กระต่ายกับสิงโต (2)

1878 คำ
Ding Dong! ~ ออดเลิกเรียนดังขึ้น นักเรียนทยอยกลับบ้านอย่างไม่มีใครลังเล ยกเว้นคนที่ต้องอยู่ทำกิจกรรมชมรมหลังเลิกเรียน และฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น ฉันสังกัดชมรมดนตรีเช่นเดียวกับบลายธ์ แต่อยู่คนละแผนก เครื่องดนตรีที่ฉันเล่นไม่ใช่เปียโนเพราะฉันไม่อยากโดนเปรียบเทียบเวลาอยู่บ้าน เพราะงั้นฉันจึงเลือกเล่นดนตรีไทยแทน ถึงจะเป็นชมรมดนตรีเหมือนกันแต่เราก็ซ้อมกันคนละห้อง เสียงเปียโนแว่วมาตามสายลมระหว่างที่ฉันกำลังจะเดินไปห้องซ้อม พลางนึกสงสัยว่าอะไรกันนะที่ทำให้บลายธ์หลงใหลในเปียโนมากขนาดนี้ แต่ฉันก็ไม่เคยคิดจะเอ่ยปากถามเธออย่างเป็นเรื่องเป็นราวเลยสักครั้ง... ฟึ่บ! ฉันชะงักกึก! เมื่อเดินอยู่ดีๆ ก็มีมือใครบางคนยื่นมือออกมาขวาง “เมฆ!” ฉันเรียกชื่อหมอนั่นออกมาอย่างตกใจ ทำไมเขามาอยู่นี่ได้ล่ะ วันนี้ไม่ได้มีธุระสำคัญอะไรสักหน่อย ปกติเมฆจะเป็นคนขับรถมาส่งบลายธ์ที่โรงเรียน ส่วนตอนกลับฉันกับบลายธ์จะนั่งแท็กซี่กลับด้วยกันเพราะต้องอยู่ซ้อมดนตรีเวลากลับบ้านเลยไม่แน่นอน หมอนี่จะมารับก็เฉพาะวันที่มีธุระสำคัญอย่างเมื่อวานเท่านั้น “เธอดูสบายใจจังเลยนะ” หมอนั่นจ้องหน้าฉันนิ่ง ฉันขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ “อยากจะพูดอะไรกันแน่ แล้วมาเนี่ยมีธุระอะไร” “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน บอกใครหรือเปล่า” “เปล่า” ฉันตอบเสียงปัดๆ พลางเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างรำคาญ “ก็ดี! ฉันไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนั้น” ฉันหันขวับกลับมามองหน้าเมฆทันที “หมายถึงเรื่องไหนล่ะ เรื่องที่นายเป็นลูกอีกคนของ...” ฉันชะงักรู้สึกอึดอัดที่จะพูดมันออกมาก่อนจะข้ามไปพูดอีกประโยคหนึ่งที่ยังค้างในใจ “...หรือเรื่องที่แม่นายติดหนี้พวกยากูซ่ากันล่ะ” เมฆหน้าตึงขึ้นมาทันที แววตาที่ดูเย็นชาอยู่แล้วยิ่งเย็นชาเข้าไปใหญ่ “ช็อกมากเหรอที่รู้ว่าฉันเป็นพี่” “เปล่า... ไม่ใช่แบบนั้น” ฉันพูดออกมาด้วยความรู้สึกอ่อนใจ “หึ! ฉันแค่จะมาบอกว่ามันไม่คุ้มหรอกที่จะไปเล่นตามเกมของยากูซ่า เธออย่าทำอะไรเลยจะดีกว่า เพราะเท่าที่ได้ยินมาคิเรย์น่ะร้ายกาจกว่าเก็นริวเป็นร้อยเท่า! ส่วนเรื่องเงินฉันจะรีบหาทางรวบรวมไปคืนมันเอง” “เป็นห่วงฉันเหรอ” เมฆชะงัก... หมอนั่นมองฉันด้วยสายตาราบเรียบ “ใช่! เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอฉันเองก็จะเดือดร้อนไปด้วย!” ที่แท้ก็ห่วงตัวเอง เหอะ! “เข้าใจใช่ไหม!? ถ้าไม่อยากถูกเผาก็อย่าไปเล่นกับไฟ!” “แล้วถ้าไฟมันวิ่งเข้ามาหาเราเองล่ะ นายจะทำยังไง!?” ฉันนึกถึงฉากที่คิเรย์ไปส่งบลายธ์ที่บ้านเมื่อวานแล้วรู้สึกแปลกๆ ฉันไม่ไว้ใจคิเรย์ และไม่ชอบที่ตัวอันตรายอย่างหมอนั่นมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ บลายธ์ด้วย “หมายความว่ายังไง!?” “ดูเหมือนว่าคิเรย์จะถูกใจบลายธ์เข้าแล้วน่ะสิ” ไม่ผิดแน่... สายตาที่หมอนั่นมองบลายธ์เมื่อคืน ฉันมั่นใจว่าเขาต้องคิดอะไรแน่นอน “บ้าเอ๊ย!” เมฆสบถอย่างไม่สบายใจ เขารู้ว่าฉันไม่ใช่คนที่ชอบพูดอะไรพล่อยๆ ถ้าไม่มั่นใจจริงๆ ฉันก็คงไม่พูดมันออกมาและส่วนใหญ่เรื่องที่ฉันสงสัยก็มักจะเป็นจริงทั้งหมดด้วยสิ “ฉันว่าถ้าเก็นริวรู้เข้าหมอนั่นคงไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่ๆ และตอนนั้นบางทีคนที่จะเดือดร้อนจริงๆ อาจไม่ใช่แค่ฉันกับนายแต่มันจะรวมถึงบลายธ์ด้วย ฉันว่านายคงไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นหรอกใช่ไหม” “แล้วจะทำยังไง” เมฆเหลือบมองหน้าฉันด้วยแววตาร้อนใจ “ฉันจะทำให้หมอนั่นมาสนใจฉันแทนบลายธ์เอง!” “....” ในที่สุดฉันก็เข้าใจว่าอะไรคือการสร้างจุดอ่อนที่เก็นริวพูดถึง... ถ้าหมอนั่นยังไม่มีผู้หญิงที่ชอบ ก็ทำให้เขาชอบฉันซะก็จบเรื่อง จากนั้นก็ค่อยทรมานเขาให้เจ็บปวดด้วยความรัก เป็นวิธีดัดหลังที่แยบยลและโหดร้ายยิ่งกว่าอะไรซะอีก ฉันที่คิดเรื่องแบบนี้ได้หน้าตาเฉยชักเริ่มกลัวตัวเองซะแล้วสิ ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่ฉันยังไม่รู้วิธีเข้าหาคิเรย์เลย เวลาแบบนี้หมอนั่นจะยังอยู่ที่โรงเรียนหรือเปล่านะ หรือว่าจะม้วนหางกลับบ้านไปตั้งแต่ออดเลิกเรียนดังแล้ว หึ! ช่างมันก่อนเถอะ ฉันควรรีบไปที่ห้องชมรมก่อนจะสายไปมากกว่านี้ “มานา เพิ่งมาเหรอ?” เสียงจิลเพื่อนในชมรมเอ่ยทักขึ้นมาทันทีที่ฉันย่างเท้าเข้ามาข้างใน “อืม... อ้าวแล้วนี่ทุกคนไปไหนหมด?” ฉันเหลือบมองรอบๆ ห้องที่ไร้เงาของสมาชิกคนอื่นๆ อย่างสงสัย “คงไม่มีใครมาแล้วล่ะ” “อ้าวทำไมล่ะ!?” “ไม่ได้ยินข่าวเหรอ” จิลมองหน้าฉันนิ่ง “ข่าวไร?” “ก็เรื่องที่ดนตรีไทยกำลังจะถูกนำไปบริจาคให้กับโรงเรียนอื่นไง” “ไหงงั้นล่ะ?” “เธอนี่จริงๆ เลย ไม่รู้อะไรสักนิดหรือไง” จิลส่ายหน้าอย่างเอือมระอา “ถ้าเอาเครื่องดนตรีไปบริจาคพวกเราจะเล่นอะไรล่ะ?” “ก็ไม่มีไง” “อ้าว” จิลสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะระบายลมหายใจออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก “นโยบายของโรงเรียน อะไรที่ไม่มีประโยชน์ก็ต้องโละออก ก็นะ... ในโรงเรียนอินเตอร์แบบนี้ไม่มีพื้นที่ให้กับดนตรีโบราณแบบนั้นหรอก เคยเห็นเดี่ยวระนาดบนเวทีที่เป็นทางการบ้างไหมล่ะ!?” จิลทำเสียงประชดประชัน ฉันยืนนิ่งเงียบเป็นเป่าสาก พูดอะไรไม่ออกไปสักพัก ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ “แล้วทำไมนายยังอยู่ที่นี่อีกล่ะ!?” “ก็รอเธออยู่ไง” จิลมองสบตาฉัน “เอ่อ... เหรอ... งั้นแบบนี้เราก็ไม่ต้องมาที่ห้องนี้อีกแล้วน่ะสิ” “ใช่ไง อีกไม่นานห้องนี้ก็คงจะมีเครื่องดนตรีสากลอีกชุดมาลงนั่นแหละ ถึงเวลานั้นค่อยมาคิดกันว่าพวกเราจะเล่นอะไรหลังจากไม่มีเครื่องดนตรีไทยให้เล่นแล้ว” ตลอดเวลาที่จิลพูด เรื่องดนตรีไม่ได้อยู่ในหัวฉันสักนิด ตอนนี้ฉันเอาแต่คิดว่าอะไรมันจะเป็นใจขนาดนี้ ไม่ต้องซ้อมดนตรีหลังเลิกเรียนแล้วแถมยังมีเวลาไปตามล่าคิเรย์อีก เห็นทีว่าฉันจะถอยไม่ได้แล้วสิ “งั้นฉันไปที่ห้องซ้อมอีกห้องก่อนนะจิล” “อ้าวเฮ้” ฉันเดินออกมาทันทีโดยไม่รีรอ ถึงจะรู้สึกผิดกับจิลนิดหน่อยที่เขาอุตส่าห์อยู่รอฉันแต่ฉันกลับไม่ได้สนใจ แต่... ก็ใช่ว่าฉันเป็นคนขอร้องให้เขารอสักหน่อย! เสียงเปียโนยังคงดังคลอมากับสายลมเบาๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและสบายอารมณ์อย่างไม่รู้ตัว ฉันเดินเข้ามาในห้องเป็นจังหวะเดียวกับที่เพลงจบลงพอดี “อ้าวมานา” บลายธ์หันมามองหน้าฉันพร้อมกับยิ้มละไม “วันนี้ไม่ซ้อมตีระนาดเหรอ?” “ไม่ล่ะ” “ถ้างั้นก็กลับบ้านกันเถอะ” “อ้าว! แล้วไม่ซ้อมต่อล่ะ?” ฉันมองหน้าบลายธ์อย่างนึกแปลกใจ แต่เธอกลับไม่ตอบ ลุกออกจากม้านั่งแล้วเดินไปหยิบกระเป๋า “วันนี้กลับเร็วหน่อยก็ดี ที่โรงเรียนชักจะน่าเบื่อเกินไปแล้ว” บลายธ์บ่นพลางยิ้มขี้เล่น แต่ฉันว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ นี่เพิ่งจะผ่านเวลาซ้อมมาแค่ยี่สิบนาทีเอง ปกติเธออยู่ซ้อมเป็นชั่วโมงๆ แกร๊บ... “บลายธ์มีอะไรร่วงหรือเปล่า?” ฉันก้มลงมองตามเสียงที่เหมือนมีอะไรร่วงออกมาจากกระเป๋าสะพายของบลายธ์ ก่อนจะเห็นกระดาษก้อนหนึ่งที่ถูกขยำจนเละ และกำลังจะหยิบมันขึ้นมาก็ถูกบลายธ์ชิงเก็บตัดหน้าไปซะก่อน อะไรกัน! ? ฉันมองหน้าบลายธ์อย่างสงสัย “กระดาษทดเลขน่ะ ไม่มีอะไรหรอก รีบไปกันเถอะ” บลายธ์ดูลุกลี้ลุกลนผิดปกติ ท่าทางน่าสงสัยแฮะ! ฉันเลยแกล้งแหย่ไปอีกหน่อย “แค่กระดาษทดเองเหรอ?” “อืม” “ขอดูหน่อยสิ” “อย่าดูเลย” ผิดปกติแล้ว มันต้องมีอะไรแน่ๆ ฉันจ้องหน้าบลายธ์อย่างหยั่งเชิงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาพร้อมกับรีบฉกกระดาษมาจากมือเรียวๆ นั่นอย่างรวดเร็ว! “แค่กระดาษทดจะหวงทำไมนักหนา ขอดูหน่อยเถอะน่า” “มานา!” บลายธ์แผดเสียงดังลั่นเมื่อถูกฉันแย่งกระดาษมาจากมืออย่างง่ายดาย หึ! ถ้าจะวัดความคล่องแคล่วล่ะก็ฉันเหนือกว่ายัยคุณหนูที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงมกว่าเธอเยอะ! ฉันยักไหล่อย่างไม่แคร์ท่าทางร้อนรนของบลายธ์ก่อนจะคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกดูอย่างสงสัย ‘ฉันจะรอที่ดาดฟ้าหลังซ้อมเสร็จ เรามีนัดเดทกันอย่าลืมซะล่ะ ...คิเรย์’ “เดท!? คิดเรย์!?” ฉันหันขวับไปมองหน้าบลายธ์ด้วยแววตาตื่นตระหนก ยัยบลายธ์รีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน! “ฉันไม่รู้เรื่องเลยนะ จู่ๆ หมอนั่นก็เอากระดาษนี่มาหย่อนไว้ในล็อกเกอร์เก็บของ แล้วก็ตีโพยตีพายไปเองน่ะ” บลายธ์มองฉันด้วยแววตาใสซื่อหวิดน้ำตาคลอหน่อยๆ ฉันมั่นใจว่าเธอไม่ได้แกล้งทำ “แล้วเมื่อคืน... ทำไมเธอปล่อยให้หมอนั่นมาส่งที่บ้านล่ะ” บลายธ์เบิกตากว้าง ท่าทางตกใจน่าดู “รู้ด้วยเหรอ! ?” “รู้สิ” “ก็เจอที่งานเลี้ยงน่ะ เราถูกแนะนำให้รู้จักกันผ่านทางผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย” ผู้ใหญ่เหรอ.... นี่คงไม่ได้หวังจะคลุมถุงชนสองคนนี้หรอกนะ... ยิ่งฟังฉันก็ยิ่งรู้สึกหนักใจ คิดอะไรอยู่กันนะถึงได้อยากให้ลูกสาวตัวเองไปข้องเกี่ยวกับยากูซ่าน่ากลัวแบบนั้น! ขอแค่เป็นผลประโยชน์จะแลกกับอะไรก็ได้งั้นเหรอ หึ! เป็นความคิดที่น่ารังเกียจที่สุด! “แล้ว... บลายธ์คิดยังไงกับคิเรย์ล่ะ?” ฉันถามออกไปเพื่อความแน่ใจ บลายธ์ส่ายหน้าแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้วนะ จะให้คิดอะไรกับใครได้อีกล่ะ ไม่ใช่นางเฮเลนแห่งทรอยสักหน่อย!” ยัยนั่นทำเสียงจิกกัดฉันนิดหน่อยก่อนจะสะบัดหน้าเดินตูดงอนออกจากห้องซ้อมไป... ฮึ่ม!! แล้วจะเอายังไงกับกระดาษแผ่นนี้ดีเนี่ย... อยู่ดีๆ ความคิดบรรเจิดก็สว่างวาบเข้ามาในหัวฉันอย่างรวดเร็ว! ถ้าแว้งกัดคิเรย์ไม่ได้ทำไมไม่เข้าไปชนกับหมอนั่นตรงๆ เลยล่ะ ก็มีใบเบิกทางอยู่ในมือแล้วนี่ไง... หึๆ คอยก่อนเถอะคิเรย์! ดูสิว่าระหว่างกระต่ายกับสิงโตใครจะพ่ายก่อนกัน!!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม