คงไม่มีใครคิดปฏิเสธหรอก เขาจะไม่โทษความผิดของฝ่ายหญิง เพราะรู้ตัวเองว่า ทำผิดอยู่มากเหมือนกัน
ตอนนี้สิ่งที่เขาทำได้คือ พยายามสลัดฝ่ายผู้หญิง โดยการที่ไม่ได้คิดจะยุ่งเกี่ยวข้องแวะกับหล่อนอีก
และจะว่าไปด้วยที่ต้องการจะให้ความรักของเขาและผู้หญิงคนเดิมที่เขายังปักใจแน่นไม่สร่างซายังคงอยู่ และพัฒนาไปไกลมากกว่าเดิน ถึงขนาดเขาจะคุกเข่าขอหล่อนแต่งงาน และ หญิงสาวยอมรับมันด้วยหัวใจรักของหล่อน ที่ไม่แตกต่างไปจากเขานัก
แต่สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ คือใช้สายตากวาดมองไปทั่วบริเวณ หัวใจที่ดื้อด้าน แข็งกระด้างของเขา แม้ว่ามันจะยังไม่ยอมอ่อนลงให้กับใครก็ตาม แต่เขาก็มีความสุขอยู่นิดหนึ่ง กับการที่ได้มองโน่นมองนี่ เป็นภาพธรรมชาติที่อยู่รอบๆสายตา มันพอจะทำให้เขาหยุดและเลิกคิดเรื่องฟุ้งซ่านได้บ้าง
เขากำลังตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่า จะย้ายตัวเองเข้ามาในเมืองกรุงซักที
ข้างๆบ้านพักของอนุตร เขาได้มองเห็นเด็กสาวลูกสาวหรือหลานสาวของป้าแต้ว หรือนางแรมจันทร์คนข้างบ้านที่สนิทสนมคุ้นเคยกันมานานหลายปี สิ่งที่อนุตรมองเห็นคือเด็กสาวที่แต่งกายในชุดของสถาบัน
ยูนิฟอร์มแสดงเรื่องหมายของนักเรียนโรงเรียนพาณิชย์ อนุตรจำได้ว่าเขาเคยมองและพบเห็นเด็กสาวคนนี้มานานหลายปีเขาจำได้ว่า คงจะเป็นคนเดียวกับเด็กสาวตัวกะเปี๊ยก ที่หน้าตาเหมือนยายลูกเป็ดขี้เหร่ ที่เขามักเอ่ยแกล้งเมื่อก่อนนี้ เขานึกแกล้งอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุกสนานนั่นเอง
ตอนนั้นเขาเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น เด็กหญิงยังเรียนอยู่ชั้นอนุบาล แต่จะใช่เด็กคนเดียวกันหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เมื่อคุณแรมจันทร์ดึงแขนเด็กสาวคนนั้นเข้ามาหาเขาในตอนเช้าของวันหนึ่ง
“ นี่ไงค่ะ คุณ นุตร แม่หลานสาวของดิฉัน แม่ลูกเป็ดขี้เหร่ของคุณนุตรสมัยโน่น ไม่ได้เจอกันมาหลายปีแน่ะค่ะ คุณนุตรผอม แต่ก็ดูแกร่งขึ้น”
ดูเหมือนเด็กสาวที่ชื่อโมลันนา ทำท่าจะเงียบ ไม่ใช่ถึงขนาดว่าเธออยากจะรู้จักเขาหรอก เพราะเธอแน่ใจอยู่แล้ว เขาน่าจะเป็นลูกชายเจ้าของบ้าน เพื่อนรุ่นพี่ในอดีตที่ชอบกลั่นแกล้งเธอ
โมลันนาจำได้แค่เพียงภาพบางอย่างในอดีตเท่านั้น เพราะมันลางเลือนเต็มที ต้องอาศัยการกระตุ้น การพาตัวเองมาพร้อมกับคุณป้าแต้วของเธอ มาแนะนำเขาถึงที่บ้าน เป็นการชักชวนของคุณป้าเธอเอง ต่างหากในฐานะที่เคยรู้จักกันมานมนานแล้ว เรียกว่าเป็นเพื่อนบ้านสมัยเก่า
โมลันนาเป็นเด็กหญิงที่คุณแรมจันทร์ขอมาเลี้ยง และเป็นลูกของน้องชายในไส้แท้ๆของเธอที่เสียชีวิตหลังจากขับรถส่งสินค้าไปทางปักษ์ใต้ รถพลิกคว่ำ ชนต้นไม้ข้างทาง ทำให้บิดาเสียชีวิตอย่างน่าอนาถ
ชายหนุ่มพิจารณาเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า กาลเวลาที่ผันผ่านไปนาน ไม่นึกว่าเด็กสาวที่ที่เหมือลูกเป็ดขี้เหร่ เนื้อตัวมอมแมมในสมัยเด็ก พอเติบโตเป็นสาวหน้าตาจะสวยสะอย่างนี้ และเขาก็คิดในใจว่า ไม่น่าเชื่อเลยว่า จะเป็นยายเด็กคนนั้น
เมื่อนั่งคิดและตรึกตรองภาพในอดีต เขาพยักหน้ารับกับคุณแรมจันทร์
“พามาเยี่ยมคุณนุตรหรอกค่ะ ในฐานะคนเคยรู้จักกันมาก่อนในอดีต เห็นว่าคุณนุตรเองก็ลาราชการขึ้นมาเยี่ยมบ้าน แ ล้วเมื่อไหร่ล่ะคะ จะขึ้นมาอยู่ที่นี่เป็นการถาวรเสียที หรือว่าสาวๆตามชนบทฉุดรั้งคุณนุตรเอาไว้เสียแล้ว ”
อนุตรยิ้มน้อยๆ จนเห็นริมฝีปากที่คลี่กระจายออกจากกันสีแดงที่มุมปาก มีหลายคนไม่น้อยที่คิดแบบนี้ คิดมากกว่าผู้เป็นเจ้าของเสียอีก คิดแล้วแทบจะมีคำตอบให้เสร็จสรรพกันเลย ว่า เขาจะต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้
การที่ได้พบพานอะไรมากมาก ถือว่าเป็นประสบการณ์ในชีวิตอย่างยิ่ง สิ่งที่อนุตรทำได้คือ พยายามพุดแต่น้อยๆ แล้วก็เงียบกริบ แต่ถึงอย่างไรคุณแรมจันทร์ก็ถือว่าเป็นเพื่อนบ้านที่สนิทสนมกันมายาวนานและเขาก็ยอมรับ
โดยตามมารยาทด้วยนั่นเอง และเขาก็ไม่เคยเห็นคุณแรมจันทร์เป็นคนอื่นไกลที่ไหน นางเป็นเพื่อนบ้าน ที่ทุกคนในครอบครัวของเขา ดูเหมือนจะสนิทกันมากกว่าครอบครัวอื่นๆในละแวกนี้ เนื่องจากความมีอัธยาศัยไมตรีแล้วนางมักมีของฝากนำมาแลกเปลี่ยนกับครอบครัวของเขาเสมอ มารดาของเขาเองนั้นดูเหมือนจะเข้ากันได้ดีกับนางแรมจันทร์
“ ชื่อ อะไรล่ะ ครับ ผมทำท่าจะลืมๆเสียแล้ว เวลามันผ่านมานานหลายปี ผมไม่นึกว่าน้องจะโตขึ้นมา นี่สวยน่ารักทีเดียว ”
อนุตรหลุดคำพูดออกมาบ้าง หลังจากนั่งเงียบไปส่วนใหญ่ คุณแรมจันทร์จีบปากจีบคอพูด เป็นเหมือนคุณแรมจันทร์คนเดิมที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“แตงโมค่ะ เป็น ชื่อเล่น แม่นี่ เขาตาคม เหมือนแขก ทางแม่เขาล่ะค่ะ ตอนนี้ก็เรียนใกล้จะจบแล้ว อีกเทอมเดียว กำลังจะหางานทำอยู่ คุณนุตร พอจะมีเพื่อนที่สนิท ฝากให้แกด้วยสิคะ ถือว่าช่วยน้องนุ่งคนหนึ่งก็แล้วกันค่ะ ป้าเห็นว่าคุณนุตจรเองมีเพื่อนในวงการมาก จะมีแต่คุณนุตรคนเดียวเท่านั้นล่ะ ที่ไม่ตามอย่างคนอื่น ไปเป็นข้าราชการอย่างเดียว ป้าขอฝากไว้ด้วยนะคะ ว่างๆแวะมาที่บ้านด้วยก็แล้วกันค่ะ ยินดีต้อนรับคุณนุตรเสมอ”
แรมจันทร์กับหลานสาวกำลังจะเอ่ยลาอนุตร ซึ่งอนุตรก็ตอบรับ เขากลายเป็นคนสำคัญไปนานเท่าไหร่แล้วนี่ ไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าตัวเองจะรับปากคุณแรมจันทร์เอาไว้ และมันก็ต้องทำให้ได้ด้วยสิ
และนี่ไม่ใช่ปัญหาเลย เขามีเพื่อนฝูงมากมายก็จริงอยู่ แต่คราวนี้ต้องเคาะสนิมในหัวสมองของตนเองก่อน ที่จะเดินไปเคาะประตูบ้านของเพื่อนแต่ละคน ไม่รู้ว่ามันยังอยู่ที่เก่า หรือว่าย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว
เพราะว่าเขาไม่ได้ติดต่อมานาน หรือว่าไปมาหาสู่มากนัก ในหัวสมองตลอดเวลาที่ผ่านมา เขามีแต่งาน งานอยู่ในหัวสมอง งานข้าราชการ จนไม่สามารถที่จะปลีกตัวออกไปไหนได้ นอกจากงาน ยังมีผู้หญิงคนนั้นอยู่ในใจของเขาตลอดเวลา ผู้หญิงคนนั้น ทำไมใจแข็งกับเขาอย่างนี้
ทำท่าเหมือนไม่ใช่คู่รักกัน เหมือนว่าเป็นคนอื่น คนแปลกหน้าไปซะอย่างนั้น
คอยดูเถอะ พ่อจะบุกประชิดตัวไปถึงบ้านเลยรายงานตัวแสดงตนว่าเป็นว่าที่ลูกเขยในอนาคตให้ครอบครัวนั้นตกใจ ถ้าขืนวธุกาญจน์ มัวคิดอย่างอื่น กับเขา ไม่ให้ความสลักสำคัญแก่เขามากเท่าที่ควร
เขาจะทวงสิทธิ์ของการเป็นคนรักอย่างนี้ ใครมันจะคิดยังไง ว่ายังไงก็ตามไปสิ เขาไม่สนใจ เขาอดทนแทบจะทนไม่ได้อยู่แล้วทุกวันนี้ ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงทรมานจิตใจของคนที่ตนเองรักได้ลงคอ
“ วธุกาญจน์ ผมไม่รู้ว่าตอนนี้คุณคิดอะไรอยู่ จะเกลียดจะโกรธ หรือหวาดระแวงใจผมอยู่ ขอให้คุณรู้สักเสี้ยวของหัวใจของผม ว่ารักและคิดถึงคุณเสมอ ถึงแม้คุณจะหมางเมิน เฉยเมยต่อผมก็ตาม ”
อะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้อนุตรเอ่ยเผลอปากพึมพำเบา ขณะยืนนิ่งและใจครุ่นคิดตาม หลังจากที่นางแรมจันทร์กับ
หลานสาวกลับเข้าไปในบ้านแล้ว
อนุตร ชื่อนี้ หญิงสาวไม่อยากจะเอ่ยถึงเขาเลย ผู้ชายใจร้าย คนหลอกลวง คนสัปปรับ เจ้าเล่ห์ สารพันที่วธุกาญจน์จะตั้งฉายาให้เขา เมื่อพอที่จะรู้ความจริง และระคะระคายมาบ้าง จากจีรมลเป็นคนบอก ว่าผูกสมัครผูกสัมพันธ์อยู่กับแม่สาวบ้านนอก โดยที่วธุกาญจน์ ก็ไม่สนใจว่า ชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร ผู้หญิงคนนั้น
แค่นี้เธอก็กระอักใจมากพอแล้ว กับ วาจาที่ไม่ซื่อสัตย์ของอนุตร ต่อไปคอยดูนะ วธุกาญจน์จะหลบหน้าเขาให้ได้ ไม่ให้เขาเจอหน้าพูดคุย แล้วตัวเองจะไม่ยอมใจอ่อนเหมือนเมื่อครั้งที่ผ่านมา หล่อนเคยให้อภัยแก่เขาแล้ว มันหลายครั้งหลายหนมาก ซ้ำซาก จนเขาไม่รู้จักสำนึก
ถ้าหล่อนมัวแต่ใจอ่อนร่ำไป ก็เหมือนกับว่า หล่อนโดนเขาหลอก เวลานี้ดูเหมือนวธุกาญจน์จะร้องไห้ไม่ออก น้ำตาของหล่อน ไม่มีหยดอุ่นๆไหลรื้นออกมา วธุกาญจน์ทำตาแข็ง ไม่ใจอ่อน เพราะความขมขื่น มันกล้ำกลืนเข้าไปในทรวงอกจนหมด
จะมีอะไรเล่ามาดับความทุกข์ร้อนในจิตใจของหล่อนได้ นึกว่าเขาดี เมื่อก่อนหล่อนคิดอย่างนั้น บูชาเขา แต่แล้ว เมื่อลายแท้ของเขาออกมาปรากฏ เขาช่างทำหล่อนเจ็บแสบเสียยิ่งกว่าอะไร
แล้วใคร ? ผู้หญิงคนนั้น จีรมลอุตส่าห์บอก แล้วจีรมลไปได้ข่าวมาจากใครกัน ถึงจีรมลไม่บอก หล่อนก็เชื่อ เพราะระแคะระคายมานานแล้ว
แล้วมันมีจดหมายฉบับหนึ่ง ส่งตรงมายังบ้านพักของวธุกาญจน์ โดยที่หล่อน ไม่เคยรู้จักชื่อ เจ้าของจดหมาย เลยแม้แต่สักนิด แต่ก็นึกแปลกเหมือนกัน ที่หล่อนรู้จักชื่อ วธุกาญจน์ แล้วก็ที่อยู่บ้านพักได้
หล่อนพยายามสืบเสาะ ค้นหา ว่าต้นตอมาจากไหน ทำไม ถึงรู้จักชื่อและที่อยู่ ดีนะที่มันไม่ได้กลายเป็นเรื่องใหญ่โต จนพ่อแม่หล่อนสงสัย ไม่งั้นวธุกาญจน์ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ก็รู้เพียงว่า ผู้หญิงคนนี้ใจกล้ามาก หล่อนเองยังไม่กล้านำหลักฐานชิ้นเด็ดนี้ไปปบอกให้ปลัดอนุตรดูให้เต็มตา
ว่าผู้หญิงคนนั้นเขียนมาบอกกกล่าวถึงหล่อนยังไง กลับมาหาว่า หล่อนเป็นแมวขโมย มาแย่งชิงสิ่งของของคนอื่น ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า วธุกาญจน์ แย่งแฟนของหล่อน ข้อหาอย่างนี้มันร้ายกาจนักกับการกล่าวหา หล่อนแทบช๊อค เป็นแฟน ”
คำนี้ วัยรุ่นเดี๋ยวนี้ตีความหมายของคำว่าแฟนได้ลึกซึ้งมากกว่าเดิม ก็คือ คนที่นอนด้วยกันด้วย
วธุกาญจน์ก็เข้าใจว่า เป็นคำนี้ แน่นอน แล้วทำไมต้องโยงใย มาถึงตัวหล่อนด้วย แสดงว่าผู้หญิงคนนี้ต้องรู้อะไรเกี่ยวกับรายละเอียด ตัวของหล่อนเป็นอย่างมาก ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
แล้วหล่อนอยากรู้นักว่า ใครเป็นคนบอก แล้วรู้ได้ยังไงกัน เพื่อนที่วธุกาญจน์คบหาก็แทบจะนับคนได้ ผู้หญิงคนนี้กล้าหาญชาญชัยมากเกินไปแล้ว
วธุกาญจน์ไม่คิดอะไร แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ร้องประกาศปาวๆ หาสามี ถ้าอยากทำอย่างนั้นก็เอาป้ายมาแขวนไว้สิ เอาโซ่ล่ามติดอกเขาไว้เขียนป้ายติดตราจองไว้ด้วย
สกปรก สกปรกทั้งคู่ วธุกาญจน์นึกด่าในใจอย่างรังเกียจ ไปถึงคนสองคนที่ทำเรื่องไว้อย่างเลวร้าย แล้วจะต้องมาให้หล่อนรับรู้ด้วยหรือ
หล่อนไม่ได้มีอะไรกับปลัดอนุตรซักหน่อย จะว่าไป เป็นแค่คู่รัก คบกันมานานก็จริง เคยหมายมั่น คิดไปไกล ว่าจะต้องลงเอยด้วยการแต่งงานกันอย่างแน่นอน แต่วันนี้ มันไม่มีทางแล้ว
วธุกาญจน์มั่นใจอย่างนั้น เพราะสิ่งทั้งหมดนั้น อนุตรเป็นคนก่อขึ้นมาเอง เขาจะต้องรับผิดชอบ ให้เขา ไปคุย ตกลง กับผู้หญิงคนนั้นเอง โปรดอย่าได้ลากหล่อนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอย่างเด็ดขาด ไม่หรอก หล่อนจะไม่รับรู้เรื่องของอนุตรอีกต่อไปแล้ว หญิงสาวพยายามสลัดความคิดนี้ให้พ้น หล่อนต้องทำได้
วธุกาญจน์ยังขบคิดตามลำพังในห้องพัก ซึ่งเงียบ และสงบก็จริง มีแอร์คอนดิชั่นเปิดระบายอากาศ ให้ความเย็นนั้นสม่ำเสมอ เพราะวธุกาญจน์ไม่ชอบอากาศหนาวเย็นจนยะเยือก แต่ความคิดของหล่อนก็ยังวนเวียนสับสน
ผู้หญิงปริศนา ที่บอกชื่อตนเองมาด้วยว่า ชื่อ ใยบัว ซึ่งเป็นชื่อที่วธุกาญจน์ไม่เคยรับรู้มาก่อนในสาระบบหัวสมองของหล่อน จะว่าไป คนที่ไม่รู้จักชื่อของหล่อนดี ก็ไม่น่าจะเรียกถูก
ไม่มีเรื่องอะไรให้หล่อนคิดแล้วหรือไง ถึงต้องมาจมปลักในเรื่องนี้ จะหลับพักผ่อนให้สบายเสียหน่อย สมองเจ้ากรรม กลับมาคิดเรื่องนี้
ไม่รู้มันเป็นเพราะอะไร มันแว๊บมาในความคิด การกระทำของผู้หญิงคนนั้นต่างหาก ที่ทำให้วธุกาญจน์ฉุกคิดขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปในแง่สรรเสริญต่อหล่อน ผู้หญิงคนนั้นเลย
แต่ก็คิดเพียงว่า ผู้หญิงคนนั้น สติสตังดีหรือเปล่า ที่กล้าเอาตัวเองประจาน ภาพความก่อเรื่องรำคาญใจ คือ คุณปานนิตตา ผู้เป็นน้าสาวของหล่อนอีกคน ที่ทำให้ไม่สบายใจเลย
น้าสาวมักชอบที่จะบังคับ ให้วธุกาญจน์ทำตามใจท่าน แต่หล่อนก็ไม่ใช่หุ่นยนต์ ตุ๊กตาไขลาน หรือสิ่งของที่จะมาจับบังคับ ให้หล่อนต้องเดินซ้าย ให้หล่อนต้องเดินขวา ตามใจชอบ นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ วธุกาญจน์อึดอัดใจเป็นที่สุดเหมือนกัน
หญิงสาวยังคงทรุดนั่งระหว่างขอบเตียง ที่นอนหนานุ่ม เตียงสปริง ที่เคยนอนกอดตุ๊กตาหมีทุกวัน อบอุ่นสบาย มีผ้าปูลายดอกไม้สด ที่คนใช้จัดการให้
หล่อนไม่น่าจะมาครุ่นคิดเรื่องไร้สาระบ้าบอนี่เลย เป็นเอามาก หล่อนก็คิดตามเป็นตุเป็นตะไปด้วย ในที่สุดวธุกาญจน์ก็นึกตำหนิตัวเอง ที่พลอยขบคิดในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง
เฮ้อ ฟุ้งซ่านก็เป็นหนอเรา วธุกาญจน์คิด แม้หล่อนจะเคยฟุ้งซ่าน แต่ไม่ใช่เรื่องแบบนี้ สี่ทุ่มกว่าๆ ที่วธุกาญจน์สามารถจะข่มตาตัวเองหลับลงได้ และเมื่อหลับลงแล้วแทบสนิท ไม่รับรู้ต่อสิ่งใดเลย
ฝ่ายอนุตร เขาสังหรณ์ใจบางอย่าง คิดว่า ใยบัว ผู้หญิงคนนั้นต้องวางแผนการสักอย่างหนึ่ง ปกติ ใยบัวก็ทำให้เขาไม่ไว้ใจอยู่แล้ว โดยเฉพาะความรักที่เขาไม่มีให้ หล่อนก็พยายามจะตื้อเขา ใยบัวร้อนรนหนักหนา หล่อนรู้ข้อนี้ดี
แม้ว่าหล่อนจะปรนเปรอเขาด้วยความใคร่ แต่เขาก็ไม่อยากจะลิ้มลองกับมันมาก แม้ว่าใยบัวจะต้องการก็ตาม เขาจะต้องผลักไสหล่อนไว้ ปฏิเสธหล่อน พักหลังเขาทำได้
เขาไม่มีจิตใจพิศวาสใยบัว นอกเสียจากว่า ความเหงา และอารมณ์เปลี่ยว บางครั้งบางครา ชั่วครู่ชั่วยามมันพาไป แต่ระยะหลังนี้ เขาหันหนีจากใยบัวอย่างเด็ดขาดแล้ว เขาไม่ได้มีอะไรกับผู้หญิงคนนั้น
เขากลัวเหมือนกัน กลัวผิดพลาด เขากลัวทำผิด ต่อวธุกาญจน์ ที่เขาพลาดพลั้งทำไปหลายครั้งแล้ว สงสารวธุกาญจน์ที่ช่างไม่รู้อะไร แล้วถ้าหล่อนรู้ เขาจะทนต่อความเฉยชา หมางเมินของหล่อนได้หรือ
อนุตรบอกกับตัวเองตรงๆว่า ไม่ได้แน่นอน เขาจะปล่อยให้คนอื่นเข้าใจผิด ให้วธุกาญจน์เย็นชากับเขาไม่ได้อีกแล้ว หล่อนทำแบบนี้กับเขา รู้ไหมว่าเขาเจ็บปวดแค่ไหน
ที่ขอลาราชการมาดูแลแม่ที่ป่วยเข้าโรงพยาบาล ส่วนหนึ่งเขาอยากจะมาเจอหน้าหล่อน พบปะหล่อน พูดคุยกับหล่อนด้วย จะได้หาทางปรับความเข้าใจกัน
เขายังอยากจะรู้เหมือนกันว่า หล่อนยังเหมือนเดิมสำหรับเขาไหม? อนุตรต้องวนเวียนอยู่ในห้อง เขาเดินออกเดินเข้าที่ประตูห้องของเขาหลายหนแล้ว
ทั้งเบื่อ ทั้งเครียด โทรศัพท์ไปที่เบอร์ของวธุกาญจน์ เบอร์เดิมกลับไม่ใช่หล่อน หล่อนเปลี่ยนเบอร์ไปแล้ว