เมื่อจัดที่นอนให้เธอเสร็จแล้ว เขาก็ถือห้าห่มและหมอนเดินออกมาที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้ง เห็นดังนั้นแล้วเธอก็มองด้วยความประหม่า ไม่กล้ามองตรงๆ แต่คิดว่าเขาคงนำมาให้เธอแน่ๆ
“คุณ เอ่อ เข้าไปในห้องนอนผมก็ได้นะ ถ้าไม่รังเกียจห้องนอนผู้ชาย” เขาบอกด้วยน้ำเสียงเรียบ
“ว่าไงนะคะ นะ... นะ... นอนห้องนอนคุณเหรอ ฉันมาแย่งคุณเหรอเนี่ย”
“ผมคงให้คุณนอนที่ห้องนั่งเล่นไม่ได้หรอก อีกอย่างบ้านผมมีห้องนอนเดียว”
“ขอบคุณนะคะ นี่คุณเอาออกมานอกข้างนอกเหรอ แล้วจะนอนสบายเหรอคะ” เธอถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้องห่วงครับ นี่เป็นโซฟาเบดดึงออกมาเป็นเตียงนอนได้”
“จริงเหรอคะ ดีจัง ขอบคุณอีกครั้งค่ะ”
“ว่าแต่ง่วงหรือยังล่ะ”
“ฉัน... หลับตาไม่ลงเลยค่ะ มันคิด ยังไม่ลืม”
“อยากระบายไหม อย่างน้อยการที่ผมจะช่วยเหลือใครสักคน ผมก็ต้องรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้เธอก็มองหน้า แต่ก็นึกเกร็งไม่กล้าเล่า และคงเล่าไม่หมด
“ฉัน... เอ่อ” นึกถึงภาพนั้นแล้วเธอไม่กล้าเล่าเอาเสียเลย
“เล่าคร่าวๆ ก็พอครับ ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงหนีมาทั้งที่อยู่ในชุดเจ้าสาวแบบนี้” น้ำเสียงของเขาดูเอาเรื่อง ดูนักเลง ไม่เหมือนคนที่พร้อมจะรับฟังเอาเสียเลย หรือคิดอีกทีเขาอาจจะไม่ได้ชอบใจ ที่ให้การช่วยเหลือเธอก็เป็นได้
“คร่าวๆ เหรอคะ ฉันแต่งตัวเสร็จ กำลังจะไปเรียกเจ้าบ่าวที่อยู่อีกห้อง แต่... ฉันเห็นเขากำลังมีอะไรกับผู้หญิง” จันทรภาเล่าสั้นๆ และหยุดเอาไว้เท่านี้ แต่นั่นล่ะมันทำให้คเชนทร์ถึงกับช็อกไปเลย มันมีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือวะเนี่ย
เคยเห็นแต่ในละคร แล้วเจ้าบ่าวมันเลวแค่ไหนวะเนี่ย เขาคิด
“ก่อนจะมาน่ะเหรอ”
“ใช่ เขายังอยู่ในชุดเจ้าบ่าวอยู่เลย นั่นมันไม่เจ็บเท่ากับผู้หญิงที่เขามีอะไรด้วยคือเพื่อนรักของฉัน”
“โอ้! พีคในพีค ผมต้องตกใจกับอะไรก่อนดีวะเนี่ย”
“จังหวะนั้นมือฉันไปโดนประตู เขาตกใจและเห็นว่าฉันแอบดู ฉันก็เลยรีบหนีมา ตัดสินใจไม่แต่งปล่อยให้ทุกอย่างมันพัง อย่างน้อยโชคยังดีที่ฉันไม่ทันได้ก้าวขาลงนรก” ยังดีที่เธอคิดว่ามันคือความโชคดีที่ไม่ได้หลวมตัวแต่งงานไป
“แต่คุณก็ขึ้นรถผม” เขาเสริมให้
“มันเป็นจังหวะที่คุณปลดล็อกรถพอดี แล้วคุณก็โทรศัพท์หันหลัง เพราะฉันคิดว่าเขาคงให้ลูกน้องไล่ตาม กลัวคนเห็น ฉันก็เลยขึ้นรถคุณมาก่อน”
“เพื่อนรักกับเจ้าบ่าวคุณ ถ้าคุณจะเสียใจ ก็เสียใจให้พอ และก็ยิ้มกับตัวเองซะ เพราะว่าคุณโชคดีไม่ต้องตกนรกอย่างที่บอก ถ้าแต่งก็ไม่แน่ว่าลับหลังเขาก็จะทำแบบนั้น ต้องเจ็บปวดเสียใจยิ่งกว่านี้ซะอีก”
“คงแอบกินกันมานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ แล้วจะแต่งกับฉันทำไม”
“นั่นสินะ มันมีเหตุผลอะไรที่ต้องเป็นแบบนี้ แล้ว... คุณเจ็บไหม หัวใจน่ะ”
“เจ็บ คิดว่าตัวเองมั่นใจว่าเลือกคนไม่ผิด คิดว่าเพื่อนรักจะไม่หักหลัง ที่ไหนได้ หญิงก็เลว ชายก็เลว ชั่วทั้งคู่ฉันไม่ควรให้ใจเลย”
“ก็สมกันแล้วนี่ ให้เขาได้กันไปเลย เอาล่ะผมไม่ถามต่อแล้ว ได้รู้เท่าที่อยากรู้” เขารีบตัดบทเพราะไม่อยากให้เธออยู่กับเรื่องราวแย่ๆ นานนัก ไม่งั้นจะร้องไห้อีก
“แล้วฉันถามคุณได้ไหม คุณเป็นแขกของโรงแรมเหรอคะ หรือว่าไปทำงานหรือไปประชุม”
“ผม... คือ เอ่อ เป็นเจ้าหน้าที่ของที่นั่นน่ะ” พอเขาบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ก็ทำให้เธอขมวดคิ้ว เพราะจำการแต่งตัวได้ เขาใส่สูทผูกเนคไท คิดแล้วเธอก็มองออกไปนอกบ้าน เพื่อดูยี่ห้อรถอีกทีก่อนจะหันมาหรี่ตามองเขา
“อะไร” เขาถามกลับอย่างยียวน
“เจ้าหน้าที่ของโรงแรมเหรอคะ เชื่อก็ได้” เธอจะไม่ถามเซ้าซี้แต่รู้ว่าเขาโกหก เพราะคำว่าเจ้าหน้าที่คือพนักงานเท่านั้นแหละ แต่คิดว่าระดับเขาน่าจะสูงกว่านั้น ถ้าไม่ใช่รถตัวเองก็รถประจำตำแหน่งผู้บริหาร ทว่าถ้าเขาไม่บอกมันก็เรื่องของเขาแหละ
“หน้าตาเชื่อเหลือเกินนะครับ”
“คุณไม่อยากบอก ฉันไม่จำเป็นต้องถาม”
“ผมก็ทำงานกินเงินเดือนนี่แหละ อย่าคิดมาก แล้วนี่โอเคหรือยัง”
“ยังไม่หรอกค่ะ แต่จะพยายาม”
“ผมเข้าใจ มันต้องใช้เวลา เอาเป็นว่าคุณอยู่ให้สบายใจก็แล้วกัน และผมอยากให้คุณไปพักผ่อนซะ พรุ่งนี้จะได้พร้อมลุกขึ้นมาสูดอากาศบริสุทธิ์”
“ถึงคุณจะไม่อยากฟัง แต่ฉันก็อยากจะพูด ว่าขอบคุณอีกครั้งค่ะ”
“รู้ใช่ไหม ว่าการที่ผมช่วยคุณ ผมต้องเดือดร้อน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”
“ฉันจะไม่ให้คุณเดือดร้อน จริงๆ นะ”
“โอเค ถ้างั้นคุณไปนอนนะ เดี๋ยวผมปิดบ้านแล้วก็จะเก็บถ้วยเอง” สิ้นคำคเชนทร์ก็ไม่รอให้เธอคัดค้าน รีบหยิบชามมาม่าไว้กับตัว ก่อนจะลุกขึ้นแล้วผายมือ บอกทางให้เธอเข้าห้องนอน