สามชั่วโมงแล้วหลังจากที่เกิดเรื่องลูแอลก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น บิลโทรไปหาหน่วยกู้ภัยอีกรอบ ตอนนี้สภาพถนนยังเคลียร์เส้นทางไม่ได้เลย แถมฝนก็ทำท่าว่าจะตกอีก มีหวังได้ติดอยู่ที่นี่จริง ๆ แน่ จะทำไงดีล่ะทีนี้
“เป็นไงบ้าง” ฟาคัลชะโงกหน้าเข้ามามองในห้อง
“ยังไม่ฟื้นเลยครับ” ผมมองนาฬิกาตรงหัวนอน “สามชั่วโมงแล้วนะถ้าเขาไม่ฟื้นล่ะครับ”
“เราได้แต่ภาวนาแหละ...ใครจะนึกว่าเอร่อนจะกล้าทำอะไรแบบนี้ นี่ขนาดเป็นเพื่อนกันมานานมากนะเนี่ย”
ผมถอนหายใจเรื่องชักยุ่งยากขึ้นไปใหญ่ “พวกเขาจะเคลียร์เส้นทางได้เร็ว ๆ นี้ใช่ไหมครับ”
“ฉันไม่รู้หรอก อีกยี่สิบนาทีฉันจะขึ้นมาดูใหม่”
ผมรอจนฟาคัลออกจากห้องไปก่อนหันกลับไปมองลูแอลที่ยังไม่ได้สติ รู้สึกโกรธที่เอร่อนทำถึงขนาดนี้เพียงเพราะเพื่อนพูดแทงใจดำผู้หญิงที่เที่ยวนอนก็ชาวบ้านไปเรื่อย จะต้องไปสนใจผู้หญิงแบบนั้นให้ได้ความอะไรนักหนา แต่ขืนพูดออกไปมีหวังหนักกว่าเดิมอีกเงียบไว้ก่อนแล้วกัน ผมลุกขึ้นว่าจะไปหาอะไรดื่มแก้ง่วง สายตาผมเหลือบมองภาพถ่ายพอดี
ภาพที่ลูแอลเอาแต่นอนจ้องมันราวต้องมนต์สะกด ผมว่ามันอาจจริงก็ได้ ผมเองก็รู้สึกเหมือนโดนภาพนั่นสะกดจิตยังไงก็ไม่รู้ เบนสายตาจากมันไม่ได้เลย ยังดีที่ความง่วงเข้าช่วยผมเลยสามารถพาตัวเองลงไปหาอะไรดื่มได้ คิดถึงรูปภาพนั่นขนลุกไม่หายเลยเว้ย...
ผมไปห้องครัวเพื่อดื่มกาแฟสักหน่อยแล้วจะรีบขึ้นไปเฝ้าลูแอลต่อ แต่หาอะไรไปอ่านด้วยก็ดีเหมือนกันเหงาบอกไม่ถูก หลังดื่มกาแฟเสร็จผมเดินไปตามทางจนมาถึงห้องที่มีป้ายติดว่า ‘ห้องหนังสือ’ ผมเปิดประตูเข้าไปก่อนลืมตัวว่าเจ้าของคฤหาสน์อาจล็อกห้องเอาไว้ พอหมุนลูกบิด
‘ไม่ได้ล็อกแหะ’
ผมเปิดเข้าไป...แม่เจ้าเว้ย ขนาดห้องหนังสือยังสวยหรู มีโคมไฟระย้าห้อยบนเพดานชวนให้มอง ผมเปิดไฟแล้วแสงสีส้มนวลสว่างทั่วห้อง ถ้าคุณเจ้าของขายจริงก็น่าเสียดาย ผมเดินดูตามชั้นหนังสือที่แบ่งตามหมวดอย่างดี จนเดินมาหยุดหมวด ‘สยองขวัญ’
“จัดซะสวยเชียวคิดจะทำเป็นห้องสมุดนานาชาติหรือเปล่าเนี่ย” ผมไล่ดูชื่อหนังสือที่อยากอ่านแล้วก็เจอ “ตำนานของเมืองซันนิ่ง มีหนังสือเรื่องนี้ด้วยเหรอ” ไม่ยังกะรู้ว่าเมืองซันนิ่งจะมีตำนานของเมืองด้วย แต่หมวดสยองขวัญ...เอ...เรื่องแบบผีสางไรงี้หรือเปล่านะ
ผมออกจากห้องพร้อมหนังสือแล้วขึ้นมานั่งเฝ้าลูแอลต่อ ผมเปิดหนังสือแล้วลองอ่านมันดู อาจจะสนุกก็ได้...
“เมืองซันนิ่ง...เมืองแห่งอรุณ เมืองที่มีแสงแดดตลอดทั้งปี เมืองที่รอดจากอธิพลของสภาพอากาศแปรปรวนที่มักจะมาจากฝั่งตะวันออก ก่อนที่จะกลายเป็นเมืองซันนิ่งอย่างปัจจุบัน คนในสมัยก่อนเล่ากันว่าเดิมทีเมืองนี้ไม่ได้เป็นเมืองแต่เป็นแค่หมู่บ้าน เป็นหมู่บ้านใหญ่ที่มีประชากรมากเป็นอันดับสิบของโลก
ด้วยความที่เป็นหมู่บ้านทำให้ไม่มีอุตสาหกรรมมาช่วยในการทำงาน มีเพียงข้าวของเครื่องใช้ที่สร้างด้วยมือเท่านั้น จนกระทั้งมีครอบครัวหนึ่งเข้ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้ด้วย ครอบครัวที่ว่ามีชื่อว่า ‘โบรอน’ เป็นครอบครัวคนรวยที่เข้ามาขยายอุตสาหากรรมในหมู่บ้าน ผู้คนต่างพากันสรรเสริญและให้พวกเขาเป็นผู้นำของหมู่บ้าน
เวลาผ่านไปจากหมู่บ้านเริ่มมีตึกสูงใหญ่ที่ละนิด ๆ กระทั้งมีข่าวลือจากคนกลุ่มหนึ่งว่า คนงานที่ไปทำงานที่บ้านครอบครัวโบรอนไม่มีใครได้กลับออกไป ทำให้คนในหมู่บ้านตอนนั้นไปถามหาความจริงกับครอบครัวโบรอน แต่ได้รับการปฏิเสธกลับมาว่าไม่มีใครมาที่บ้านหลังนี้ นานวันเข้าข่าวลือเริ่มหนักขึ้น...คนในหมู่บ้านเริ่มทนไม่ไหว พวกเขาเอาอาวุธไปเพื่อฆ่าคนของครอบครัวโบรอน
ครอบครัวโบรอนทุกคนถูกฝั่งทั้งเป็นแต่มีเด็กอยู่คนหนึ่งที่พูดออกมาพร้อมความอาฆาตแค้น
“ฉันสาบานขอสาปแช่งพวกแกทุกคนในหมู่บ้านซันนิ่ง สักวันฉันจะกลับมา ฆ่าโครตเง่าของพวกแกทุกคนให้หมด ถึงเวลานั้นพวกแกต้องเสียใจที่ทำลายครอบครัวของฉัน จะฆ่า...จะฆ่าให้หมดเลยไอพวกสารเลว! ไอพวกสวะ! ขอสาบานเลย!”
“ไม่อยากอ่านต่อเลยแหะ” มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ หลักจากนั้นหมู่บ้านที่พัฒนาจนกลายเป็นหนึ่งในเมืองที่เจริญแล้วลืมเลือนตำนานของเมืองไปสินะ
“อ่านไรอยู่อ่ะ”
ผมร้องลั่นออกมาเมื่อบิลมายืนอยู่หลังผม
“ทำบ้าอะไรของนายเนี่ยมายืนอยู่หลังคนอื่นเงียบ ๆ แบบนี้”
“แล้วจะทำให้มันกระตกกระตากไปทำเพื่อ!” บิลทำหน้าบึ้งก่อนเปลี่ยนมาคุยเรื่องหนักสือ “หนังสืออะไรน่ะ”
“ออ...เรื่องตำนานของเมืองซันนิ่งน่ะ”
“มีด้วยเหรอ ไม่เห็นเคยได้ยิน ขอดูหน่อยสิ”
ผมยื่นหนังสือให้เขา เจ้าตัวอ่านผ่าน ๆ แต่ก็ขมวดคิ้ว
“แล้วคนอื่นล่ะ”
“น่าจะพักกันอยู่ในห้องตัวเองน่ะแหละ จะให้ทำอะไรได้ ถนนก็มีต้นไม้ขวางระเนระนาด เห็นข่าวบอกว่าวันนี้จะมีพายุฝนตกหนักอีกระรอกด้วย ดีไม่ดีอาจเจอน้ำป่าไหลหลากก็ได้”
ถ้าเป็นอย่างที่บิลพูดจริงถนนเส้นนี้ที่จะพาพวกเราเข้าเมืองจะถูกตัดขาดทันที
“อยากให้คุณลูแอลตื่นเร็ว ๆ จัง อย่างน้อยจะได้รู้ว่าเขาโอเคขึ้น”
บิลพยักหน้าเห็นด้วยเขาส่งหนังสือคืนให้ผม
“นายไปพักเถอะเดี๋ยวฉันเฝ้าเขาต่อเอง”
ผมเกือบจะบอกไปว่าไม่เป็นไรแต่ก็เริ่มแพ้ให้กับความง่วงของตัวเองอีกรอบ ผมขอบคุณเขาก่อนจะปลีกตัวออกจากห้องลูแอลไปห้องตัวเอง ผมทิ้งตัวลงกับเตียงรู้สึกสบายตัวชะมัด ความนิ่มของเตียงทวีความง่วงขึ้นไปอีก แล้วผมก็หลับไป
แรงสะกิดของใครสักคนปลุกผม ผมงัวเงียลุกนั่งก่อนมองคนที่ปลุกผม
“คุณลู...”
ลูแอลเอามือปิดปากผม “เบาหน่อยมีอะไรบางอย่างข้างนอก”
“คนอื่นล่ะครับ”
“ไม่รู้สิตื่นมาก็ไม่เห็นใครแล้ว” เขาลุกไปฟังเสียงที่ประตู
ผมตงิด ๆ ใจแปลก ๆ “เอ่อคุณลูแอล”
“หืม”
“คุณบาดเจ็บอยู่ไม่ใช่หรือฮะ”
“หมายความว่าไง” เขาหันมามองผมจังหวะเดียวกับประตูเปิดอ้าพร้อมใบหน้าที่ไร้เนื้อหนังจ้องเข้ามาที่ผม
ผมเด้งลุกพรวดมองซ้ายขวา...อะไรวะฝันแบบนี้อีกแล้ว ฝันสองครั้งติดกันแล้วนะเนี่ย ผมใช้หลังมือเช็ดเหงื่อทั่วหน้า หยิบมือถือขึ้นดู หลับไปแค่ชั่วโมงเดียวเอง ผมลุกจากเตียงไปเปิดประตู ค่อย ๆ ยื่นหน้ามองซ้ายขวา ดูปกติดี...ผมออกจากห้องตรงไปที่ห้องลูแอลแล้วเห็นทีเรียน่านั่งเฝ้าเขาอยู่
“ถ้านายไม่ปฏิเสธฉันเรื่องแบบนี้ก็ไม่เกิดขึ้นหรอก” ผมยืนแอบตรงขอบประตูฟังสิ่งที่เจ้าหล่อนพูด “แค่นอนกับฉันแค่คืนเดียวมันจะอะไรนักหนา เห็นนายแล้วทำให้นึกถึงไมเคิลนะ รู้ไหมว่าทำไม...เพราะเจ้างั่งนั้นก็ไม่ยอมนอนกับฉัน บอกว่าจะรอจนกว่าเราจะได้แต่งงานกัน ฮึ...คิดว่าสมัยนี้เป็นเหมือนสมัยก่อนหรือไง ที่ผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว ผู้ชายต้องให้เกียรติผู้หญิง ถ้าเป็นได้จริงป่านนี้ก็ไม่มีพวกเด็กเร่ร่อนหรือผู้หญิงที่ท้องก่อนแต่งหรอก คนโง่”
ทีเรียน่ากลายเป็นผู้หญิงร่านตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย เอาเหอะที่หล่อนพูดก็ถูกสมัยนี้ทุกอย่างเปรียบไปหมดแล้ว แต่อย่างน้อยเพื่อปกป้องตัวเองก็น่าจะดูแลตัวเองหน่อย อย่าบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นหล่อนเป็นคนยุให้เอร่อนทำ เหตุผมเฮงซวยมากแม่คุณ จู่ ๆ หล่อนก็ลุกขึ้นผมรีบวิ่งกลับไปห้องตัวเอง ทำเหมือนกับว่าพึ่งออกจากห้อง
ผมมองหล่อน หล่อนเองก็มองผมก่อนเดินเข้ามาหา
“ทำไมถึงเลิกกับฉัน”
“ถามไม”
“เปล่า...ไม่มีอะไร”
ผมมองตามจนหล่อนกลับเข้าห้องที่หล่อนอยู่กับเอร่อนไป ถามเหรอ...ถามทำไมทั้งที่ตัวเองรู้ตัวดีแก่ใจว่าทำไม
“ร่านสุด ๆ ไปเลยนะว่าไหม”
ผมมองแอนนาที่ยืนพิงประตู
“ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม”
“ง่ายจะตาย...เซ็กซ์เป็นอะไรช่วยให้ผ่อนคลายที่สุด มันไม่ผิดกฎหมายเหมือนพวกยาเสพติด จะทำมันเมื่อไหร่ก็ได้ไม่มีใครห้าม”
“จะอ้วก”
แอนนาถอนหายใจ “อย่างว่าสมัยนี้แล้ว นายจะไปเฝ้าลูแอลเหรอ”
“เปล่าครับ ก่อนทีเรียน่าจะเข้าไปบิลเป็นคนเฝ้าแทนผมน่ะ”
“งั้นเหรอ เดี๋ยวฉันไปดูเขาเองเธอกลับห้องไปพักต่อเถอะ”
ภัยธรรมชาติคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด เป็นภัยร้างแรงที่ไม่ว่าจะเผ่าพันธุ์ไหนก็ไม่สามารถต้านทานความน่าเกรงขามของมันได้ กฎแห่งธรรมชาติคือทุกสิ่งอย่างล้วนมีสมดุล แต่ใคร ๆ ก็รู้ว่ามนุษย์ทำลายสมดุลนั่นอยู่ทุกวันเวลา ทุกวันนี้ธรรมชาติกำลังทวงสิ่งที่หายไปคืน ข่าวในวันนี้พายุที่ก่อตัวขึ้นนอกเมืองซันนิ่งทำเอาคนในเมืองอกสั่นขวัญหาย เมืองซันนิ่งไม่ค่อยเกิดปรากฎการภัยธรรมชาติรุนแรง นี่เป็นครั้งแรกที่เมืองนี้พบเจอ
“ธรรมชาตินี่น่ากลัวนะเวลาพวกเขาต้องการของ ๆ เขาคืน”
ดาบมองเดวิดที่ยืนดูฟ้ามืดครึ้มขมุกขมัว ใช่...จริงอย่างที่เพื่อนเขาพูด ธรรมชาติคือภัยที่อันตรายที่สุด แม้แต่เขาที่เป็นถึงราชันย์ลูซิเฟอร์ที่สามก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้ ดาบมองแสงจากฟ้าที่ฝ่าลงมา ขนาดว่าพายุเกิดแถวเมืองซันนิ่งแต่ยังเผื่อแผ่มาถึงส่วนกลาง พายุครั้งนี้ต้องใหญ่มากแน่
จูเลียเดินมานวดไหล่เขาเบา ๆ “พายุใกล้มากขึ้นแล้วนะคะ พวกเจ้าหน้าที่กำลังรอคำสั่งคุณอยู่”
เขาลุกขึ้นหันไปจูบหน้าผากเนียนแล้วหันไปพูดกับเพื่อน “นายยังไม่กลับใช่ไหม”
“สภาพแบบนี้ถ้ากลับได้กลับไปแล้ว” ไม่ว่าเปล่ายังทำหน้าบึ้ง
ดาบขำกับอารมณ์เพื่อน “เธอขึ้นไปข้างบนเถอะ เดี๋ยวฉันตามขึ้นไป”
จูเลียยิ้มให้เขาก่อนเดินขึ้นข้างบนโดยมีลูกชายสองคนพยุงเธอขึ้นไป
“เจ้านั่นว่าไงบ้าง ได้ยินว่าอาละวาดเป็นหมาบ้าอีกแล้วเหรอ”
“จะว่าไงได้อยากได้ของดีก็ต้องรอกันหน่อย ฉันเองก็ตรัสรู้ไม่ได้หรอกว่ามนุษย์ที่ฉันส่งไปจะโดนใจมันหรือเปล่า หน้าที่ของฉันแค่ส่งมนุษย์ไปหาเท่านั้น ส่วนมันจะได้ของที่อยากหรือไม่อยู่ที่ดวงน่ะแหละ”
“รอบนี้น่าจะเจอแล้วมั้ง”
“ไม่รู้สิ...แต่ถ้าเจอจริงก็อยากเห็นเหมือนกันน่า ว่าใครเร้าใจขนาดทำให้มันเคลิ้มได้ขนาดนี้"