รู้ว่าแกมันแน่แต่ถึงจะเก่งกาจแค่ไหนสุดท้ายก็พ่ายแพ้หัวใจตัวเองทุกราย”
ปึ้ด!
เหมือนได้ยินเสียงเส้นอารมณ์ใครบางคนขาดสะบั้น
“เรื่องแบบนั้นมันจะไม่เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองแน่”
“ก็ขอให้เป็นแบบนั้นแล้วกัน ไปละ... ไว้เจอกันใหม่” พูดเสร็จซันเซนก็โบกมือแล้วเดินจากไป
“เพื่อนเหรอ?” ฉันเอ่ยขึ้นมาอย่างสงสัย เก็นริวล้วงบุหรี่ออกมาจุดสูบครู่หนึ่งก่อนจะตอบคำถามฉัน
“รุ่นน้องที่โรงเรียน”
“นายอายุเท่าไหร่กันแน่”
“อยากรู้ไปทำไม ก็แค่ตัวเลขมันจะสำคัญอะไรนักหนาล่ะ”
“ก็... ฉันดูไม่ออก”
“…..” ไม่สำคัญแล้วจะกั๊กไว้ทำไม รีบๆ บอกมาสักทีเซ่ ฮึ่ย!
“ไม่ไปทำธุระของเธอหรือไง?” เก็นริวเอ่ยขึ้นอย่างรำคาญ
“ไม่ต้องแล้วล่ะ” ฉันปั้นหน้าบึ้งตอบไป
“เสียเวลาชะมัด!”
“.....”
เก็นริวทิ้งบุหรี่ในมือลงพื้นแล้วใช้ปลายเท้าบี้จนแบนก่อนจะเดินไปเปิดประตูขึ้นรถ
“ถ้าไม่มีอะไรให้ทำก็ขึ้นรถได้แล้ว ฉันไม่ได้ว่างมาอยู่กับเธอทั้งวันนะรู้หรือเปล่า”
เพราะแบบนั้นไงฉันถึงได้บอกนายว่าไม่ต้องมารับฉันก็ได้
ฉันเดินหน้าบึ้งปึงปังมาเปิดประตูขึ้นรถของเก็นริวอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วหมอนั่นก็ขับมาส่งฉันที่บ้านอย่างไม่มีเฉไฉ จากนั้นก็ขับออกไปทันทีโดยทิ้งข้อความเอาไว้ให้ฉันหนักใจเล่น
“พรุ่งนี้เช้าฉันจะไปส่งที่โรงเรียน เข้าใจนะ!”
นั่นแหละที่ทำให้ฉันหนักใจและกังวล
แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เก็นริวขับรถมารับฉันที่หน้าบ้านทุกวันตรงเวลาเป๊ะแบบที่ไม่ปล่อยให้ฉันบิดพลิ้วได้เลย! ทำให้ฉันตกเป็นที่จับตามองของคนที่บ้านและเด่นดังไปทั้งโรงเรียน
เมื่อวันก่อนฉันมีเรื่องกับคิเรย์ ต่อมาฉันก็ไปสนิทกับซิลเวอร์ และในวันเดียวกันนั้นก็มีหัวหน้าแก๊งยากูซ่ามารับที่โรงเรียนอีกด้วย ฉันกลายเป็นศูนย์กลางของข่าวลือเสียๆ หายๆ ทุกคนต่างโพนทะนาเรื่องฉันไปต่างๆ นานาอย่างสนุกปาก เรียกร้องความสนใจบ้างล่ะ อยากดังบ้างล่ะ น่ารังเกียจบ้างล่ะ หลายใจชอบยั่วผู้ชายบ้างล่ะ และสุดท้ายก็ไปลงเอยที่ประเด็นรักสี่เส้าได้ยังไงก็ไม่รู้
ชีวิตภายในโรงเรียนของฉันช่วงนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึมและตึงเครียด ไม่มีใครไม่รู้เรื่องฉันแม้กระทั่งพวกอาจารย์ ถึงแม้ปกติฉันจะไม่ค่อยมีเพื่อนอยู่แล้วพอเจอเรื่องยากูซ่าเข้าไปยิ่งทำให้ฉันถูกหมางเมินจากคนรอบข้างเข้าไปใหญ่ แถมทุกๆ คนยังแผ่รังสีขยาดแขยงใส่ฉันอีก
ฉันทำอะไรผิดเนี่ย! ? มันน่าโมโหไหมล่ะ เหอะ
“มานา วันนี้ขอบใจมากนะที่มาช่วยเก็บกวาดห้อง” เสียงจิลดังขึ้นระหว่างที่ฉันกำลังนึกเจ็บใจกับสังคมรอบข้างทำให้ฉันรู้สึกตัวว่ากำลังบีบด้ามไม้ถูพื้นเอาไว้แน่นจนถ้ามันพูดได้คงจะร้องว่าเจ็บไปนานแล้ว
ฉันเงยหน้าขึ้นมองสบตาจิลด้วยความรู้สึกขอบคุณที่เขาไม่เคยทำตัวห่างเหินจากฉันเลยไม่ว่าจะมีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับตัวฉันออกไปกี่ครั้งเขาก็ยังเหมือนเดิม คงมีแค่จิลเพียงคนเดียวเนี่ยแหละที่มองฉันในแบบที่ฉันเป็นจริงๆ
“ไม่เป็นไร วันนี้ฉันไม่รีบกลับน่ะ” ฉันบอกออกไปอย่างไม่เต็มเสียง เพราะเก็นริวบอกว่าจะมารับช้ากว่าปกติเนื่องจากติดธุระ
ตั้งแต่ห้องดนตรีไทยถูกยุบฉันก็ไม่ได้มาที่ชมรมดนตรีอีกเลย จนกระทั่งวันนี้ฉันแวะมาแบบไม่ได้ตั้งใจก็รู้ว่าเครื่องดนตรีไทยที่เคยเล่นเป็นประจำไม่อยู่แล้ว เจอแต่ห้องโล่งๆ กับจิลเท่านั้น
ฉันรู้สึกว่าจิลจะผูกพันกับดนตรีไทยมากพอดู เพราะแวะมาที่นี่ทีไรก็มักจะเห็นเขานั่งอยู่ในห้องเสมอ เพราะแบบนั้นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกเศร้าไปด้วยที่เห็นห้องโล่งเตียนได้ขนาดนี้
“งั้นเหรอ ฉันดีใจนะที่เธอไม่รีบ”
“หืม?” ฉันมองหน้าจิลอย่างแปลกใจกับคำพูดประหลาดๆ นั่น
“ไหนๆ ก็มาแล้วเราไปหาอะไรทานด้วยกันไหม” จิลหลุบมองพื้นด้วยสายตาลังเล ท่าทางคิดหนักน่าดูที่เอ่ยปากชวนฉันออกมาแบบนั้น ฉันถอนหายใจเฮือกหนึ่ง นายคิดมากเกินไปแล้ว ก็เลยแกล้งล้อเล่นออกไป
“เพื่อไว้อาลัยให้กับเครื่องดนตรีที่จากไปน่ะเหรอ!?”
จิลเงยหน้าขึ้นมองฉันก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่นแล้วพูดออกมา
“จะคิดแบบนั้นก็ได้...”
“จริงๆ แล้วฉันก็อยากไปนะ แต่ว่า...” ฉันไม่รู้น่ะสิว่าเก็นริวจะมาตอนไหน
“กลัวแฟนที่มารับมาส่งทุกวันว่าเอาเหรอ?”
ฉันสะดุ้งวาบทันที รู้สึกอึดอัดกับคำถามเหน็บแนมของจิลอย่างบอกไม่ถูก
“มะ... ไม่เชิงหรอก”
“หรือว่ารู้สึกผิดกัน?”
“เอ่อ...” ฉันจะพูดได้ยังไงว่ากลัวเก็นริวดุถ้าหากฉันไม่อยู่ตอนเขามา... ฉันมันขี้ขลาดเกินไปแล้ว
“แค่ร้านหน้าโรงเรียน ไม่ได้ไปไหนไกล ไม่น่าเป็นอะไรมั้ง ถ้าแฟนเธอมารับก็ให้เขามาหาที่ร้านได้”
“…..” มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ฉันก็ยังไม่หายกังวล... ฉันไม่ใช่แฟนของเก็นริวจริงๆ สักหน่อย เขาไม่เคยใจดีกับฉันเลยสักนิด เป็นไปได้เหรอว่าทุกอย่างจะราบรื่นอย่างที่จิลบอก
...แต่สุดท้ายฉันก็ใจอ่อนไม่กล้าปฏิเสธจิล ในระหว่างทางเดินออกไปหน้าประตูโรงเรียน จู่ๆ ก็มีมือใครบางคนคว้าหมับเข้าที่ข้อมือฉันอย่างกะทันหัน!
หมับ!
ฉันสะดุ้งเฮือก หันกลับไปมองทันควันก่อนจะเบิกตากว้างเรียกชื่อคนคนนั้นออกมาอย่างตกใจ
“คิเรย์!”
จิลที่เดินมาข้างๆ ทำหน้าผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะชักสีหน้าไม่พอใจ
“ชอบไปไหนมาไหนกับผู้ชายไม่ซ้ำหน้าเลยนะเธอน่ะ” คิเรย์มองฉันด้วยสายตาทิ่มแทง คำพูดของหมอนั่นกรีดลึกลงบนหัวใจฉันได้เจ็บปวดมาก
“ปล่อย”
ฉันสะบัดข้อมือออกจากมือของคิเรย์ก่อนจะจ้องหน้าเขาอย่างไม่ลดละ
“อย่ามายุ่งกับฉัน”
ฉันเมินหน้าหนีจากคิเรย์ก่อนจะหันไปเรียกจิล
“ไปกันเถอะจิล”
“เดี๋ยว!” แต่ทว่าคิเรย์กลับไม่ยอมปล่อยฉันไปง่ายๆ
“ปล่อยมือมานา”
จิลจ้องหน้าคิเรย์เขม็ง! ท่าทางขึงขังเอาเรื่องของจิลทำเอาฉันประหวั่นใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำไมจู่ๆ ถึงได้โกรธมากขนาดนี้ล่ะ จิลนายเป็นอะไรไป...