เซี่ยซูเหยามองตามเซี่ยหยุนหรงที่ถูกพี่สาวลากกลับไปด้วยความไม่พอใจ นางซือหลิงเลี้ยงลูกของนางแต่ละคนได้ดีจริง ๆ ขนาดทั้งสองยังอายุแค่นี้ไม่รู้ว่าโตขึ้นจะร้ายกาจขนาดไหน
ถ้าจำไม่ผิดนางเคยได้ยินท่านพ่อเล่าว่าลูกสาวคนโตของนางซือหลิงแต่งออกไปก่อนที่เซี่ยซูเหยาจะเกิดซะอีก ส่วนลูกชายอีกสามคนของนางที่ไม่รวมเด็กแฝดคู่นี้เห็นว่าไม่มีการงานมั่นคง ออกไปรับจ้างอย่างเกียจคร้าน แต่มีลูกมีเมียเต็มบ้าน
อายุลูกชายของนางซือหลิงแต่ละคนก็ยี่สิบกว่าปีแล้ว และแต่ละบ้านก็มีลูกไม่ต่ำกว่าสามคน เห็นว่ายามนี้ลูกสะใภ้ของนางก็ใกล้คลอดอีกแล้ว
“พี่ชายกลับมาแล้ว อาเหยาว่าเรากินข้าวกันเถอะ” เซี่ยซูเหยากล่าว
“ได้”
อากาศด้านนอกมันดีกว่าในบ้านที่อบอ้าว เซี่ยซูเจี๋ยจึงยกถาดปลาย่างเกลือและน้ำจิ้ม ที่น้องสาวเตรียมของไว้ให้ปรุงออกมารับประทานที่หน้าบ้าน ส่วยเซี่ยซูเหยายกหม้อข้าวที่หุงไว้มาตามมาทีหลัง
นอกจากปลาย่างเกลือและน้ำจิ้มแล้ว ยังมีผักดองและผักลวกเอาไว้รับประทานคู่ด้วย เซี่ยซูเหยาคิดว่าเซี่ยห้าวไห่กับเซี่ยซูเหยียนจะไม่ชินหากไม่มีผักหรือของที่รับประทานประจำ
“โอ้ นี่หรือปลาย่างเกลือที่อาเหยาบอก”
เซี่ยห้าวไห่ที่เตรียมลงมือรับประทานอาหารมื้อกลางวันถึงกับอุทานถามลูกสาวด้วยความแปลกใจ เพราะกลิ่นปลาย่างมันหอมมาก
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ”
ไม่ใช่ว่าเซี่ยซูเจี๋ยไม่เคยทำให้คนในบ้านรับประทาน เพียงแต่การย่างเกลือของเซี่ยซูเจี๋ยคือย่างแบบโอบเกลือจริง ๆ ทว่าของเซี่ยซูเหยาจะมีหนิงเหมิงเฉ่าที่ช่วยส่งกลิ่นหอม
“หอมมาก” เซี่ยซูเหยียนกล่าวขึ้น ทั้งตาของเขายังลุกวาวอย่างตื่นเต้น
“พี่ชายไปทำงานมาเหนื่อย ๆ ต้องกินเยอะ ๆ นะเจ้าคะ” เซี่ยซูเหยาไม่ว่าเปล่า นางรีบตักเนื้อปลาในถาดใส่ถ้วยข้าวของเซี่ยซูเหยียนทันที
“ขอบคุณอาเหยา”
มองดูแล้วหากเทียบเซี่ยหยุนหรงกับพี่ชายของนางที่อายุไม่ได้แตกต่างกันมากแล้ว เซี่ยซูเหยียนมีร่างกายที่เล็กมากจริง ๆ
“เอาละ รีบกินข้าวกันเถอะ อาเหยียนไม่ต้องไปเก็บฟืนอีกแล้วใช่หรือไม่”
เซี่ยห้าวไห่ก็ตักเนื้อปลาให้ลูกสาวคนเล็กเช่นเดียวกันก่อนเอ่ยถาม แล้วค่อยหันไปตักเนื้อปลาให้ลูกสาวคนโต
“ขอรับ ลูกได้เงินมาเพียงยี่สิบอีแปะ” เซี่ยซูเหยียนเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ เขารับล้วงมือเข้าไปในอกพลางหยิบเงินจำนวนยี่สิบอีแปะมาวางต่อหน้าบิดา
เซี่ยซูเหยาเหลือบมองเงินที่ได้กลับมาเพียงน้อยนิดอย่างใช้ความคิด เงินจำนวนนี้จะว่าน้อยก็น้อย แต่จะว่ามากก็มาก ต่อให้สักหนึ่งอีแปะก็ยังดีกว่าไม่ได้
แคว้นหนานเป็นแคว้นที่กล่าวได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของใต้หล้า แคว้นรอบข้าง ชนเผ่านอกด่าน หรือกลุ่มคนเร่ร่อนต่างไม่มีคนกล้าต่อกร กองทัพที่มีทหารมากนับเก้าแสนนาย เหล่าแม่ทัพนายกองมากฝีมือหลายกลุ่ม อีกทั้งขุนนางยังชาญฉลาด
มืองหลวงต่างอุดมสมบรูณ์เต็มไปด้วยทรัพยากรและเงินทอง ทว่าเมื่อเป็นแคว้นที่ใหญ่เมืองที่ห่างไกลการเจริญยากที่จะเข้าถึง
เมืองที่ครอบครัวสกุลเซี่ยอยู่คือเมืองเฟิง อยู่ทางใต้ของแคว้นหนานที่ติดชายป่า ทว่าด้วยความที่ห่างไกลความเจริญและแห้งแล้ง ป่าที่มีมากมายกลับไม่เกิดประโยชน์อันใด
อย่างหมู่บ้านหลี่ฮวนของพวกนางที่อยู่ติดกับชายป่า ชาวบ้านที่ไม่มีทักษะเข้าได้เพียงชายป่า เมื่อเก็บหมดก็ขยายเข้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งป่าแทบไม่เหลือ
ใต้เท้าที่ดูแลเมืองเฟิงไม่สามารถลงพื้นที่มาดูได้ โดยให้เหตุผลว่าเมืองเฟิงมีมากนับสิบอำเภอ หนึ่งร้อยกว่าหมู่บ้าน ไม่สามารถลงพื้นที่ได้ในระยะเวลานี้ เขากล่าวแบบนี้ตั้งแต่เข้ามาดูแลที่นี่ จนกระทั่งบัดนี้สิบกว่าปีก็ยังเหมือนเดิม หรือไม่ก็แย่ลงกว่าเดิม
จริง ๆ เรื่องพวกนี้นางไม่รู้หรอก เพียงแค่ได้ยินชาวบ้านสนทนากันหลายครั้ง จนสามารถเรียบเรียงคำออกมาได้
จะให้ไปฟ้องร้องใครก็ไม่สามารถทำได้ ใต้เท้าที่ได้ปกครองเมืองเฟิงอยู่มาได้นานถึงเพียงนี้คงมีเส้นสาย และไม่แน่อาจมีเส้นสายที่ใหญ่ ไม่เช่นนั้นแคว้นหนานคงไม่มีชาวบ้านที่อดยาก
เซี่ยซูเหยาเห็นเซี่ยหยุนหรงแล้วอดอิจฉาไม่ได้ ถึงบ้านหลังนั้นจะมีนิสัยที่ไม่ดี ทว่าลูกชายพวกเขากลับส่งเข้าเรียนในสำนักศึกษาที่เมืองเฟิง
ไม่พอ ลูกสาวคนเล็กอย่างเซี่ยหลินยุ่นก็ถูกส่งเข้าไปเรียนเย็บ ถัก ปัก ร้อย หรือสิ่งที่สตรีพึงมีในเมืองเช่นเดียวกัน
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเซี่ยซูเจี๋ยก็เก็บจานชามออกไปล้างหลังบ้าน
เซี่ยซูเหยาถอนหายใจ นางควรจะลงมีทำอันใดได้แล้ว หากยังอยู่นิ่งเฉยนางอาจได้อดตายจริง ๆ คิดแล้วก็ถอนให้ใจออกมาไม่ได้
“เฮ้อ”
“อาเหยา”
เซี่ยซูเหยาหันไปมองตามเสียงเรียก เป็นเซี่ยซูเหยียนที่นั่งมองอยู่ ส่วนเซี่ยห้าวไห่ออกไปพบกับสหาย เห็นว่าจะไปตกปลา
“พี่ชายไม่พักหรือเจ้าคะ”
เซี่ยซูเหยียนออกไปทำงานตั้งแต่เช้าและเพิ่งกลับมา เซี่ยซูเหยาจึงต้องการให้เขาได้พักสักหน่อย
“พี่นอนไม่หลับ”
ใกล้บ่ายแล้วทว่าเซี่ยซูเหยียนกลับไม่ง่วงเลยสักนิด ปกติต้องไปทำงานต่อเขาจึงพยายามที่จะหลับ ทว่าวันนี้ไม่ต้องไปทำอันใดแล้ว เพราะเขาเหนื่อยกว่าทุกวัน
“พี่ชายอยากเรียนหรือไม่”
แววตาของเซี่ยซูเหยียนที่มองเซี่ยหยุนหรงมันปิดไม่มิดเลย เขาอิจฉาลูกพี่ลูกน้องที่ได้เรียนในสำนักศึกษา ทว่าอาเหยาน้องสาวคนเล็กของเขาสำคัญกว่า เซี่ยซูเหยียนไม่เคยเอ่ยบอกกับใครว่าอยากเรียน ชีวิตนี้นอกจากช่วยบิดาทำงานหาเงินเข้าบ้านแล้ว การเห็นพี่สาวออกเรือนไปกับบุรุษที่รักพี่สาว และการหายป่วยของน้องสาว เซี่ยซูเหยียนก็ไม่ต้องการอย่างอื่น
“หือ อาเหยาถามทำไมหรือ พี่ชายจะเรียนไปทำไมกัน” เซี่ยซูเหยียนส่ายหน้าพลางยิ้มอ่อน
“อาเหยาอยากให้พี่ชายไปเรียน” เซี่ยซูเหยาเอ่ยตอบ
คำพูดนี้มันอยู่ภายใต้จิตสำนึกของเซี่ยซูเหยาคนเก่า เซี่ยซูเหยาคนใหม่ต้องการสานต่อเจตนาเจ้าของร่าง และนางก็ยังเห็นด้วย ต่อไปนี้อาการป่วยของนางคงไม่มีแล้ว
อาหารในยามนี้ก็กล่าวได้ว่าไม่น่าเป็นห่วง ออกไปจับปลาครั้งหนึ่งให้รับประทานไปอีกเป็นครึ่งเดือน ส่วนค่าใช้จ่ายในแต่ละวันก็ไม่มีมาก บิดาของนางออกไปล่าสัตว์เพื่อเอามาขายแลกเงินไปซื้อข้าวสาร ที่เหลือก็ให้เซี่ยซูเจี๋ยเก็บเอาไว้
เซี่ยซูเหยารู้ว่าทุกคนต้องเก็บมันเอาไว้รักษานางในภายภาคหน้าหากล้มป่วยอีก ทว่าหากสังเกตดูแล้วปกตินางจะเจ็บป่วยทุกวัน หลังจากนางฟื้นขึ้นมาในร่างเซี่ยซูเหยา อาการป่วยก็แทบไม่เหลือแล้ว
“พี่ชายไม่ไปเรียนหรอก จะอยู่หาเงินให้น้องสาวเก็บไว้เป็นสินเดิม” เซี่ยซูเหยียนหัวเราะ
เซี่ยซูเหยาก้มหน้าก่อนจะโผล่เข้ากอดพี่ชายที่นั่งอยู่ เซี่ยซูเหยียนทำเพื่อนางมากถึงเพียงนี้ นางควรทำอย่างไรเขาถึงจะได้เรียน เซี่ยซูเหยียนก็อึ้งเช่นเดียวกันทว่าพอได้สติก็รีบกอดตอบน้องสาว
เซี่ยซูเจี๋ยปิดปากสะอื้นรีบเดินกลับหลังบ้านเมื่อแอบฟังน้องชายกับน้องสาวสนทนากัน อีกไม่ถึงปีนางควรที่จะต้องแต่งออกจากบ้านไปทว่สยังไม่มีสินเดิม ที่เซี่ยซูเหยียนกล่าวกับน้องสาวว่าจะหาเงินเก็บสินเดิมให้ อย่างไรนางก็ต้องได้ก่อน ทว่าพี่ต้องแต่งก่อนน้อง น้องชายคนของนางไม่สนใจว่าจะแต่งภรรยา เขาสนใจเพียงหาเงินเข้าบ้านและหาสินเดิมให้นางกับน้องสาว
เมื่อไม่มีอะไรต้องทำแล้วเซี่ยซูเหยียนก็ชวนพี่สาวทำความสะอาดบ้าน ภายในบ้านหลังเล็กมีเพียงสามห้องนอน
ห้องแรกเป็นห้องของนางที่กล่าวได้ว่าสะอาดที่สุด ฝุ่นแทบไม่มีให้จับ ห้องพี่สองเป็นห้องนอนของเซี่ยซูเจี๋ย และห้องที่สามเป็นห้องนอนของเซี่ยห้าวไห่กับเซี่ยซูเหยียนที่นอนด้วยกัน
หากเป็บบ้านหลังอื่นมีสามห้องแบบนี้ ลูกสาวคงได้นอนรวมกัน ลูกชายจะมีห้องนอนแยก ภายภาคหน้าเมื่อแต่งภรรยาจะได้เป็นห้องนอนของพวกเขา ทว่าเซี่ยซูเหยาป่วยนางจึงได้ห้องนอนคนเดียว ส่วนเซี่ยซูเจี๋ยโตแล้วจึงไม่สามารถนอนรวมกับเซี่ยห้าวไห่หรือเซี่ยซูเหยียนได้
เซี่ยซูเจี๋ยถอนหายใจออกมาด้วยความปลงตก อยู่ ๆ น้องสาวของนางก็อยากทำความสะอาดบ้าน ให้เหตุผลว่ากลัวตัวเองจะป่วยหนัก นางรู้เรื่องนี้ดีเลยตกลง ทว่าน้องสาวกลับมาช่วยทำความสะอาด ไม่พอ ยังลากน้องชายคนรองของนางมาอีก
อ้าปากจะห้ามก็ต้องหุบปากลงเพราะน้องชายของนางฟังน้องสาวมากกว่านาง รวมถึงนางและท่านพ่อด้วย จะว่าอาเหยาเอาแต่ใจก็ไม่ผิดนัก พวกนางเป็นคนเลี้ยงอาเหยามากับมือเอง ทำได้เพียงยิ้มและบอกอย่าออกแรงมาก
บ้านไม่สะอาดจะเป็นการเพาะเชื้อโรคต่าง ๆ ทำให้ป่วยง่าย เซี่ยซูเหยียนถึงเริ่มทำความสะอาดบ้านก่อนเป็นอันดับแรก แม้บ้านจะสะอาดอยู่แล้วทว่ามันก็ไม่ได้สะอาดมาก
ไม้ไผ่ในห้องของนางเห็นทีว่าควรจะเอาออกไปทิ้ง หรือไม่ก็ให้บิดานางไปตัดไม้มาทำให้ใหม่ เพราะนางเห็นเชื้อราขึ้น ยังดีที่ไม่มีกลิ่นอับชื้น
“เอาออกหมดเลยหรือ”
เซี่ยซูเหยียนหันมาถามด้วยความไม่แน่ใจ ไม้ไผ่ถูกนำมาวางเรียงในห้องยังไม่ถึงปี และสามารถใช้ได้อีกหลายปี ทว่าน้องสาวของเขากลับสั่งให้เอาออก ทั้ง ๆ ที่มันยังใช้ได้สำหรับเขา
“เจ้าค่ะ” เซี่ยซูเหยาไม่ใช่คนโง่ที่จะทรมานร่างกายของตัวเอง นางจึงปล่อยให้พี่ชายของนางเป็นคนขนไม่ไผ่ในห้องออกคนเดียว
เรื่องนี้เซี่ยซูเหยาไม่ค่อยเป็นห่วงพี่ชายเพราะเขาเป็นคนขนทอนไม้ไผ่พวกนี่เข้ามาเอง และทั้งพี่สาวกับพี่ชายก็ไม่อยากให้นางออกแรงมาก
เซี่ยซูเหยามองดูห้องของนางที่โล่งเมื่อนำท่อมไม้ไผ่ออกไปจนหมด ทว่าหากเทียบกับท่อนไม้ไผ่และห้องที่เป็นดินผสมฟาง นางคิดว่าห้องไม้ไผ่ดีกว่ามาก
หน้าต่างที่ถูกปิดมาหลายปีถูกเซี่ยซูเหยาเปิดออกด้วยความเหนื่อย มันไม่ได้เปิดนานแล้วไม่แปลกที่จะเปิดยาก
ทำความสะอาดบ้านรอบนี้พรุ่งนี้คงจะเสร็จเพราะวันนี้เพิ่งลงมือทำความสะอาดห้องของนาง และมันก็เย็นมากแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่เซี่ยซูเหยาคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่แรกก่อนที่จะลงมือทำความสะอาด
พรุ่งนี้เซี่ยห้าวไห่คงร้อนใจและไปตัดไม้ไผ่มาทำห้องให้ใหม่ นางกับพี่สาวและพี่ชายจะได้ทำความสะอาดอีกสองห้องที่เหลือ
“อาเหยา พักก่อน” เสียงเซี่ยซูเจี๋ยดังขึ้นหลังกวาดห้องเสร็จ
“พี่สาวก็ควรพักได้แล้วเจ้าค่ะ อีกเดี๋ยวคงต้องไปทำอาหารเย็น” เซี่ยซูเหยาเอ่ยเตือน
นางแทบไม่ต้องลงมือทำอะไรนางจึงไม่ควรพัก พี่สาวของนางนอกจากช่วยขนท่อนไม้ไผ่ออกไปแล้วยังต้องมาปัดกวาดพื้นห้องให้อีก
“เอาเถอะ วันนี้เราพอกันแค่นี้ก่อน” เซี่ยซูเจี๋ยกล่าวเมื่อเห็นน้องชายเดินเข้ามานั่งตรงข้าม
“เจ้าค่ะ”
“ขอรับ”