ก่อนเริ่มคาบเรียนตอนบ่ายไม่ถึงสิบนาที
“คิดอะไรอยู่กันแน่!?”
“...คิเรย์” ซิลเวอร์ชะงักอยู่ตรงกรอบประตูแล้วมองหน้าผมด้วยสายตางวยงง
“หรือว่าเกิดสนใจยัยนั่นขึ้นมา”
“ใช่... สนใจ”
คำพูดตรงๆ ไม่สะทกสะท้านของซิลเวอร์ทำเอาผมรู้สึกฉุนกึกอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“แค่สนใจน่ะ...” หมอนั่นพูดย้ำมาอีกรอบ
“คิดจะกวนประสาทหรือไง!?” ผมจ้องหน้าซิลเวอร์อย่างมีปัญหา
“เปล่า! หมายความอย่างนั้นจริงๆ” ซิลเวอร์เหลือบมองหน้าผมก่อนจะเดินผ่านเข้าไปในห้องแต่ยังไม่ถึงสามก้าวหมอนั่นก็หันกลับมาเป่าหูผมจนปั่นป่วนไปหมด!
“วางใจได้ กูสนใจยัยนั่นในความหมายที่ต่างจากนาย”
“เฮ้ซิลเวอร์! หมายความว่ายังไง?” ผมไม่ยอมให้หมอนั่นเดินไปนั่งที่ง่ายๆ รีบตามเข้าไปคว้าแขนให้มันหันกลับมาเผชิญหน้า
ซิลเวอร์กระตุกยิ้ม เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นแววตาเจ้าเล่ห์จากนัยน์ตาเบื่อโลกคู่นี้
“กลัวกูจะแย่งของเล่นมาหรือไง!?”
ผมขมวดคิ้วกับคำพูดของซิลเวอร์แต่ยังไม่ทันจะเข้าใจมันก็ปล่อยระเบิดมาอีกลูก!
“จะของเล่นหรือของที่ชอบถ้าไม่รีบเลือกเอาสักอย่างระวังจะชวดทั้งคู่นะ!”
“ของที่ชอบ!?” ผมมองหน้าซิลเวอร์นัยน์ตาไหววูบ! มันหมายความว่ายังไงกันแน่
“หึ!” ซิลเวอร์กระตุกยิ้มแล้วสะบัดมือผมออก พลันใบหน้าของบลายธ์ก็ทอวาบเข้ามาในหัว ผมเหลือบมองแผ่นหลังของซิลเวอร์ที่เดินไปนั่งที่ด้วยความรู้สึกขุ่นข้องใจ มันต้องการสื่ออะไรกันแน่!? ผมเชื่อไม่ลงเด็ดขาดว่าคนอย่างหมอนั่นจะเอ่ยเตือนจากใจจริงโดยที่ไม่ได้ซ่อนอะไรเอาไว้เบื้องหลัง!!
...หรือมันเล็งยัยนั่นเอาไว้จริงๆ จะว่าไปแล้วผมก็ยังไม่เคยเห็นซิลเวอร์เป็นห่วงผู้หญิงคนไหนขนาดนี้เลย ทั้งพาไปดูแลที่ห้องพยาบาลแถมตอนเที่ยงยังกินข้าวด้วยกันอีก
แต่ว่า... พอคิดแบบนั้นแล้วจิตใจผมมันกลับไม่สงบลงสักนิดเหมือนว่าผมมองข้ามอะไรบางอย่างไป ซิลเวอร์ชอบยัยนั่นจริงๆ งั้นเหรอ? ความเคลือบแคลงในความรู้สึกของหมอนั่นทำเอาผมหงุดหงิดจนหัวแทบจะระเบิด! โว้ย! จะอะไรก็ช่างมัน ไม่คิดแล้วปวดหัวชะมัด!!!
Ding Dong! ~
เสียงออดเลิกเรียนดังขึ้น ที่จริงแล้วมันก็ไม่ค่อยมีความหมายอะไรกับผมสักเท่าไหร่ คนอื่นๆ ค่อยๆ ทยอยกันออกจากห้องอย่างชื่นมื่นที่จะได้หลุดจากกรอบห้องเรียนน่าเบื่อหน่ายแล้วกลับบ้านกันสักที ปกติผมจะอยู่ซ้อมยิงธนูที่ชมรมหลังเลิกเรียนหรือไม่ก็เล่นกีฬาแข่งกับเพื่อนในแก๊งผลัดเปลี่ยนกันไปตามแต่ละวัน แน่นอนว่าทุกครั้งก็จะมีการเดิมพันนิดๆ หน่อยๆ เพื่อเพิ่มความตื่นเต้นในเกมด้วย!
ทุกครั้งที่เล่นกีฬาเสร็จผมจะมีที่ที่ใช้พักเหนื่อยของตัวเอง และตรงนั้นก็ทำให้ผมได้ยินเสียเปียโนที่ไพเราะ วันแล้ววันเล่าเหมือนผีเสื้อที่ได้ดมกลิ่นดอกไม้โชยมาตามสายลม รู้สึกตัวอีกทีทำนองเพลงเหล่านั้นก็ตราตรึงอยู่ในหัวใจของผมไปเสียแล้ว มันทำให้ผมผ่อนคลายทุกครั้งที่ได้มายืนฟังเสียงเปียโนอยู่ตรงนี้ แต่ผมก็ไม่เคยคิดจะตามหาเจ้าของเสียงเปียโนนั่นเลยสักครั้งเพราะไม่สำคัญนัก...
จนเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนผมก็ได้มีโอกาสไปร่วมงานเลี้ยงของครอบครัวธาราพิลักษณ์ในฐานะตัวแทนของตระกูลเช่นเดียวกันเพื่อนในแก๊งของผมคนอื่นๆ ก็อยู่ที่นั่นด้วย ทันทีที่เสียงเปียโนถูกบรรเลงขึ้นในงานโดยลูกสาวคนเดียวของบ้านธาราพิลักษณ์ ผมก็จำท่วงทำนองนั่นได้ขึ้นใจ เหมือนผีเสื้อที่บินตามกลิ่นเกสรจนมาเจอดอกไม้ที่งดงามบานสะพรั่งอยู่ตรงหน้าและในตอนนั้นเองผมก็รู้สึกว่าตัวเองตกหลุมรักบลายธ์เข้าซะแล้ว!
แต่การขอเดทครั้งแรกของผมกลับต้องมาติดขัดเพราะยัยนั่นแท้ๆ เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ กล้าดียังไงมาขัดขวางความสุขของผม โธ่โว้ย! คิดขึ้นมาแล้วก็โมโห จะว่าไปผมยังไม่รู้ชื่อเธอด้วยซ้ำ หึ!! ช่างมันเถอะ รู้ไปก็เท่านั้น! เพราะอีกไม่นานผมก็คงจะลืมเรื่องยัยนั่นไปแล้ว
วันนี้ดูเหมือนว่าทุกคนจะติดธุระกันหมด จึงไม่มีการนัดเล่นกีฬาภายในแก๊ง ส่วนชมรมยิงธนูก็หยุดซ่อมแซมอุปกรณ์ ผมที่ไม่มีเรื่องต้องทำจึงเดินลอยชายมาที่ห้องชมรมดนตรีเพื่อจะดูบลายธ์ซ้อมเปียโนให้หายคิดถึง แต่ประตูชมรมกลับปิดเงียบ ไร้วี่แววว่าจะเปิดทำการ
มันอะไรกันเนี่ย! ?
ผมรีบกดโทรศัพท์หาบลายธ์ทันที รู้สึกเสียหน้าอย่างบอกไม่ถูกที่มาแล้วไม่เจอใครเลยแบบนี้ แต่ว่า... โทรไปกี่สายเธอก็ไม่ยอมรับ ยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดเพิ่มขึ้นไปอีก ฮึ่ย! ผมเหลือลมองประตูห้องชมรมอย่างขัดอกขัดใจก่อนจะเตะฝุ่นให้หายโมโหแล้วหันหลังเดินออกมา!
ผมเดินมาที่รถอย่างอารมณ์เสียระหว่างกำลังจะเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถสายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างเข้า!
“....”
นั่นมันยัยนั่นกับเก็นริวไม่ใช่เหรอ! ?
ผมกัดฟันกรอดรู้สึกเดือดพล่านขึ้นมาทันที! กล้ามากเลยนะที่มาเหยียบจมูกฉันถึงถิ่นแบบนี้!!!
ผมกำลังจะเดินเข้าไปเยาะเย้ยเก็นริวเรื่องที่ผมจูบแฟนของมันวันนี้ แต่ยังไม่ทันกระดิกเท้าหมอนั่นก็พาผู้หญิงของมันขึ้นรถและขับออกไปต่อหน้าต่อตาผมทันที
ฮึ่ย! วันนี้เป็นอะไรนักหนานะ ไม่มีอะไรได้ดั่งใจเลยสักอย่าง
ผมหันกลับมาเปิดประตูรถตัวเอง สตาร์ทรถแล้วขับออกไปอย่างฉุนเฉียว