บันทึกจอมยุทธ์ ฉบับที่ ๑ ส่วนที่ ๙
จินตี้รูปร่างผอมบางราวกับสตรีเพราะป่วยกระเสาะกระแสะเรื้อรังมานาน เมื่อถูกน้ำฝนเป็นเวลานานก็เกิดอาการตัวเย็นๆ ร้อนๆ สลับกันไปมาอย่างรวดเร็ว พลังหยินแทรกร่างจนเกิดอาการป่วยไข้แทรกซ้อน ทว่าเนื่องจากร่างกายของคนผู้นี้หยางเกินหยินพร่อง อาการจึงไม่คงที่ ประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวหนาว ข้าถอดชุดสีเหลืองทองแสดงตำแหน่งศิษย์ลำดับที่สามในหน่วยทองของเขาไปผึ่งไว้ นำชุดผ้าฝ้ายที่เหมือนกับชุดที่ข้าสวมอยู่ตอนนี้เปลี่ยนให้เขา
ข้าง้างปากของจินตี้ออก ตรวจสภาพลิ้นด้านใน ลิ้นของเขามีขนาดเล็ก ค่อนข้างแห้งและแดงสด เกิดจากอาการหยินพร่อง ฝ้าที่ลิ้นเป็นสีเทาบ่งบอกอาการร้อนจากภายในของร่างกาย ข้าส่ายหน้ากับตัวเอง อาการแบบนี้เป็นเพราะรักษาไม่ถูกวิธีมานาน จากลักษณะท่าทางภายนอก ดูก็รู้แล้วว่าเขามิใช่ชนชั้นธรรมดา แสดงว่าคงไม่ไว้ใจให้ผู้อาวุโสหน่วยพฤกษาดูแลเป็นแน่ ช่างเป็นการกระทำที่โง่งมยิ่ง
คิดแล้วก็อดนับถือไม่ได้ ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เล็ก ทว่ากลับมานะจนได้เป็นศิษย์ลำดับที่สามของหน่วยทอง หากอาการร้อนภายในไม่กำเริบจนน้ำในกายลดน้อยลง ข้าก็อาจจะไม่ใช่คู่ประมือของเขา
เป็นเพราะชีพจรในตัวเขามีพลังปราณคุ้มกายเอาไว้ ตากฝนหนักๆ จึงไม่ทำให้อาการทรุด หากข้าจะใช้วิธีแบบหักดิบให้เขาแช่ในน้ำเย็นจัดสักเจ็ดวันอาจจะรักษาได้ง่าย คนผู้นี้ต้องนึกขอบคุณสวรรค์ที่มาพบข้าในตอนที่มีจิตใจราวกับเป็นพระโพธิสัตว์เดินดิน
ข้ามียาลูกกลอนอยู่สี่ห้าเม็ด เคยแอบทำเอาไว้เมื่อตอนที่ถูกอาจารย์ให้ไปตัดไม้มาไว้ในโรงครัวกลาง ใช้กำลังมากๆ ทำให้ร่างกายข้าสูญเสียน้ำจนหยินในร่างกายไม่สมดุล สุดท้ายก็ต้องพึ่งยาลูกกลอนเสริมพลังหยินเหล่านี้เพื่อให้ผ่านความอ่อนล้าแสนสาหัสไปวันๆ
เกิดเป็นตงฟางหย่งหมิงช่างลำบากลำบนยิ่งนัก คิดแล้วได้แต่เศร้าในใจลึกๆ
ข้าตัดใจเอายาลูกกลอนเม็ดหนึ่งละลายน้ำ ยกศีรษะของจินตี้ที่นอนแน่นิ่งประหนึ่งคนตายขึ้น ค่อยๆ ป้อนยาเขาทีละน้อย จมูกของเขาแดงช้ำเพราะถูกข้าถีบยอดหน้าเข้าให้ โชคดีที่เจ้านี่อาการกำเริบเสียก่อน เลือดจึงออกน้อยลง มิเช่นนั้นแล้วเขาอาจจะตายเพราะเลือดออกจนหมดตัวไปแล้ว
“เรียนท่านบรรพบุรุษของพี่จินตี้ ข้าทำไปเพราะความจำเป็น การช่วยเหลือครั้งนี้ถือเป็นการไถ่โทษก็แล้วกันนะขอรับ” ข้าบ่นพึมพำ พูดขอโทษขอโพยวิญญาณบรรพบุรุษของจินตี้ พลันได้ยินเสียงลมหายใจแรงๆ ของเขา ดวงตารีเล็กหรี่ปรือด้วยความสะลึมสะลือ กลืนยาลูกกลอนที่ข้าละลายน้ำด้วยความกระหาย
ครั้นเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเองเสร็จก็พลันรู้สึกเมื่อยขบไปทั้งกาย หม้อยาเดินได้อย่างจินตี้ทำเอาข้าปวดขาจนร้าวระบม ไหนจะต้องแบกร่างผอมแห้งของเขาฝ่าลมฝ่าห่าฝนมาที่เรือนของอาจารย์อีก โชคดีเท่าไรแล้วที่ข้าไม่ล้มต่อหน้าคนพวกนั้นให้อับอายขายขี้หน้า
เมฆทะมึนยังคงปกคลุมทั่วเขาอวิ๋นซาน แม้จะไม่ค่ำมากทว่าก็ต้องจุดเทียนเพื่อเพิ่มความสว่างในห้อง ข้าเหลือบมองจินตี้เป็นระยะ ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ เหลียวซ้ายแลขวาเพื่อดูลาดเลา
อาจารย์กับอี้หลิงยังไม่กลับ เช่นนี้ข้าก็เบาใจ
ข้าใช้มือขวาฝนแท่งหมึกช้าๆ สูดดมกลิ่นหอมของหมึกไม้จันทน์ เมื่อได้ที่แล้วมือซ้ายจึงใช้พู่กันจุ่มหมึก เขียนเทียบยาชิงซวีเร่อเย่า[1] ดับร้อน บำรุงหยิน คนโดยทั่วไปไม่ค่อยได้ใช้ยาเทียบนี้นัก นับว่าเป็นโชคดีในโชคร้ายของเขาเพราะโรคที่เขาเป็นเกิดจากการใช้ยาผิดเทียบ แต่ไม่ร้ายแรงจึงเกิดอาการเรื้อรัง หากเป็นอาการเฉียบพลันเช่นไข้ป่า สามวันก็ชักตายไปแล้ว รอฝังได้เลย
คุณชายตระกูลจินผู้นี้ถือดียิ่ง หากไปให้ผู้อาวุโสหน่วยพฤกษารักษาให้ตั้งแต่เข้าสำนักมาวันแรกๆ ป่านฉะนี้คงร่างกายแข็งแรงไปแล้ว เย่อหยิ่งถือดีในเรื่องไม่เป็นเรื่องจนป่วยเรื้อรัง มารดามันไม่สั่งสอนหรือว่าอย่าฉลาดเกินหมอ แต่คิดไปคิดมาแล้วคงไม่มีผู้ใดยอมเสี่ยงชีวิตกับหมอชาวบ้านธรรมดาหรอก
โลกแห่งการยกย่องชนชั้นวรรณะ ยิ่งฐานะสูงส่งก็ยิ่งต้องเลือกหมอชื่อดังมารักษา ดูท่าแล้วเจ้านี่คงหมดปัญญาในการรักษาตัวเอง สุดท้ายจึงต้องขึ้นเขาอวิ๋นซานมายังสำนักอู่สิงแห่งนี้
เขียนเทียบยาเสร็จแล้วข้าก็เป่าหมึกให้แห้ง จากนั้นจึงใช้ขี้ผึ้งเหลวป้ายตัวอักษรบนเทียบยาเอาไว้ทั้งสองด้านเพื่อป้องกันน้ำฝน
ข้าเหลียวซ้ายแลขวาอีกครั้ง จากนั้นจึงยัดเทียบยาใส่อกเสื้อของจินตี้ ในเทียบยาข้าเขียนคำพูดเอาไว้ สั่งเสียข้อปฏิบัติราวกับคนอายุยี่สิบสามสิบ ลงท้ายชื่อไว้ว่า หมอเทวดา
เพราะข้าไม่อาจทำผิดกฎสำนัก จึงจำใจต้องแบกร่างไร้สติของจินตี้ฝ่าละอองฝนไปไว้ยังถ้ำแห่งหนึ่งใกล้ๆ กับหน่วยทอง เมื่อวางใจแล้วก็รีบเดินกลับเรือนก่อนที่อาจารย์จะกลับมา
ใช่สิ…เพราะไม่อาจผิดกฎสำนัก ข้าจึงต้องหัดใช้มือขวาให้คล่อง เมื่อคนมาเห็นเทียบยาที่ถูกเขียนด้วยลายมือวิจิตรจากมือซ้ายของข้า พวกเขาก็จะไม่สงสัยอะไร
มือขวามีพละกำลังมาก ตวัดพู่กันแต่ละครั้งดุดันแข็งกร้าว ต่างจากมือซ้ายที่นานๆ จะเขียนตำราหรือเทียบยาสักครั้ง ตอนอยู่ที่จวนตระกูลตงฟาง ตัวอักษรที่ข้าเขียนเป็นหนึ่งไม่มีสอง บิดาจึงไม่บังคับข้าคัดอักษรอีก
หากเทียบกันว่าลายนิ้วมือของคนเราไม่เหมือนกันฉันใด ลายมือของคนเราก็แตกต่างกันฉันนั้น อัตลักษณ์ของผู้คนล้วนแตกต่างกันตามนัยต่างๆ ในสภาพแวดล้อมภายนอกและจิตใจ
กลิ่นขาหมูหอมฉุยลอยมากระแทกนาสิกข้าตั้งแต่ยังไม่ถึงครัว ตัวบัดซบในท้องข้าร้องลั่นประหนึ่งหมูถูกเชือดเพื่อไหว้เจ้า เท้าของข้าเคลื่อนไปด้านหน้าโดยสัญชาตญาณ กว่าจะรู้ตัวว่าทำอะไรผิดพลาดก็ตอนที่ได้ยินเสียงสับหมูของอาจารย์
มารดามันเถอะ! ข้าหลับตาเพื่อข่มความตกใจ อดตบหน้าผากตัวเองแรงๆ ไม่ได้
เวลาที่ข้าใช้เดินไปกลับไม่ถึงสองเค่อ ขาหมูต้องตุ๋นนานกว่านั้น อาจารย์คงกลับมาหลังจากที่ข้าแบกจินตี้เข้าห้อง
หัวของข้าหมุนติ้ว พยายามคิดหาคำแก้ตัวที่ฟังดูดีสักหน่อย ก่อนจะโดนอาจารย์ตวาด
“ทำไมไม่เข้าไป”
“บัดซบ เจ้าลูกเต่าลายหลังกระเบื้อง! ข้าไม่ได้รักษาคนจริงๆ นะ” ข้ากุมหน้าอกแน่น จากนั้นจึงเลื่อนมือมาปิดปากตัวเอง หันไปมองอี้หลิงที่เดินเบี่ยงเข้าประตูห้องครัวโดยไม่ได้สนใจที่ข้าพูด
เอ…สงสัยเพราะข้าพูดเร็วเกินไป เจ้านั่นเลยไม่รู้เรื่อง โฮ่! โล่งอก อาจารย์ก็เอาแต่สับหมู คงไม่ได้ยินเช่นกัน
คิดเช่นนี้ข้าก็โล่งใจไม่น้อย เดินยิ้มกว้างไปยังโต๊ะกินข้าว แอบหยิบเห็ดหอมเข้าปากอย่างรวดเร็ว
บัดซบ! ร้อนฉิบ
อี้หลิงกลั้นหัวเราะ ทำทีเป็นเบี่ยงหน้าไปกระแอมทางอื่น เฮอะ! แต่ก็ดีที่เขาไม่เปิดโปงข้า ในขณะที่ข้ากำลังจะหย่อนก้นลงบนม้านั่ง ผู้อาวุโสก็หยุดสับหมูแทบจะทันที
“หย่งหมิง...”
อาจารย์ลากเสียงยาว หันหลังมาฉีกยิ้มกว้างให้ข้า โฮ่ อาจารย์คงดีใจที่ข้าเอาชนะจินตี้ได้ ข้าจึงยิ้มรับด้วยความเบิกบานจนเห็นฟันครบทุกซี่ “ขอรับอาจารย์…” ข้าลากเสียงยาว
“มานี่ซี้….”
ฮั่นแน่ อาจารย์จะกอดแสดงความยินดีกับข้าละสิ ข้าจึงก้าวข้ามม้านั่งถลาเข้าหาอาจารย์ด้วยความซาบซึ้ง ในขณะที่ครอบครัวของข้าแตก กลับมีอาจารย์ร่วมยินดีกับความสำเร็จในขั้นแรก ข้าซาบซึ้งจนน้ำตาปริ่ม
โป๊ก!
“อ๊าก! อาจารย์ ดีดหน้าผากข้าทำไม” ฮือๆๆ ข้าทำผิดอะไรอีก
หลังจากถูกดีดหน้าผาก ข้าที่บอบช้ำอยู่แล้วก็ถอยร่น ทรุดนั่งลงบนม้านั่งในทันใด ความเจ็บปวดแล่นพล่านจนแสบจมูกขึ้นมาจริงๆ ไม่รู้เพราะความเจ็บปวดหรือความน้อยใจ
“ลูกผู้ชายห้ามร้องไห้!” อาจารย์พูดเสียงแข็ง
“ฮึก! ข้าผิดอะไร” ข้าตัดพ้อ พยายามกลั้นสะอื้น
อาจารย์ถลึงตาใส่ข้า “ข้าบอกว่าห้ามร้องไห้”
“ฮึก! ทำไมตอนนั้นท่านถึงบอกข้าว่าลูกผู้ชายร้องไห้เสียบ้าง”
“ร้องไห้พร่ำเพรื่อมันจะเรียกว่าน้ำตาลูกผู้ชายรึ อายุเท่าไรแล้ว ยังจะเรียกร้องความสงสารอีก”
“ฮึก!...”
“หยุดนะ!” อาจารย์สับมีดลงบนเขียงโดยแรง ชี้หน้าข้า “ห้ามร้องไห้ ถ้าร้องไห้ข้าจะไม่ให้กินข้าว”
โครก...
ฮือๆๆ ท้องข้าร้องเสียงดัง ข้าพยายามกลั้นน้ำตาสุดฤทธิ์หันไปขอความช่วยเหลือจากอี้หลิง ก็พบว่าเจ้านั่นแกล้งหลับตาทำสมาธิ บัดซบ!
เห็นแก่ตัว…ใจร้าย ไร้คุณธรรมสิ้นดี!
“ทำอะไรผิดมา ตอบ!”
“ไม่มี้ ข้าทำผิดอะไร” ข้าตอบเสียงสูง จากนั้นหุบปากลงฉับ มือข้างหนึ่งบีบจมูกไม่ให้รู้สึกแสบ
อาจารย์แค่นหัวเราะ ปรายตามองข้าด้วยสายตาเหนือชั้น “ผิดกฎสำนักยังกล้าปฏิเสธอีกรึ”
ข้าหูผึ่งพลางปฏิเสธเสียงแข็ง “ไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆ นะขอรับอาจารย์”
อาจารย์พยักหน้ารับ ตักน้ำล้างมือแล้วสาวเท้าเข้ามาใกล้ข้าช้าๆ ใบหน้าหล่อเหลาสมวัยของอาจารย์พลันปรากฏรอยตีนกาขึ้นมาอีกหนึ่งรอย ข้าอยากจะบอกสักหน่อยว่ารอยขึ้นแล้ว ทว่าใจของข้าที่เต้นกระหน่ำร้องเตือนให้หลบตาไปทางอื่น
“นอกจากอาการฟกช้ำบนหน้าแล้ว จินตี้เป็นอะไร”
“หยางเกินหยินพร่อง กินยาผิดเทียบจนเกิดอาการเรื้อรัง อุ๊บ!” ฮือๆๆ ข้ารีบเอามืออุดปากตัวเอง กลิ่นขาหมูที่อี้หลิงใช้ตะเกียบจิ้มจนน้ำมันฉ่ำทะลักหอมฟุ้งจนสติข้าไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ไม่! ข้ากัดริมฝีปากตัวเองแน่น ใช้มือปิดจมูกเอาไว้เพื่อเรียกสติ ไม่ได้กลิ่นก็หมดเวรหมดกรรม ฉึก! เจ้านั่นใช้ตะเกียบจิ้มซ้ำ ตาของข้าเหลือบมองอย่างอดไม่ได้ ท้องร้องโครกคราก
“เจ้าให้เทียบยาอะไรแก้ไป”
“ชิงซวีเร่อเย่า อุ๊บ แค่กๆๆ”
“ตัวบัดซบน้อย! อาจารย์เตือนกี่ครั้งว่าอย่าเขียนเทียบยามั่วซั่ว”
“ข้าไม่ได้เขียนมั่วนะ!” ด่าอะไรด่าได้ แต่อย่ามาด่าเรื่องการรักษากับข้า
“ยัง…ยังจะเถียงอีก เจ้าได้กลบร่องรอยการรักษาหรือไม่”
ข้าเลิกคิ้ว อดยืดตัวด้วยความภาคภูมิใจไม่ได้ “เฮอะ คนอย่างตงฟางหย่งหมิง แน่นอนว่าต้องกลบร่องรอยมิดชิด ไม่ให้ใครตามตัวได้”
อาจารย์พยักหน้าด้วยความพอใจ “ดี! ไม่เสียแรงที่เป็นศิษย์ข้า ทำอะไรอย่าให้คนจับได้ กลิ่นยาที่ตัวเจ้ารุนแรงเหลือเกิน ต่อไปต้องอาบน้ำเช้าเย็นห้ามขาดแม้แต่วันเดียว เสื้อผ้าเอาไปอบกลิ่นไม้จันทน์ทุกครั้งที่จะใส่ หากจัดเทียบยาผิดจะได้ไม่ถูกทำโทษ”
“อาบน้ำสองวันครั้งไม่ได้หรืออาจารย์ อากาศยังเย็นอยู่นะ”
ผู้อาวุโสถลึงตาใส่ข้า รอยตีนกาเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง “ไม่ได้! คนทั้งสำนักเห็นว่าเจ้าแบกจินตี้ออกมาจากวงล้อม หากกลิ่นยาสมุนไพรยังติดตัวเจ้า ข้ารับรองเจ้าจะต้องถูกหน่วยพฤกษาจัดการในฐานะศิษย์นอกสังกัดที่ริอ่านศึกษาตำราแพทย์”
‘ข้าไม่ได้ศึกษาเสียหน่อย’
“อาจารย์ ท่านก็แค่บอกว่าท่านช่วยรักษา…”
โป๊ก! พัดไม้ถงฟาดลงกลางกระหม่อมข้า อาจารย์ถลึงตาใส่ข้าอีกครั้ง
“เจ้าโง่ ข้ารู้จักแต่อาหารบำรุงร่างกาย เรื่องยารักษาโรคนับว่าห่วยแตกที่สุดในสำนักแล้ว หากถูกผู้อื่นจับได้ข้าจะขับเจ้าออกจากสังกัด”
มือที่กุมหน้าผากของข้าเลื่อนลงมาอุดปากด้วยความสะเทือนใจ น้ำตาลูกผู้ชายพานจะรินไหล
“หยุดร้องไห้ กินข้าวซะ” อาจารย์พูดด้วยความรำคาญ หันหลังไปผัดอะไรสักอย่างบนเตา
ข้าเม้มปาก เอื้อมมืออันสั่นเทาจับตะเกียบ แม้ท้องจะร้องครวญคราง ทว่าก็ต้องมีชั้นเชิงสักหน่อย อี้หลิงรำคาญหรือหมั่นไส้ก็มิอาจทราบได้ กระซิบกับข้าเบาๆ
“เขาบอกทุกคนว่าเจ้าพาจินตี้ไปรักษากับผู้วิเศษที่บังเอิญมาขอพักพิงที่ตีนเขา กินข้าวแล้วไปอาบน้ำซะ”
ข้าก้มลงดมกลิ่นกายตัวเอง ก็ไม่ได้กลิ่นอะไรนี่ “ข้าไม่อยากอาบ”
“ไม่ได้ เจ้านอนกับข้า ต้องอาบ!” อี้หลิงพูดเสียงแข็ง
“ไม่เห็นได้กลิ่นอะไรสักหน่อย” สิ้นเสียงของข้า อาจารย์ก็หันมายืนเท้าสะเอวมองข้าด้วยแววตาเย็นยะเยียบ
“หากยังมีกลิ่นหมาเน่าในครัวของข้า ต่อไปเจ้าก็ขุดเผือกขุดมันกินเองก็แล้วกัน”
[1] ชิงซวีเร่อเย่า เป็นเทียบยาที่ดับร้อนชนิดพร่อง