บนดาดฟ้าของอาคารเรียน ชายหนุ่มตัวสูงโปร่งกำลังยืนรับลมเย็นในต้นฤดูหนาวด้วยท่าทางอารมณ์ดี เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนปลิวไสวไปตามแรงลม สัดส่วนร่างกายที่ดูดีราวกับหลุดออกมาจากแมกกาซีนของคิเรย์ทำให้ฉันเผลอมองอย่างลืมตัว
ฉันเดินผ่านประตูยังไม่ถึงสามก้าวหมอนั่นก็รู้ตัวแล้วหันกลับมามองทันควัน ใบหน้าที่ดูร่าเริงกลับเคร่งขรึมไม่เป็นมิตรขึ้นมาทันทีในพริบตาแรกที่สบสายตากับฉัน หมอนั่นคงผิดหวังที่ไม่ใช่คนตัวเองกำลังคิดถึงอยู่
ดวงตาคมเข้มสีดำสนิทจ้องมองฉันอย่างเยือกเย็น ไม้จิ้มฟันที่ค้างคาอยู่ในปากถูกกัดเสียงดังกรอดๆ ดูเหมือนว่าแค่ฉันมายืนอยู่ตรงนี้เฉยๆ ก็สร้างความโมโหให้กับเขาแล้ว
ฉันลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลั้นใจพูดสิ่งที่คิดออกไป
“บลายธ์ไม่มาเจอนายหรอก!”
“ว่าไงนะ!?” คิเรย์นัยน์ตาลุกวาวขึ้นมาทันที! หมอนั่นทำฉันรู้สึกหวาดเกรงจนต้องถอยหลังออกมาก้าวหนึ่ง
“นี่ไงล่ะหลักฐาน” ฉันชูกระดาษโน้ตยับยู่ยี่ให้เขาดู
“แล้วเธอเป็นใคร!? สะเออะอะไรมายุ่งวุ่นวายเรื่องของฉัน!”
ฉันเม้มริมฝีปากแน่น เจ็บกับคำพูดที่ไม่ถนอมน้ำใจคนฟังของหมอนั่นจนแทบอยากจะพ่นออกมาเป็นคำด่าแต่ก็ต้องทนสงบใจเอาไว้...
“ฉันเป็นเพื่อนบลายธ์! และอยากจะมาบอกนายว่าให้เลิกยุ่งกับบลายธ์ได้แล้ว!”
“หา!?” คิเรย์จ้องหน้าฉันด้วยแววตาคมกริบ!
“ยัยนั่นไม่สนใจนายหรอก!” ฉันใจสั่นแปลกๆ ในทุกคำพูดที่เอ่ยออกไป ไม่ใช่เพราะว่าฉันกำลังอ่อนไหวให้กับใบหน้าหล่อโฉดของคิเรย์แต่อย่างใด แต่มันเป็นเพราะฉันอยากจะร้องไห้และก็ละอายใจที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ต่อหน้าผู้ชายที่ไม่เคยนึกถึงจิตใจคนอื่นเลยอย่างหมอนี่!
“ถ้าอยาก...” ฉันหายใจติดขัด กำมือเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อแน่น “ถ้านายอยากจะไปเดทกับใครสักคนล่ะก็...”
คิเรย์มองหน้าฉันอย่างหงุดหงิด สายตาคมดุมองมาอย่างเป็นคำถามว่า
“อะไร”
“ก็... เป็นฉันแทนเถอะ!” ฉันหลับหูหลับตาพูดออกไป ทันทีที่คำพูดหลุดออกมาจากบ้านความรู้สึกอายก็เข้าจู่โจมแทรกซึมอยู่ในทุกอณูขุมขน! บ้าเอ๊ย! หน้าร้อนวูบวาบไปหมด ทั้งอายทั้งกลัวจนไม่กล้ามองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ
“หา!? ล้อฉันเล่นหรือเปล่า”
ฉันหลับตาแน่น สะดุ้งโหยงกับเสียงตะคอกของคิเรย์ ฉันนี่มันขี้ขลาดจริงๆ ถ้ายังมามัวห่วงศักดิ์ศรีและกลัวอายอยู่แบบนี้เมื่อไหร่จะปราบราชสีห์ตรงหน้าได้สักทีล่ะ
พรึบ!
ทันทีที่รวบรวมความกล้าได้ฉันก็เงยหน้าขึ้นสบตากับคิเรย์แต่ประกายตาเจ้าเล่ห์ที่ไหวระริกอยู่ในแววตาคมกริบคู่นั้นก็ทำเอาฉันใจแป้วขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทันใดนั้นหมอนั่นก็กระชากต้นแขนฉันแล้วดึงเข้าไปใกล้
“เป็นเธอแทนงั้นเหรอ”
คิเรย์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ดวงตากลมกริบกวาดมองสำรวจในทุกตารางนิ้วบนใบหน้าของฉันอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะแสยะยิ้มเลือดเย็น
“ไม่เลวหนิ! ถือเป็นข้อเสนอที่ดี... ฉันจะใช้เธอแก้ขัดไปก่อนก็ได้!”
หัวใจฉันกระตุกวูบขึ้นมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น คิเรย์กำลังจะลากฉันลงไปจากชั้นดาดฟ้า ฉันรีบรั้งร่างกายตัวเองเอาไว้ทันควัน
“เดี๋ยวสิ”
“...???” หมอนั่นหันมามองด้วยแววตาไม่สบอารมณ์
“วันนี้ฉันต้องรีบกลับบ้าน” ฉันละล่ำละลักบอกเสียงเบาโหวง ใจสั่นระรัวเพราะท่าทีของคิเรย์มันผิดคาดไปจากที่ฉันคิดไว้!! เขาไม่ได้คิดจะเดทกับฉันแทนบลายธ์แน่ๆ เพราะสายตาที่หมอนั่นใช้มองฉันมันไม่ต่างจากของเล่นคร่าเวลาชิ้นหนึ่งเท่านั้น!
“หา!? อยากให้ฉันหักคอเธอตรงนี้หรือไง! บอกไว้ก่อนนะว่าถ้าทำฉันหงุดหงิดไปมากกว่านี้ล่ะก็เธอได้เละคามือฉันแน่!”
นี่ฉันคิดผิดหรือเปล่าที่เอาตัวเองเข้ามาอยู่ในอุ้งมือปีศาจแบบนี้!
กึก!
“โอ๊ย!” ฉันร้องเสียงหลงเมื่อถูกคิเรย์กระตุกข้อมือสุดแรงจนได้ยินเสียงข้อต่อดังลั่น! นายไม่สนเลยใช่ไหมว่าคนอื่นจะเป็นยังไง!? นี่มันนรกขุมไหนกันเนี่ย!
“คิเรย์ฉันเจ็บ!” ฉันร้องโวยวายไปตลอดทางแต่ดูเหมือนมันจะไม่เข้าหูหมอนั่นเลยสักนิด จนกระทั่งถึงรถหมอนั่นก็กระชากประตูเปิดแล้วผลักฉันเข้าไปข้างในอย่างไม่ไยดี ยังกับว่าฉันเป็นแค่สิ่งของชิ้นหนึ่งเท่านั้น!
ปึก!!
ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ตั้งสติหมอนั่นก็เดินอ้อมไปขึ้นอีกฝั่งแล้วกดล็อกประตูรถอย่างรวดเร็วก่อนจะสตาร์ทรถ ขับออกไปทันที ไม่เปิดโอกาสให้ฉันได้หนีเลย ให้ตายสิ!
“นี่จะพาฉันไปไหนน่ะ!?” ฉันหันขวับไปมองหน้าคิเรย์ด้วยความแตกตื่น
“โรงแรม”
เฮือก! ฉันเบิกตากว้าง หัวใจสั่นระรัว ตะโกนใส่หน้าเขาเสียงแข็ง
“ไม่นะ ฉันไม่ไป ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้!”
“หึ! คิดจะเรียกร้องความสนใจหรือไง? ถ้าจะเล่นตัวล่ะก็ไม่ได้ผลหรอก เพราะยังไงเธอมันก็ไม่ต่างจากผู้หญิงทั่วไปที่เสนอร่างกายให้ฉัน”
“ใคร!? ใครเสนอร่างกายให้นายกัน ฉันพูดแบบนั้นตอนไหนไม่ทราบ!”
ฉันกัดริมฝีปากแน่นจนเจ็บ หัวใจกระตุกร้าวกับถ้อยคำเหยียดหยันของปีศาจตรงหน้า!
“อย่าเอาฉันไปเหมารวมกับผู้หญิงพวกนั้นนะ!!”
“หึ! เดี๋ยวก็รู้...” หมอนั่นพึมพำเสียงในลำคอแล้วก็ไม่พูดอะไรอีกเลยไปตลอดทางจนกระทั่งรถจอดสนิทหน้าสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีสภาพไม่เหมือนโรงแรมแต่ก็ไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด ป้ายข้างหน้าเขียนคำว่า
‘Nirvana Clubhouse’
“ลงมา!!”
“ไม่!” ฉันเกาะขอบเบาะเอาไว้แน่น ส่ายหน้าเป็นพัลวันหลังจากที่ถูกคิเรย์เดินมาเปิดประตูแล้วเรียกให้ลงจากรถ!
“เฮ้!!!”
คิเรย์ตะโกนเสียงดังลั่นก่อนจะจับท่อนแขนฉันแล้วกระชาก ออกมาจากรถอย่างแรงจนร่างฉันปลิวออกไปกระแทกกับแผ่นอกของเขาดังพลั่ก!
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนฉันตามไม่ทัน รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกหมอนั่นล็อกแขนข้างหนึ่งเอาไว้แล้วกระชากให้เดินตามเข้าไปข้างในอย่างทุลักทุเล
“คิเรย์ฉันเจ็บ! โอ๊ยนี่!!” ฉันร้องโวยวายไปตลอดทาง จ้องมองแผ่นหลังของหมอนั่นน้ำตาคลอ หวังว่าเขาจะรู้สึกเห็นใจฉันบ้างแต่ไม่เลย แรงฉุดกระชากที่คิเรย์ทำกับฉันไม่มีทีท่าจะผ่อนเบาลงเลยสักนิดตรงกันข้ามยิ่งฉันร้องมากเท่าไหร่หมอนั่นก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น!!
ตลอดทางที่เดินผ่านพนักงานและผู้คนต่างหันมามองอย่างสนใจ ฉันทั้งอายทั้งโกรธคิเรย์ หมอนั่นทำกับฉันเหมือนไม่ใช่คน ไม่รักษาหน้ากันเลยสักนิด! แต่พอฉันจะอ้าปากด่าเขาก็หยุดเดินอยู่หน้าห้องห้องหนึ่งแล้วไขประตูเข้าไปข้างในอย่างช่ำชองก่อนจะผลักไหล่ฉันแรงๆ
“เข้าไป”
ฉันทำเสียงจุ๊ปากอย่างไม่พอใจ พูดดีๆ ไม่เป็นหรือไง ฉันเจ็บนะ! ดูสิเนี่ยบอบช้ำไปทั้งตัวแล้ว ฮือออ
“โอ๊ยนี่! มันเจ็บนะโว้ย!” ฉันก่นเสียงพูดออกไปอย่างสุดจะทน ก่อนจะชะงักกึกเมื่อมองเห็นภาพข้างในห้องที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากเตียงเปล่าๆ กับตู้เสื้อผ้าหลังเล็กและประตูหนึ่งบานซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นห้องน้ำ
และเมื่อฉันคิดจะวิ่งหนีออกจากห้อง พอหันกลับไปมองอีกทีประตูก็ปิดลงต่อหน้าต่อตา คิเรย์ย่ำเท้าเข้ามาใกล้พร้อมกับดึงเนกไทออกหลวมๆ โดยที่ตลอดเวลาสายตาของหมอนั่นจับจ้องมาที่หน้าฉันอย่างไม่ให้คลาดสายตา
“ถอดเสื้อผ้าซะ หรือจะให้ช่วย”