ตอนที่3
“กรี๊ดดดด” มินตราร้องสุดเสียงเมื่อคนขับเหยียบเบรกจนศีรษะเธอกระแทกกับคอนโซลหน้ารถ
“ไอ้โชน ฉันไม่นั่งกับนายแล้ว” มินตราเปิดประตูรถและคว้ากระเป๋าสะพายลงจากรถไป
“โชนแกแกล้งมิลค์ทำไมอ่ะ”
“แล้วใครจะมานั่งกับฉัน”
“นายขับไปคนเดียวเลย ไม่มีใครไปเสี่ยงตายกับนายหรอก” มินตราตะโกนดังลั่นก่อนจะหนีไปขึ้นรถคันที่เชนทร์ขับ
“เธอ มานั่งเป็นเพื่อนฉัน” ณิชาหน้าถอดสีเมื่อเขาชี้นิ้วมาที่เธอ
“คือ...”
“กลับไปขึ้นรถกันได้แล้ว” ไม่พูดเปล่าร่างสูงยังจับข้อมือของคนหน้าซีดให้เดินไปขึ้นรถกับเขาด้วย
“โชน เดี๋ยวก่อนสิ” ณิชาร้องห้ามคนที่เพิ่งยัดเธอเข้ามาในรถและกำลังจะปิดประตู
“อะไรอีกวะ แค่ให้มานั่งเป็นเพื่อน”
“มือถือของเราอยู่ในรถเชนทร์”
“รออยู่นี่แหละเดี๋ยวไปเอามาให้”
ปึง!
ร่างบอบบางสะดุ้งโหยงเมื่อเขาปิดประตูรถอย่างแรง แค่เพียงไม่ถึงนาทีกระเป๋าใบเล็กของเธอก็ถูกโยนลงมาบนหน้าตัก ก่อนที่คนขับจะออกรถอย่างหน้าหวาดเสียวจนเธอใจหายครั้งแล้วครั้งเล่า
เขาสังเกตว่าเธอนั่งเงียบมาตลอดทางจึงแกล้งเหยียบคันเร่งจนมิด อยากรู้ว่าคนพูดน้อยอย่างณิชาจะพูดกับเขาไหมหากว่ากำลังกลัวตาย
“กลัวมั้ย” หญิงสาวรีบพยักหน้าหงึกๆ เธอกลัวจนมือเย็นเฉียบเขาดูไม่ออกเหรอ เท้าที่เหยียบคันเร่งค่อยๆ คลายออกเมื่อได้คำตอบที่น่าพอใจแล้ว
“กลัวแล้วทำไมไม่พูด”
“เรา...เรากลัวโชนว่า”
“กลัวฉันทำไม”
“...” ณิชาเม้มริมฝีปากแน่น ไม่กล้าพูดออกไป
ร่างสูงไม่ได้สนใจที่ณิชาไม่ได้ให้คำตอบ เธอคงกลัวเพราะว่าเขารู้ทันเธอไง ว่าไม่ได้ใสซื่ออย่างที่แสดงออกมาให้ใครต่อใครเห็น เพราะในอดีตเขาเคยโง่ให้กับผู้หญิงแบบนี้มาแล้วหนหนึ่ง ผู้หญิงพวกนี้มารยาชอบเอาความใสซื่อมาหลอกล่อผู้ชาย
.....
“เชนทร์ โชนมันบ้าอะไร เมื่อเช้านายแย่งข้าวมันกินหรอ”
“มันบ้า ยิ่งมันรู้ว่าเธอกลัวสิ่งที่มันทำมันก็ยิ่งทำให้กลัว”
“ถึงว่านายนั่งรถกับไอ้บ้านนั่นได้ไง นายไม่กลัวมันนี่เอง”
“แก้ม แกเห็นหรือเปล่าว่ามันไม่ได้ขับรถเร็วแล้ว”
“จริงด้วย แสดงว่าณิชาไม่กลัวที่มันขับเร็วอ่ะดิ”
“ขากลับแกไปนั่งกับมันเลยแก้ม ให้ณิชามานั่งกับเชนทร์”
“เรื่องอะไร ณิชาไม่กลัวก็ให้ณิชานั่งไปสิ”
กว่าจะถึงที่หมายณิชาแทบจะอาเจียนออกมาให้ได้ ขนาดว่าเขายอมลดความเร็วลงแล้วแต่ถนนค่อนข้างเคี้ยวคด คนไม่เคยเดินทางไกลจึงมีอาการเวียนหัว
“เป็นอะไร”
“ป..เปล่า”
“ก็เห็นอยู่ว่าเป็น” ยังไม่ทันได้คำตอบรถของเชนทร์ก็จอดเทียบข้างรถที่โชนจอดอยู่ก่อน
“ไหนแกว่าณิชาไม่กลัวไง แกดูหน้าซิน่ะ”
“ไม่รู้ดิ”
“โอเคมั้ยณิชา”
“อะ..โอเค เราไม่ได้เป็นอะไร”
“ชาวบ้านทำอาหารไว้รอที่อาคารเอนกประสงค์ของโรงเรียนนะ ไปหากินกันเองได้เลย” รุ่นพี่คนหนึ่งเดินมาบอกกับพวกเธอ
“ณิชาไปหาข้าวกินกันก่อนมั้ย”
“แก้มกับมิลค์ไปกินกันเถอะ เรายังไม่อยากกินน่ะ เดี๋ยวเราเอากระเป๋าไปเก็บที่โรงนอนก่อนนะ” พูดจบก็ถือกระเป๋าเสื้อผ้าไปยังโรงนอนชั่วคราวที่เป็นเพียงผ้าใบขึงเป็นหลังคาและเสื่อที่ชาวบ้านน่าจะยืมมาจากวัดปูให้นอน นักศึกษาบางคนก็นอนพักอยู่เพราะเพลียจากการนั่งรถทางไกล เธอกลัวว่าจะทำเสียงดังรบกวนคนอื่นจึงเดินออกมาหาที่คุยโทรศัพท์กับแม่
“แทบไม่มีสัญญาณเลย” โทรไปก็คงจะคุยกันไม่รู้เรื่องณิชาจึงเดินหน้าไปเรื่อย ๆ เมื่อเห็นว่าสัญญาณโทรศัพท์เริ่มจะมากขึ้น แต่จู่ๆ มันก็หายไป
“อ้าว หายหมดเลย”
“โทรหาผู้ชายในสต็อกหรอ” ณิชาหันขวับไปด้านหลังเมื่อเสียงคุ้นหูดังขึ้น
“โชน...”
“ไม่เถียงด้วย แสดงว่าที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริงใช่มั้ย” ชายหนุ่มพ่นควันบุหรี่ออกมาก่อนจะพูดจายียวนหญิงสาว
“อย่าคิดมาหลอกไอ้เชนทร์” ณิชามองหน้าชายหนุ่มน้ำตาคลอแต่คนมีอคติหาได้สงสารซ้ำยังมองว่าเธอมารยา
“น้ำตาของเธอไม่มีผลอะไรกับผู้ชายที่รู้ทันเธออย่างฉันหรอกณิชา อย่าพยายาม”
“ถามจริงๆ นะโชน เกลียดเราขนาดนั้นเลยหรอ” เธอไม่กล้าอยู่รอฟังคำตอบจึงเลือกเดินหนีออกมาก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร
คำพูดของโชนทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับการเป็นเพื่อนกับพวกเขา จากที่เป็นคนพูดน้อยก็กลายเป็นแทบจะไม่พูดเลย
“ณิชาโกรธอะไรพวกเราหรือเปล่าวะ เงียบแปลกๆ” กวินนากระซิบกระซาบเมื่อณิชายังไม่เดินมาหาพวกเขา
“หรือว่าจะโกรธที่เราปล่อยให้นั่งรถมากับโชนวะ”
“นั่งมากับฉันแล้วเป็นยังไง” สองสาวกรอกตาเมื่อคนที่ถูกพูดถึงพูดสวนขึ้นมา
“นอกจากเชนทร์ก็ไม่มีใครอยากไปกับนายหรอก โรคจิตหรือเปล่าชอบเล่นลนุกกับจุดอ่อนคนอื่น”
“มิลค์!”
“พอๆ หยุดเลยทั้งคู่ ณิชาเดินมานู่นแล้ว” บทสนทนาเมื่อครู่ตัดจบเมื่อณิชาเดินมานั่งผิงไฟกับพวกเขาเงียบๆ
“ณิชา โกรธอะไรพวกเราหรือเปล่าอ่ะ”
“เปล่า เราจะโกรธพวกเธอเรื่องอะไรล่ะ”
“ก็เห็นเงียบไปอ่ะ นึกว่าโกรธอ่ะดิ” โชนกอดอกมองคนที่เอาแต่ก้มหน้าอย่างพินิจ อยากรู้ว่าท่าทางนี้ของเธอคือการแสดงอีกหรือเปล่า
“ณิชาพูดน้อยแต่เธอสองคนก็พูดเยอะเกิน คุยอะไรกันนักหนา”
“ปากเสียติดแฝดน้องมาหรอเชนทร์ คำพูดคำจาอ่ะนะ”
“มาเกี่ยวอะไรกับฉันวะแก้ม”
“แกมันเป็นผู้ชายปากหมาไงโชน มิลค์แกจำวันที่มันด่าแพรไหมได้มั้ย กลางโรงอาหารอ่ะ คนอื่นนี่เงียบกริบเลย”
ไม่ใช่แค่เหตุการณ์ในวันนั้นที่เงียบกริบ ตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน กว่ากวินนาจะรู้ตัวว่าพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดโชนก็เดินออกไปแล้ว
“ยัยแก้มพูดถึงแพรไหมทำไมเนี่ย ดูดิมันโกรธแน่เลย”
“ฉันลืมตัวอ่ะ ก็มันฝังอยู่ในหัวจริงๆ นะ”
“ณิชาได้กินข้าวหรือยัง กลางวันก็ไม่ได้กิน” เชนทร์ถามณิชาที่นั่งเงียบกริบมาพักหนึ่ง
“เรากินแล้ว เชนทร์ล่ะกินได้มั้ย”
“ได้สิ ทำไมจะกินไม่ได้ล่ะ”
“ไม่รู้สิ เราเห็นมีแต่กับข้าวธรรมดา กลัวว่าเชนทร์จะไม่เคยกิน”
“เราก็คนธรรมดานะ คิดอะไรอยู่เนี่ย” ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบศีรษะเธออย่างเอ็นดู ลืมไปเลยว่าเพื่อนอีกสองคนยังนั่งอยู่ตรงนี้