บทนำ
บทนำ
หนึ่ง…ฉับ!
สอง…ฉับ!
สาม...ฉับ!
เนื้อไม้ที่ถูกขวานจามกระเด็นไปคนละทิศละทาง บางส่วนกระเด็นแรงเสียจนบาดผิวกายที่โผล่พ้นเสื้อผ้าจนเป็นรอยขีดข่วน ข้ากำลังตัดต้นไม้ด้วยขวานเก่าเล่มหนึ่ง ส่วนปลายของมันมีรอยบิ่นมากมายทั้งยังไร้คมจนน่าหวั่นใจว่าจะใช้ไม่ได้ ทว่านี่ไม่ใช่อุปสรรคในการฝึกฝนของข้าเลยแม้แต่น้อย
ศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักบอกข้าว่ามันช่างไร้สาระเหลือเกินที่ต้องมาทำอะไรเช่นนี้ แต่ข้ากลับคิดว่าคำสั่งของอาจารย์ย่อมมีเหตุผลแฝงอยู่เสมอ แม้หลายคนจะมองเป็นเรื่องโง่เง่า กระนั้นแล้วข้าก็หาได้ใส่ใจไม่
จำเป็นด้วยหรือที่ต้องใส่ใจกับสิ่งที่ไม่ทำให้ข้าพัฒนาฝีมือ
ฉับ!
ฝึกฝนผ่านไปราวสองชั่วยาม[1] ข้ายังคงใช้ขวานทื่อฟันต้นไม้ที่มีอายุราวสามสิบปีต้นนี้ เวลาผ่านไปไม่นานนักเนื้อไม้ก็ค่อยๆ ถูกขวานของข้าเฉือนออกไปหลายชุ่น[2]
นี่ไม่ใช่ความล้มเหลวอย่างที่ผู้อื่นบอก แต่ความสำเร็จของข้ากำลังใกล้เข้ามาแล้วต่างหาก
โบราณว่าไว้ ปู่โง่ย้ายภูเขาได้[3] ข้าเองก็สามารถโค่นต้นไม้ด้วยขวานทื่อเล่มหนึ่งได้เช่นกัน
อากาศยามบ่ายร้อนอบอ้าวไปบ้าง เสื้อผ้าที่ข้าสวมเต็มไปด้วยเหงื่อไคลและกลิ่นเหม็นอับ ที่จริงก็ไม่ได้ซักมันมาเกือบเจ็ดวันแล้ว ไม่ใช่เพราะว่าขี้เกียจหรือหาข้ออ้างทำตัวซกมก แต่เพราะว่าตอนนี้ข้าเป็นเด็กใหม่ แม้แต่เด็กรับใช้ในสำนักก็ยังดูแคลนไม่ยอมช่วยซักให้ นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ข้าต้องลงมือทำอะไรเอง ผลก็เป็นเช่นนี้ หมดสิ้นสภาพเสื้อผ้าเนื้อดีที่ท่านแม่ตัดเย็บอย่างภาคภูมิใจเสียสิ้น
ฉับ!
ยามลงแรงอย่างต่อเนื่อง เนื้อไม้จึงกระเด็นตามแรงสับทั้งยังพากลิ่นหอมของมันให้ฟุ้งกระจาย ต้นไม้โดยมากมีกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ ยามใช้ทำฟืนจึงทำให้กลิ่นของอาหารหรือยามีความหอม และยังเสริมสรรพคุณทางยาที่แตกต่างกัน ทุกครั้งที่ข้าจามขวานนอกจากฝึกกำลังแขนแล้ว ยังคิดทบทวนถึงเรื่องเหล่านี้ไปพร้อมกันอีกด้วย ข้าจดจ่อกับรอยขวานที่ฟันลงไป ทุกครั้งที่สมาธิอยู่กับการฟันแบบนี้ความแม่นยำจะค่อยๆ เพิ่มพูน จนในที่สุดก็รู้ว่าควรวางน้ำหนักเท่าใดจึงจะพอดี เงื้อแขนเท่าใดจึงจะแรงพอ สิ่งเหล่านี้ข้าเรียกว่า ประสบการณ์
คำพูดของอาจารย์ไม่เคยผิดพลาด หลายคนเห็นว่าข้าเป็นคุณชายมาจากต่างถิ่นก็หัวเราะเยาะว่าข้าคงจะทำอะไรไม่เป็น ตอนนี้ข้าอายุสิบสามแต่ฝีมือยังห่างชั้นจากศิษย์พี่บางคนที่อายุน้อยกว่าข้าหลายขุมนัก
ใช่สิ ใครใช้ให้ข้ามาถึงสถานที่แห่งนี้ช้ากว่าผู้อื่นเล่า มีเทียบเชิญมาที่บ้านข้าตั้งแต่ตอนอายุหกขวบ ทว่าบิดามารดากลับจงใจละเลย หากข้าไม่แอบไปเห็นจะสามารถมาถึงที่นี่ได้อย่างไร
ท่านปู่เคยกล่าวไว้ว่า เกิดเป็นบุรุษล้วนมีอุดมการณ์เป็นของตนเอง ทุกคนย่อมมีเส้นทางที่ควรจะเดิน...และต้องเดิน
ตอนแรกข้าคิดไม่ตก วันๆ เอาแต่เรียนเป็นหนอนตำรา กระทั่งพบเจอเทียบเชิญจึงได้ดื้อดึงจะมาที่แห่งนี้ให้ได้
แน่นอนว่าย่อมเป็นท่านปู่ช่วยพูดให้ มีเด็กหนุ่มบ้านใดไม่มีความใฝ่ฝันจะเป็นจอมยุทธ์
อืม...อันที่จริงแล้วก็มีเด็กหนุ่มมากมายที่คิดเช่นนั้น เกิดมามีฐานะหน่อยก็อยู่สุขสบาย บางคนทรัพย์สินเงินทองของตระกูลมีจำนวนมาก ใช้เท่าไรก็ไม่มีวันหมด บางคนเกิดมาเป็นเศรษฐีที่ดิน เพียงปล่อยที่ดินให้ผู้อื่นเช่าแล้วก็ไม่ต้องทำอะไร บางคนเพียงเกิดมามีความสามารถและต้นทุนดีกว่าผู้อื่นอีกหน่อย เมื่อได้สืบสานกิจการของตระกูลก็สุขสบายไปทั้งชาติ แต่บางคนก็เกิดมาทุกข์ยากแสนสาหัส กระทำการใดก็พบเจอแต่ความล้มเหลว เรื่องเหล่านี้ฟ้ารู้ดินรู้ มีเพียงผู้ที่มีความขยัน อดทน และมีโชคอยู่บ้างเท่านั้นจึงจะประสบความสำเร็จ
เฮอะ! บ้านข้ามีพี่ชายสามคน พี่สาวหนึ่งคน กิจการทั้งหลายยังจะตกสู่มือข้าอีกหรือ จะอย่างไรนายน้อยเช่นข้าอยู่บ้านไปก็ได้แต่เป็นภาระให้ตระกูล สู้อาศัยช่วงเวลาในวัยเด็กออกตามหาความฝันไม่ดีกว่าหรือ
ตอนนี้ข้ากำลังไล่ล่าความฝัน…ความฝันที่จะเป็นจอมยุทธ์
เปรี๊ยะ! เนื้อไม้ลั่นเสียงดังราวฟ้าผ่า เศษไม้ขนาดเล็กกระเด็นมาโดนใบหน้าข้าจนรู้สึกแสบนิดๆ ดวงตาของข้าเบิกกว้างมองความสำเร็จที่ตัวเองเพียรพยายามมาเกือบจะสามชั่วยามด้วยใจลุ้นระทึก
ครืน! ผืนดินสั่นไหว...ต้นไม้ถูกโค่นลงพร้อมกับข้าที่นั่งลงแผ่หลาอย่างหมดแรง หายใจหอบเหนื่อยราวกับว่าจะไม่มีโอกาสได้หายใจอีกต่อไปแล้ว เป็นเพราะตัวข้าไม่คุ้นเคยกับการใช้แรงมากขนาดนี้มาก่อน แม้จะเป็นเวลากว่าเดือนหนึ่งแล้วที่มาอยู่ที่นี่ แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ข้าสามารถโค่นต้นไม้ได้เร็วขนาดนี้
ข้ากวาดสายตามองบริเวณรอบๆ ด้วยความภาคภูมิใจ ต้นไม้จำนวนไม่น้อยที่ถูกข้าโค่นลงอย่างโง่งมเกือบทุกวันเหลือแต่เพียงตอไม้ขนาดใหญ่ที่ยังไม่ถูกตัดไปทำฟืน ส่วนกิ่งไม้ขนาดพอดีได้ถูกข้าขนเอาไปไว้ที่โรงครัวจนหมดแล้ว ไม้ท่อนใหญ่ขนาดนี้หากชาวบ้านที่ขึ้นเขาตัดฟืนมาเห็นเข้าคงจะดีใจมิใช่น้อย
ตอนนี้ในใจของข้าเต้นกระหน่ำด้วยความลิงโลด มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยและค่อยๆ ยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ข้าอดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ ความรู้สึกจากความสำเร็จเล็กๆ นี้ดูเหมือนไม่สลักสำคัญเท่าใดนักต่อผู้อื่น ทว่าภาพในมโนสำนึกกลับเปล่งประกายราวกับเห็นทางสว่างของอนาคตอันรุ่งโรจน์ รอยยิ้มที่ไม่ค่อยปรากฏขึ้นบนใบหน้าข้าบ่อยนักได้เกิดขึ้นอีกครั้ง เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ข้ายิ้มออกมาด้วยความดีใจจนอยากจะหัวเราะดังๆ ให้ลั่นป่า
ครั้งสุดท้ายที่ข้าลิงโลดเช่นนี้คือตอนที่ท่านพ่ออนุญาตให้ข้ามาที่แห่งนี้
ที่ดีใจถึงเพียงนี้ก็เป็นเพราะครั้งนี้ข้ากำลังจะได้เข้าฝึกขั้นพื้นฐานดังเช่นผู้อื่นเสียที หนทางแห่งจอมยุทธ์...รออีกไม่นาน…วีรกรรมของข้าจะเป็นที่กล่าวขานจากรุ่นสู่รุ่น ไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก ไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลน
อ้อ! ที่จริงแล้วข้าไม่ได้อยากเป็นเจ้ายุทธ์หรอกนะ
ข้าเพียงอยากเป็นจอมยุทธ์ผู้หนึ่งที่มีศักดิ์ศรี สามารถคุ้มครองตนเอง คุ้มครองครอบครัว และคุ้มครองมิตรสหาย มิใช่คนอ่อนแอที่ยินยอมให้ผู้อื่นรังแกอีกต่อไป กระนั้นแล้วข้าก็ยังอยากหวังมากขึ้นอีกนิด...ขอแค่ชื่อข้าเลื่องลือไปทั่วทั้งสี่คาบสมุทร สิบหมื่นขุนเขาก็พอแล้ว
อา…ข้าโลภมากไปหรือ
เช่นนั้นขอแค่ข้าได้โดดเด่นสักหน่อย ให้ผู้คนรู้สึกอิจฉานิดๆ คนในตระกูลภาคภูมิใจ ดีหรือไม่ดี
ทว่าก่อนจะเป็นจอมยุทธ์เลื่องชื่อ…ข้าควรจะรักษามือตนเองก่อนใช่หรือไม่
ข้าก้มมองมือที่เคยเนียนละเอียดของตนเองแล้วก็อยากจะร้องไห้ เพิ่งรู้สึกเจ็บแสบจนยากจะบรรยายก็ตอนนี้ ลองสะบัดมือดูแล้วคล้ายกับว่ากระดูกเคลื่อน เส้นเอ็นกำลังจะฉีกออกจากกัน
มารดามันเถิด! มัวแต่ดีใจจนลืมความเจ็บปวดเช่นนี้ไปได้อย่างไร เห็นข้าขวัญกล้าเทียมฟ้ายืนยันจะมาที่นี่ให้ได้ ทว่าความจริงแล้วข้าก็ถุงน้ำดีเล็กเท่าเม็ดถั่วแดงกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นกัน
เฮ้อ...เอาเถอะ อย่างน้อยสิ่งที่ตระกูลมอบให้ข้า นอกจากหน้าตาอันโดดเด่นแล้วก็ยังมีความรู้ทางการแพทย์ที่ข้าพอจะโอ้อวดได้ว่าเหนือชั้นกว่าบรรดาพี่ชายนัก
ทว่าไม่ใช่สิ่งที่ร่ำเรียนมาตั้งแต่เด็กหรอก
จุ๊ๆ อย่าเพิ่งบอกใครเชียวละ ชาติก่อนข้าเป็นถึงหมอเทวดาเชียวนะ!
[1] ๑ ชั่วยาม เท่ากับเวลาประมาณ ๒ ชั่วโมง
[2] ๑ ชุ่น เท่ากับระยะประมาณ ๑ นิ้ว
[3] ปู่โง่ย้ายภูเขาได้ เป็นสำนวนจีน หมายถึง มีความวิริยะอุตสาหะจนสำเร็จ