บันทึกจอมยุทธ์ ฉบับที่ ๑ ส่วนที่ ๘
ลานฝึกซ้อมรวมของสำนักถูกจัดเป็นลานประลองขนาดใหญ่โดยมีเส้นสีแดงขีดเอาไว้เพื่อกันไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องล่วงล้ำเข้าไป แต่ละหน่วยสังกัดจะรวมพลอยู่เป็นกลุ่มก้อน เสื้อผ้าสีต่างๆ ทำให้สามารถแยกแยะออกได้โดยง่ายว่าผู้ใดมาจากสังกัดไหน ส่วนตัวข้ากับอี้หลิงนั้นเป็นศิษย์สังกัดผู้อาวุโสในสำนัก ถูกจัดรวมอยู่กับบรรดาศิษย์ของผู้คุมกฎและรองเจ้าสำนัก
ข้ากับอี้หลิงในวันนี้สวมชุดผ้าฝ้ายเนื้อดีสีขาวสะอาดตา ตรงชายสายรัดเอวปักสัญลักษณ์ของสำนักเอาไว้เพื่อบ่งบอกว่าข้ากับอี้หลิงมิใช่คนบ้านนอกคอกนาอันใด การแต่งตัวของศิษย์ผู้อาวุโสไม่ได้อยู่ในข้อบังคับ แม้ว่าศักดิ์ฐานะอาจจะดูเหนือกว่าศิษย์ของผู้คุมกฎและศิษย์ของหัวหน้าหน่วยต่างๆ อยู่สักหน่อย ทว่าก็มิอาจเอาไปเปรียบเทียบกับศิษย์ของเจ้าสำนักหรือรองเจ้าสำนักได้ เพราะว่าตำแหน่งผู้อาวุโสในสำนักนั้นมีไม่กี่คนที่จะรับศิษย์ ผู้อาวุโสส่วนใหญ่จะออกเดินทางทั่วยุทธภพ หากจะเรียกว่ามีมากก็มาก มีน้อยก็น้อย แต่อย่างหนึ่งที่ข้าควรภาคภูมิใจก็คือ ผู้อาวุโสไม่ได้จำกัดวัยวุฒินัก อีกทั้งผู้ที่ถูกเชิญให้รับตำแหน่งนี้ ความสามารถมิได้ด้อยไปกว่าเจ้าสำนักและรองเจ้าสำนักเลยแม้แต่น้อย
ตำแหน่งเจ้าสำนักต้องประลองแข่งขัน รองเจ้าสำนักคือผู้ที่พลาดหวังจากการแข่งขันคัดเลือก ส่วนผู้อาวุโสก็คือผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วน คนทั้งหลายส่วนมากล้วนผ่านการฝึกฝนจากเจ้าสำนักรุ่นก่อนๆ ทว่ามิได้หมายมาดตำแหน่งในสำนักสักเท่าใด อีกทั้งพวกเขามีวิธีฝึกบำเพ็ญตนที่เป็นของตัวเองเด่นชัด
อาจารย์แม้จะเป็นศิษย์รักของอาจารย์ปู่หลี่เซียว กระนั้นแล้วเขาก็ยังได้รับการฝึกฝนจากปรมาจารย์เจ้าสำนักรุ่นก่อน ฝีมือจึงล้ำลึกยิ่งนัก
น่าเสียดายเหมือนกันที่เขากลับได้ข้าเป็นศิษย์ราวกับจับไม้ติ้วเสี่ยงดวง
ข้อจำกัดที่อาจารย์บอกข้ามาก็คือ ร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากไม่ได้เรียนปฐมวิชาจากเจ้าสำนักโดยตรงแล้ว ต่อให้สอนศิษย์มากมายถึงเพียงไหนก็ไม่อาจค้นพบแนวทางในพลังของตนเองได้ ด้วยเหตุนี้ทุกสามปีจึงมีการประลองเพื่อคัดเลือกศิษย์เจ้าสำนักเป็นรุ่นๆ ไป ผู้ใดฝึกสำเร็จก็มีโอกาสเข้าร่วมการประลองแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักได้
แต่ตำแหน่งใหญ่เช่นนั้นข้าไม่ได้สนใจนัก ที่ข้าสนใจก็คืออยากรู้ว่าเคล็ดวิชาเบญจธาตุขั้นสูงสุดนั้นฝึกยากเพียงไหน เหตุใดในหลายปีมานี้จึงหาคนฝึกสำเร็จแทบไม่ได้
อาจารย์บอกว่าเมื่อฝึกสำเร็จแล้ว เคล็ดวิชาที่ใช้จะแปรเปลี่ยนไปประดุจลายมือของมนุษย์ แทบจะไม่มีทางที่มันจะซ้ำกัน ต่างคนต่างโชคชะตา ข้าอดคิดในใจไม่ได้ว่า เคล็ดวิชาเบญจธาตุที่อาจารย์ฝึกจนสำเร็จนั้นเป็นวิชาเกี่ยวกับการหุงหาอาหารหรือไม่ เหตุใดจึงไม่เคยเห็นอาจารย์สำแดงฝีมือด้านอื่นบ้าง
ผู้อาวุโสตำแหน่งต่างๆ ทั้งหลายจะอยู่บนพื้นยกระดับทางทิศตะวันออกของลานประลอง แสงแดดในยามนี้แยงตาเสียจนคนทุกคนต้องหยีตาเพื่อมองให้เห็นหน้าผู้อาวุโสแต่ละท่าน หลายคนบ่นพึมพำว่านี่เป็นกุศโลบายไม่ให้ศิษย์แต่ละหน่วยจำหน้าผู้อื่นได้นอกเหนือจากอาจารย์ของตนหรืออย่างไร
ข้าเห็นผู้อาวุโสคนหนึ่งก้าวออกมาด้านหน้า กล่าวอารัมภบทยาวยืดจนต้องแอบหาวน้ำตาเล็ด ข้าเหล่มองศิษย์พี่คนอื่นๆ ที่อยู่ในสังกัดผู้คุมกฎ แต่ละคนก็สภาพไม่ต่างจากข้านัก คนผู้นั้นก็คือท่านปรมาจารย์เจ้าสำนัก น้ำเสียงทุ้มต่ำดังเป็นจังหวะไพเราะเสียจนชวนง่วงงุน
อา…ใครใช้ให้ตาแก่บนเวทีพูดพร่ำถึงกฎปฏิบัติวิญญูชนอะไรก็ไม่รู้อยู่เป็นนานเล่า ใครทนฟังโอวาทที่นานเกือบครึ่งชั่วยามได้โดยไม่ง่วงนอนก็นับเป็นยอดคนแล้ว แม้แต่ข้าก็ยังผล็อยหลับจนหัวโขกกับไหล่ของอี้หลิงอย่างช่วยไม่ได้
ทว่าอี้หลิงที่นั่งฟังตั้งแต่ช่วงแรก เขานั่งนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาคมกริบมองไปยังตาแก่ผู้นั้นนิ่ง นานๆ จะกะพริบตาทีหนึ่งให้ข้าพอรู้ว่าเขาไม่ได้หลับใน ท่าทางสงบสุขุมของเขาทำให้บรรดาศิษย์หญิงจากหน่วยพฤกษาและหน่วยวารีลอบมองเป็นระยะ อีกทั้งยังมีเสียงซุบซิบถามถึงที่มาที่ไปของเขาอย่างครึกครื้น
ข้าเลิกฟังตาแก่นั่นพร่ำบ่นนานแล้ว เสียงพูดคุยของบรรดาศิษย์หญิงทั้งหลายล้วนไพเราะยิ่ง ตัวข้าที่สามปีมานี้เติบโตมากับบุรุษและตาแก่ ไหนเลยจะเคยมองเห็นพวกนางใกล้ชิดถึงเพียงนี้
ความแค้นนี้ต้องโทษเจ้าเฉินเจิ้งหยา มันบอกว่าข้าเป็นเด็กสติไม่สมประกอบ บรรดาพี่สาวไหนเลยจะกล้าเข้าใกล้ข้า
“คนนี้ใช่หรือไม่ที่เป็นศิษย์ชั่วคราวของปรมาจารย์หลี่เซียว” สตรีนางหนึ่งเปิดประเด็น
ข้าหันไปมองตามเสียงก็พบว่าเป็นพี่สาวคนสวยนางหนึ่งจากหน่วยวารี สองแก้มของนางแดงซ่าน ใบหน้าเรียวเล็กของนางเนียนใสดุจหยกน้ำนมเนื้อดี กำลังหัวเราะคิกคักกับเพื่อนสาวอีกนาง
ศิษย์พี่หญิงอีกสามคนที่นั่งด้วยกันเป็นศิษย์หน่วยพฤกษากับหน่วยวารี สองหน่วยนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด แม้แต่ศิษย์ก็ยังสนิทสนมกัน พี่สาวตาโตเจ้าของลักยิ้มน่ารักแห่งหน่วยพฤกษาลอบมองมายังอี้หลิงชั่วพริบตาหนึ่งแล้วกระซิบเบาๆ ในกลุ่ม
“เขาขึ้นเขามาหลังจากประมุขน้อยเฉินถูกบิดาฝากฝังได้หนึ่งสัปดาห์ ทว่าเพราะความสามารถอันน่าประหลาดใจ ทำให้บรรดาปรมาจารย์หลายท่านคิดแย่งชิงตัวไป น่าเสียดายที่เขามีเป้าหมายในใจอยู่ก่อนแล้ว”
สตรีนางหนึ่งถอนหายใจด้วยความเสียดาย “ไม่น่าเลย หากเขามาอยู่หน่วยวารีของเราคงจะดีมิใช่น้อย”
โฮ่! ฟังสตรีพวกนั้นบ่นเสียอกเสียใจในตัวอี้หลิงแล้วก็หมั่นไส้เจ้าหมอนี่นัก พวกนางจงอดทนรออีกสักสามปีเถิด ยามนี้บุรุษรูปงามเช่นข้ายังไม่โตเต็มวัย แต่พอถึงตอนนั้น พวกนางก็เป็นสาวทึนทึกไปแล้วละ ฮึ!
ประลองรอบแรกในวันนี้ไม่มีอะไรมาก อันที่จริงแล้วนอกจากจะเป็นการคัดเลือกเฉพาะศิษย์ที่ดีที่สุดสามลำดับแรกของหน่วยต่างๆ ที่เตรียมความพร้อมมาเนิ่นนานแล้ว ยังมีศิษย์ของผู้อาวุโสและผู้คุมกฎเพียงไม่กี่คนที่มีสิทธิ์เข้าร่วม แต่ข้าก็อดคิดไม่ได้ว่า บางทีแล้วคงมีการใช้กลโกงอยู่บ้างในแต่ละหน่วย เพราะสภาพของบางคนก็ไม่คล้ายกับมีฝีมือสักเท่าใด
การแข่งขันในวันนี้จึงเป็นการจัดสุ่มรายชื่อ แข่งกันยกเดียว ใครหมดแรงหรือออกนอกเส้นแดงนับเป็นผู้แพ้
ผู้เข้าแข่งขันมีทั้งหมดสามสิบคน มีอยู่สองสามคนที่ได้สิทธิ์ไปรอในรอบที่สองได้เลยเพราะสามปีก่อนพวกเขาเข้ารอบมาแล้วหนึ่งครั้ง
คู่แข่งของข้าเป็นศิษย์ลำดับที่สามของหน่วยทอง อายุรุ่นราวคราวเดียวกับอี้หลิง ลักษณะท่าทางคล้ายกับคุณชายผู้หนึ่ง ใบหน้าไม่โดดเด่นทว่ากิริยาสุภาพและดูสง่างามไม่น้อย น่าเสียดายที่ใบหน้าเหลืองซีด ดูท่าแล้วคงจะสุขภาพไม่ค่อยดีนัก
ผู้เข้าประลองทั้งสามสิบคนถูกเรียกไปยังเบื้องหน้าผู้อาวุโสทุกท่าน ตั้งสัตย์ปฏิญาณว่าจะต่อสู้โดยสุจริต ไม่ใช้กลโกงอันใด และจะไม่ทำอันตรายฝ่ายตรงข้ามถึงตาย
ปรมาจารย์กระเรียนขาวจางไป๋เฮ่อ รองเจ้าสำนักเป็นผู้ดำเนินพิธีการต่างๆ รอให้ทุกคนประจำที่แล้วเริ่มพิธีการขั้นต่อไป ตัวข้านั้นจิตใจเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วเพราะแสงตะวันส่องกลางศีรษะแผดเผาจนร้อนราวกับเตาย่างไก่เช่นนี้ชวนให้หน้ามืดตาพร่าไม่น้อย ข้าเหลือบมองคู่แข่งรอบแรกของตนเองพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ อดกระซิบถามเจ้านั่นไม่ได้
“จินตี้” ใบหน้าซีดเซียวคล้ายจะเป็นลมนั้นผินมาทางข้า ข้าเห็นแล้วต้องลอบถอนหายใจเป็นพักๆ เพื่อข่มอารมณ์ร้อนรุ่มในใจ “เจ้ามาประลองทำไมรึ”
จินตี้เห็นท่าทางไม่เป็นพิษภัยของข้าก็ส่งยิ้มป่วยๆ มาให้ “ข้ามาฝึกวิชาเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกาย เมื่อมีโอกาสประลองเช่นนี้ย่อมต้องคว้าเอาไว้”
โอกาส? ข้าแทบสำลักน้ำลายตนเอง จะอย่างไรก็เหมือนว่าส่งเจ้านี่มาหาที่ตายชัดๆ “พี่จิน ท่าทางท่านจะเจ็บป่วยเรื้อรังมานานแล้ว มาประลองกลางแจ้งแบบนี้มิทำให้อาการหนักขึ้นรึ”
จินตี้หัวเราะแห้ง พูดเสียงแหบพร่า “ช่วยไม่ได้ ข้าจับไม้ติ้วได้ก็ต้องมาแข่งเป็นตัวแทนของหน่วย ปีก่อนพี่ใหญ่กับพี่รองก็เข้าร่วมแล้ว ปีนี้ข้าไม่เข้าร่วมไม่ได้”
ตรรกะอะไรของพวกหน่วยทอง โดยปกติแล้วหน่วยทองบ้าบิ่นไม่แพ้หน่วยอัคคี ความจริงแล้วควรจะส่งศิษย์ที่เก่งกล้ามาร่วมประลองให้มากจึงจะถูก “น่าแปลกยิ่งนะพี่จินตี้”
จินตี้หัวเราะจนตัวโยน ริมฝีปากแห้งผากเผยรอยยิ้มบางๆ คล้ายซากศพยิ้มได้ “การประลองปัญจธาตุแต่เดิมเป็นการเอาชีวิตเข้าแลกอยู่แล้ว ตัวข้าเป็นหม้อยาเดินได้มาตั้งแต่เกิด ไม่คิดเสียดายชีวิต”
จิตใจอันร้อนรุ่มของข้ายิ่งร้อนรุ่มกว่าเก่า ตาเฒ่าหน่วยทองคิดอะไรอยู่ ชีวิตหนึ่งชีวิตย่อมมีค่า จะมาเสียชีพแต่ไม่ยอมเสียหน้า โง่งมยิ่ง
“เอาละ ข้าจะแนะนำท่านผู้หนึ่งให้ทุกคนรู้จัก” ปรมาจารย์จางไป๋เฮ่อพูดขึ้น
คนผู้หนึ่งสวมชุดผ้าไหมเนื้อดีสีน้ำเงินเข้มปักลวดลายกระเรียนขาวตรงชายชุดก้าวออกมาด้านหน้า ใบหน้าสุขุมคัมภีรภาพนั้นฉีกยิ้มสุภาพให้ผู้คน
“คนผู้นี้เป็นรองหัวหน้าสำนักแพทย์แห่งต้าถัง แพทย์อัจฉริยะในเวลานี้ก็มีเพียงเขา ท่านหมอตงฟางเหมยเสิน”
สิ้นคำของปรมาจารย์กระเรียนขาว ผู้คนก็พูดคุยกันเสียงดังรอบทิศ โดยเฉพาะศิษย์หน่วยพฤกษาที่ตื่นตัวเป็นพิเศษ
เลือดในกายของข้าเย็นเฉียบ มองไปยังคนผู้นั้นที่แจกรอยยิ้มให้ผู้คนราวกับพระโพธิสัตว์ ท่าทางสูงส่งนั้นช่างขัดแย้งกับความรู้สึกของข้าเหลือเกิน
ข้ามองเห็นรอยยิ้มดีใจของผู้คน เสียงปรบมือเกรียวกราว เหนืออื่นใดนั้น…คนผู้นั้นปรายตามองข้า ดวงตาหยีเล็กนั้นดุจพยัคฆ์ร้ายมองลูกกระต่ายที่อ่อนด้อยกว่าตนทุกประการ
มือของข้าเย็นเฉียบคล้ายเลือดไม่ไหลเวียนทั่วทั้งกาย ทว่าก็ไม่อาจกะพริบตาเพื่อหลบสายตากึ่งดูหมิ่นเหยียดหยามกึ่งประเมินของคนสารเลวผู้นั้นได้ เสียงประกาศของปรมาจารย์กระเรียนขาวผ่านหูของข้าไปราวกับเสียงรบกวนของปักษาในยามเช้า
“วันนี้ท่านหมอตงฟางจะมาคัดเลือกศิษย์หน่วยพฤกษาที่ถึงเวลาสำเร็จการฝึกฝนเพื่อไปบำเพ็ญประโยชน์ต่อบ้านเมืองในสำนักแพทย์”
เจ็บ…ชา…ทว่าข้าร้องไห้ไม่ได้ ไม่อาจให้น้ำตาหลั่งริน ไม่อาจให้คนผู้นี้รู้ว่าข้ารู้อะไรมาบ้าง
ในสายตาของเขา ข้าเป็นเพียงน้องเล็กที่ไร้ความสามารถ
ทำอย่างไรดี ข้าควรทำอย่างไร
ข้าฝืนส่งยิ้มให้คนผู้นั้นในเสี้ยวเวลาหนึ่ง ก่อนจะก้มหลบตาคล้ายคนขี้ขลาด การแข่งขันในคราวนี้ข้าจะแพ้ไม่ได้
ทว่าข้าจะชนะอย่างไรให้คนผู้นี้ไม่หวาดระแวงข้า ไม่หาทางกำจัดข้าในตอนนี้ แย่เหลือเกิน ความจริงบางอย่างไม่รู้ย่อมดีกว่า ข้าอึดอัดจนแทบบ้า อากาศร้อนภายนอกเทียบไม่ได้กับจิตใจอันร้อนรน ว้าวุ่นและคั่งแค้นของข้าตอนนี้
ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่ ท่านอา…ท่านปู่ ท่านย่า…
ความเย็นสบายสายหนึ่งไหววูบที่ไหล่ของข้าจนต้องเงยหน้าขึ้นมอง อี้หลิงซึ่งยืนห่างข้าเพียงศอกเดียวส่ายหน้า รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากเพียงเล็กน้อยเพื่อปลอบประโลมจิตใจอันห่อเหี่ยวของข้าให้สดชื่นขึ้น เขาสาดสายตาไปยังมุมหนึ่งของเวที
อาจารย์ปู่ส่ายหน้า ตาแก่นั่นกับอาจารย์ส่งยิ้มปลอบประโลมมาให้ข้า เขาบุ้ยปากไปยังปลายแถวที่ข้ายืนอยู่
เป็นเฉินเจิ้งหยา
ข้ามองด้วยความงุนงง เมื่อมองที่ตาแก่ก็เห็นเขาชี้ที่ฟันตัวเอง
อ้อ! มีวิธีหนึ่งที่ข้ายังใช้ได้
หากผู้อื่นจับไม่ได้ว่าเราทำอะไรก็ไม่ถือว่าข้าทำสำเร็จหรือพลาด
ขอเพียงชนะโดยที่ผู้อื่นไม่รู้อุบายก็เพียงพอแล้ว…
อี้หลิงปะทะกับศิษย์หน่วยวารีผู้หนึ่งชื่อสุ่ยเซวียน นางเป็นสตรีคนที่มีใบหน้าเรียวงามราวกับหยกผู้นั้นนั่นเอง ทว่าการประลองกลับไม่สนุกสนานหรือตื่นเต้นเท่าที่ควรนัก มารยาร้อยเล่มเกวียนที่สตรีหน่วยวารีธาตุภูมิอกภูมิใจหนักหนากลับใช้ไม่ได้ผลกับคนแข็งทื่อเช่นอี้หลิง เขามองทุกอย่างตามสัจธรรม วิชามายาจึงใช้ไม่ได้ผล
กับสตรีแล้วนั้น...อี้หลิงรู้ดีอย่างยิ่ง ใครใช้ให้เขาถูกอาจารย์ปู่อบรมมาเล่า
เมื่อไม่ตกอยู่ในกลอุบายของนาง วิชาของนางก็ไม่สามารถเอาชนะอี้หลิงได้ คนผู้นี้รวดเร็วว่องไว ใช้กลวิธีดาบนั้นคืนสนอง สุดท้ายแล้วสุ่ยเซวียนก็พลาดพลั้งหลุดออกจากลานประลองไปเอง แม้ว่านางจะแสร้งว่าตนเท้าเคล็ดและร้องโอดโอย อี้หลิงก็ไม่หันหลังกลับ เป็นบุรุษจากหน่วยวารีและหน่วยอื่นที่หลงใหลในตัวนางที่กรูกันเข้ามาช่วย
“ใจร้ายกับดรุณีผู้งดงามได้อย่างไร” ข้าพูดเปรยๆ มองสุ่ยเซวียนปาดน้ำตาร่ำไห้ปิ่มจะขาดใจอยู่ไกลด้วยความเห็นใจไม่น้อย
“นางมีคนดูแลอยู่แล้ว”
“อ้อ หากไม่มีคนดูแล เจ้าก็อาจจะไปดูนางอย่างนั้นรึ”
อี้หลิงส่ายหน้า ยกน้ำชาขึ้นดื่มแก้กระหายด้วยท่วงท่าสุขุมเรียบนิ่ง ประกายตาคมกริบมองการต่อสู้ของคู่ใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น “ชีวิตข้าถูกฝึกมาเพื่ออ่านเจตนาของสตรี ยิ่งงดงามยิ่งน่ากลัว”
ข้าไม่ค่อยเข้าใจนัก ทว่าที่เขาพูดก็ไม่ผิด ดูอย่างแม่รองข้า ร้ายกาจเพียงไหนถึงได้กลายเป็นงูพิษเช่นนั้น ความขมขื่นในใจของข้านั้นยิ่งกว่าน้ำดีของมนุษย์เสียอีก
“คิดออกหรือยังว่าจะเอาชนะคู่แข่งได้อย่างไร”
ข้าส่ายหน้า พูดถึงการประลองของตนเองก็อดตื่นเต้นไม้ได้ มือของข้าสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่ ตราบใดที่คนผู้นั้นยังดูอยู่ ข้าไม่อาจหาเรื่องมาตลบตะแลงหรือแกล้งหลอกได้อย่างแนบเนียน
“เจ้าดูไม่ออกหรือว่าคู่แข่งเจ้าป่วย”
“ข้ารู้” รู้ดีเสียด้วย มิเช่นนั้นข้าจะกังวลทำไมเล่า
“จัดการกับคนป่วยไม่ใช่เรื่องยาก”
โฮ่! ถ้าข้าไม่เป็นหมอมาก่อน เรื่องซ้ำเติมคนไม่ใช่เรื่องยาก ทว่ายิ่งเห็นคนป่วยอยู่ต่อหน้า คิดจะต่อยท้องก็กลัวน้ำดีมันแตก คิดจะต่อยปากก็กลัวมันกินยาไม่ได้
ข้าหวนคิดถึงคำพูดหมดอาลัยตายอยากของจินตี้ ความคิดประหลาดผุดขึ้นมาในใจประหนึ่งน้ำพิสุทธิ์จากสวรรค์ชโลมลงมาปะพรมกลางใจอันแห้งผากของข้าให้ฉ่ำชื้น
การโจมตีมีมากมายหลายประเภท!
“พี่จิน! ท่านจะวิ่งไปถึงไหน” ข้าตะโกนเรียก จินตี้ยังคงไม่หยุดวิ่ง เจ้าหมอนี่แม้ร่างกายจะป่วยอมโรค ทว่าเรื่องการหลบหนีกลับเป็นเลิศ
“ไม่ได้ ข้าจะทำให้เจ้าเหนื่อยจนยอมแพ้”
“พี่จิน ท่านอาจจะเหนื่อยตายได้นะ”
“ความปรารถนาในชีวิตของข้าคือได้รักษากับปรมาจารย์เจ้าสำนัก หากข้าพ่ายแพ้ มิต้องตายตั้งแต่ยังหนุ่มหรือ”
ข้าขอด่าบรรพบุรุษของเจ้าจินตี้สักสิบแปดชั่วโคตร มารดามันเถอะ! เจ้านี่ไม่ได้ป่วยร้ายแรงเสียหน่อย แค่ระบบบางอย่างในร่างกายอ่อนแอกว่าคนทั่วไปจึงป่วยกระเสาะกระแสะ หากมันเข้าหน่วยพฤกษาไปก็อาจมีทางรักษาได้
“พี่จิน ข้าพอจะมีหมอเทวดามาแนะนำท่านนะ คนผู้นี้ร้อยโรคมิผิดพลาด”
เท้าของจินตี้หยุดชะงักอีกฝั่งของลานประลอง คนรอบข้างหัวเราะขบขันกับการวิ่งกวดกันของพวกเราคล้ายกับว่าเป็นการประลองที่น่าอับอายที่สุดในวันนี้ไปแล้ว
“เจ้าพูดจริงรึ”
ข้าหอบหายใจหนัก ต้องใช้มือคลึงหน้าอกเพื่อปรับชีพจรให้เต้นช้าลง เข่าอ่อนจนแทบจะหมดแรง “ข้าไม่เคยโกหก หากข้าโกหกขอให้ไม่ได้…”
‘พอแล้วๆ’
คราวนี้ข้าได้ยินเสียงดังขึ้นในหู มองหาทิศทางก็เห็นจินตี้ส่ายหน้าแล้วเริ่มระแวดระวังตัวเต็มที่
‘ใช้กระแสจิตพูดคุยกันจะช่วยลดความเหนื่อยทางกายไปได้มาก ข้ารู้ว่าเราทั้งคู่เริ่มไม่ไหวแล้ว’
ข้าเกือบตกใจตายเพราะคิดว่าผีหลอก วิชานี้สิ้นเปลืองสมาธิอย่างมาก ข้าเพิ่งฝึกได้เดือนเดียวเอง ‘ข้าพูดมากไม่ได้’
‘ทำไมรึ’
‘ข้าเพิ่งฝึกสำเร็จ’
เราสองคนเริ่มต้นจะทำท่าวิ่งไล่จับอีกครั้ง หลายคนเบื่อหน่ายจนอ้าปากหาว ตงฟางเหมยเสินส่งยิ้มเยาะเย้ยมาให้ข้า หึ!
‘ท่านเป็นโรคหยางเกินหยินพร่อง’
‘อธิบายละเอียดหน่อยได้หรือไม่’
‘ไม่โว้ย’ ข้าปฏิเสธ เริ่มหอบหายใจหนักหน่วง การพูดทางกระแสจิตสิ้นเปลืองพลังมากเกินไป
‘อ้าว! ไอ้นี่’
‘หลังประลองเสร็จ ข้าจะไปหา’
จินตี้ไม่มีทีท่าว่าจะไว้ใจ ข้าจึงต้องใช้แรงเฮือกสุดท้ายหลับตาขอโทษมารดาของจินตี้ในใจ บอกนางว่าข้าจะช่วยบุตรชายของนางหลังจากนี้
ข้าใช้กระบวนท่า ‘แสงอัสนี’ พุ่งเข้าหาจินตี้ด้วยความเร็วและยกเท้าขวาขึ้นถีบยอดหน้าของเขาโดยแรงจนตัวเขาลอยละลิ่วออกไปจากเวที
กระบวนท่านี้รวดเร็วแม่นยำทว่าใช้แรงน้อยที่สุด ทำอันตรายสูงสุดก็เพียงแค่ทำให้สลบไปเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น อาจารย์บอกว่าเป็นท่าเตะหมา เอาไว้ใช้กับคนที่อ่อนแอกว่า จุดมุ่งหมายเพียงเพื่อกำราบเล็กน้อย ไม่เอาถึงชีวิต
“ตงฟางหย่งหมิงชนะ!”
รอบด้านเงียบกริบ เป็นการประลองที่ไร้สาระที่สุดเท่าที่ทุกคนเคยพบเจอมา วิ่งไล่จับกันราวกับเด็กเล็กๆ และเผด็จศึกด้วยวิธีที่ เอ่อ…รวบรัดหมดจด!
จินตี้สลบไสลไม่ได้สติ
ข้าลอบมองตงฟางเหมยเสิน เห็นเขาส่ายหน้าคล้ายอับอายขายขี้หน้าแล้วก็เดินจากไป หึ! สารเลว คิดจะใช้ชื่อเสียงของตระกูลให้ตัวเองสูงส่ง เจอท่าเตะหมาของข้าหน่อยเป็นไรเล่า หมออัจฉริยะ
ตัวบัดซบ! อัจฉริยะตัวจริงน่ะข้าต่างหากโว้ย บังอาจหักหลังตระกูล แย่งชิงตำแหน่งที่พี่ใหญ่ควรจะได้ สันดานหยาบช้าเช่นนี้ไม่ควรใช้สกุลตงฟางอันมีเกียรติ
ฝากเอาไว้ก่อน…
ข้าเดินออกจากลานประลองมุ่งไปยังจินตี้ที่นอนสลบเหมือดอยู่กับพื้น ไม่พูดพร่ำกับใครทั้งสิ้น แม้แต่ปรมาจารย์ของหน่วยพฤกษาข้าก็ไม่สน ข้าแบกจินตี้ที่ตัวผอมบางขึ้นบ่า ดวงตาของข้าในตอนนี้ไร้ซึ่งแววยินดีในชัยชนะ ระลอกความคั่งแค้นเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี
‘ข้าตงฟางหย่งหมิง ขอตั้งสัตย์สาบานต่อท้องฟ้า ณ ยอดเขาอวิ๋นซาน องค์เทพเซียนที่ปกป้องสำนักอู่สิง บรรพจารย์แห่งอู่สิงที่เคารพ หากข้าไม่ได้ล้างหนี้เลือดในคราวนี้ เกิดอีกชาติข้าก็จะตามคิดบัญชีพวกมันร่ำไป’
สายฟ้าฟาดเปรี้ยง เมฆทะมึนเคลื่อนเข้าปกคลุมสำนักอู่สิง ห่าฝนโหมกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ข้าเดินออกไปโดยไม่สนคำทักท้วงใดๆ ทั้งสิ้น
ที่จริงหากจะเศร้า ก็ควรจะฟังผู้อื่นสักหน่อย
เป็นเพราะก้าวเดินผิดทาง ทำให้ต้องเสียเวลาเดินย้อนกลับมา รวมๆ แล้วข้าตากฝนไปเกือบสองเค่อ แทบจะเป็นปอดบวมตายเสียแล้ว