จากนั้นแสงฉายจึงลุกเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า แล้วเข้าห้องน้ำซึ่งอยู่ปลายที่นอนห่างออกไปพอสมควร เจรัลด์ได้แต่มองตาม ก่อนจะหันมาสบตาวสินที่มองอยู่ก่อนแล้ว ราวกับแอบหวงเจ้านายสาวเสียอย่างนั้น ก็สวยซะขนาดนี้เป็นใครก็ต้องหวงเมื่ออยู่กันตามลำพังแล้วเจรัลด์ก็เริ่มยิงคำถามกับ วสินทันทีเหมือนกัน
“ใครเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผมเหรอครับ” เจรัลด์ถามด้วยความสงสัย
“ผมกับลูกน้องเปลี่ยนให้เองล่ะครับ คิดว่าเจ้านายผมเปลี่ยนให้หรือยังไง เธอก็เป็นผู้หญิงนะครับ” วสินตอบและยิ้มนิดหน่อย
“ขอโทษนะครับ คุณพูดภาษาอังกฤษได้เก่งพอสมควร คุณเอ่อ”
“จะบอกว่าผมเหมือนคนพูดไม่เป็นเหรอครับ ผมก็เรียนหนังสือ เรียนเก่งด้วยแต่มีหน้าที่ต้องดูแลนาย ก็เลยเป็นลูกจ้างต๊อกต๋อยไงครับ”
“เอ่อ ผมไม่ได้หมายความว่าคุณต๊อกต๋อยนะครับ แค่คิดว่าคุณเก่งมาก”
“ที่นี่เป็นเมืองท่องเที่ยวครับ ชาวต่างชาติมาเที่ยวเยอะ เราก็ฝึกเอาไว้”
“ส่วนเจ้านายของคุณก็เก่งมากเหมือนกันครับ”
“หึๆ คนนั้นไม่ต้องพูดถึงครับ ถ้าไม่เก่งคงไม่สามารถคอนโทรลลูกน้องชายได้ทีละเป็นสิบเป็นร้อยหรอกครับ” ส่วนหนึ่งก็เพราะบารมีบิดามารดาของแสงฉาย ต่อยอดให้กับตัวเอง ซึ่งเธอเป็นคนน่ารัก เป็นกันเองกับทุกคน จึงสามารถซื้อใจผู้ชายทั้งไร่ได้
“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ ชักอยากจะรู้แล้วล่ะ”
“ถ้างั้นก็หายเร็วๆ นะครับ จะได้ลงไปเดินเล่น จะได้เห็นธุรกิจที่เราทำ”
“ครับ ผมจะพยายาม” เจรัลด์ตอบอย่างหนักแน่นก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ
แต่เท่าที่เห็น วสินก็คิดว่าเจรัลด์จะต้องเป็นคนที่แข็งแรงพอสมควร
สังเกตจากรูปร่างที่กำยำและสูงใหญ่มากๆ คงไม่อ่อนแอหรอก
ช่วงเวลาที่เจรัลด์ หรือชื่อจริงคือเจสัน คิงส์ พักฟื้นร่างกาย เพราะเพิ่งผ่านความเป็นความตายมาได้หมาดๆ นั้น คนที่ลงมือไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจสันรอดเพราะคิดว่ายิงโดน แต่เพราะความที่กลัวว่าศพจะโผล่ให้ใครเห็นแล้วสาวมาถึงตัวได้ ทุกคนจึงได้ออกตามล่าหาร่างของเจสัน ไล่ตั้งแต่ต้นน้ำที่เจสันตกลงมา และคิดว่าน่าจะไหลมาตามลำธารสายเล็ก ซึ่งเป็นที่ดินของชาวบ้าน
ชายวัยฉกรรจ์คนไทยสองคนและฝรั่งอีกสองคน แยกกันออกตามหา แล้วแสร้งทำตัวกลมกลืนไปกับชาวบ้าน ทำทีเป็นนักท่องเที่ยวเดินชมเกษตรเชิงท่องเที่ยวของไร่องุ่น ถ่ายรูปชมวิว โดยที่ดินตรงนี้คือไร่องุ่นขนาดใหญ่หลายร้อยไร่ บริเวณที่ดินแห่งนี้มีแม่น้ำตัดผ่าน แล้วดูเหมือนจะเป็นสายตรงจากน้ำตก แต่ทางเดียวที่จะแน่ใจคือต้องถามชาวบ้าน ว่าเป็นแม่ลำธารสายเดียวกันหรือไม่
“ขอโทษครับลุง ลำธารใสๆ สวยๆ แบบนี้ไหลมาจากไหนครับเนี่ย”
“ไหลมาจากน้ำตกข้างบนโน่นเลยพ่อหนุ่ม” ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวสวนตอบพลางชี้นิ้วไปทางด้านหลัง ซึ่งเป็นต้นลำธาร และคิดว่าแอ่งน้ำคงอยู่ไม่ไกล
“แสดงว่าตรงนั้นมีแอ่งน้ำใช่ไหมครับ”
“ใช่ เอ็งถามทำไมเหรอ ท่าทางไม่เหมือนคนอยากจะมาเล่นน้ำ”
“อ๋อ ผม เอ่อมาสำรวจเอาไว้ก่อนน่ะครับ พอดีจะพาเพื่อนๆ ชาวต่างชาติมาเที่ยว”
“เออดีๆ มากันเยอะๆ ที่นี่มีโฮมสเตย์กับร้านอาหารด้วยนะวิวสวยมาก”
“ขอบคุณครับ ผมขอสำรวจดูก่อน แต่ไร่องุ่นที่นี่สวยมากนะครับ นักท่องเที่ยวมาเยอะไหมครับในแต่ละวัน”
“ก็เยอะนะ เพราะที่นี่ทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรด้วย”
“เอ่อ จริงสิครับ ผมถามอีกเรื่อง” ว่าแล้วชายหนุ่มแปลกหน้าก็หยิบรูปถ่ายออกมาให้ชาวบ้านดูซึ่งเป็นรูปฝรั่งคนหนึ่ง
“ลุงเคยเห็นหน้าค่าตาไหมครับ เราตามหา เขาพลัดหลงกับเราน่ะครับ ตอนนี้ติดต่ออะไรไม่ได้เลย”
“อืม ไม่เคยเห็นหน้า แต่ไอ้ฝรั่งตาน้ำข้าวคนนี้หล่อดีนะ ลุงไม่เคยเห็นหรอก หน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้จะมาเดินเพ่นพ่านแถวนี้ได้ยังไง” อันนี้ลุงก็พูดถูก แต่คิดว่าคงจะไม่เห็นแน่ๆ เพราะสีหน้าท่าทาง ทั้งงุนงงสงสัย
“เหรอครับ งั้นขอบคุณมากนะครับ”
“ลุงว่าถ้าเขาหลงทางกับเอ็งนะ ป่านนี้น่าจะไปติดต่อตำรวจ หรือไม่ก็หาที่พักแล้วล่ะ”
“คงไม่หรอกครับ เขาไม่รู้จักใคร งั้นผมขอตัวนะครับ” ชายหนุ่มบอกอย่างเป็นมิตร จากนั้นจึงเดินจากไป พร้อมกับเดินมาตามริมลำธาร ซึ่งฝั่งที่เขาเดินก็เป็นไร่องุ่น มองไปสองฝั่งก็ไร้วี่แววว่าจะมองเห็น ลำธารตรงนี้ไม่ใช่น้ำที่จะไหลแรง ติดจะนิ่งด้วยซ้ำ ถ้าหากศพของเจสันไหลมาก็อาจจะหยุดอยู่ที่นี่ ขณะเดียวกันเพื่อนๆ อีกสามคนก็ช่วยกันทำทีเป็นถามหาคนหาย แต่ก็ไร้ร่องรอย เมื่อล้มเหลวจึงได้โทรศัพท์ไปแจ้งเจ้านายใหญ่
“นายครับเราไม่เจอแม้แต่ศพของมันเลยครับ” เขารายงานกับคนปลายสาย
“หาจนกว่าจะเจอ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เจอ ศพมันต้องไปเกยตื้นที่ไหนสักแห่ง” เจ้าของน้ำเสียงดุ กดต่ำ และบอกอย่างหัวเสีย
“นายมั่นใจนะครับว่ายิงโดนมัน” เขาถามเพื่อความแน่ใจ
“ฉันมั่นใจว่ายิงโดนนะโว้ย แล้วอีกสามคนล่ะ มีความคืบหน้ายังไงบ้าง”
“คิดว่ายังไม่เจอเหมือนกันครับ ตอนนี้กำลังถามชาวบ้านแต่ก็ไม่ได้เรื่อง”
“หาจนกว่าจะเจอ ถ้ามันตายต้องเจอศพ แล้วรีบเอาไปทำลายซะ แต่ถ้าไม่ตายมันต้องซ่อนตัวที่ไหนสักแห่ง แล้วจัดการเก็บมันให้ได้ อย่าให้เหลือซากกลับไปอเมริกา”
“ได้ครับนาย”
“ถ้าไม่เจอ พวกแกก็ไม่ต้องกลับมาให้ฉันเห็นหน้า” นี่เป็นคำสั่งเด็ดขาดว่าจะต้องเจออย่างนั้นสินะ
“ครับผม” เขารับคำอย่างหนักแน่น แม้จะไม่มั่นใจเลยว่าจะพบหรือไม่ และเมื่อเขารับคำแล้วปลายสายก็วางหูทันที
“เอาไงวะเรา คงต้องหาที่พักก่อน” ว่าแล้วเขาจึงหันไปส่งสัญญาณกับเพื่อนๆ อีกสามคน ให้ตามหาให้ทั่วหมู่บ้านซะก่อน พลางเดินเลียบๆ เคียงไปตามธาร เบียดๆ ไปกับต้นองุ่น จากนั้นก็ทำทีเป็นถ่ายภาพมั่วไปหมด แต่จังหวะเดียวกันนั้นแสงฉายที่กำลังคุมคนงานเก็บองุ่นอยู่นั้นก็สังเกตเห็นพอดี ทว่าไม่ได้เอะใจอะไรหรอก เพราะว่าไร่องุ่น มีนักท่องเที่ยวทุกวัน แต่ทำไมถึงไม่มาจากบริเวณร้านอาหาร
“นั่นนักท่องเที่ยวของเราหรือเปล่าน่ะ” แสงฉายเอ่ยถามคนงานด้วยความสงสัย
“ไม่เคยเห็นนะครับนายหญิง น่าจะเป็นนักท่องเที่ยวครับ แต่อาจจะเดินซุกซนผิดทางไปหน่อย”
“เขาเดินมาจากลำธารแถวบ้าน” เธอบอก เพราะบ้านเธอเป็นต้นลำธาร และจุดนี้ที่อยู่คือปลายทางแล้ว เพราะเป็นจุดท่องเที่ยวผักผ่อนและเป็นร้านอาหาร
“คงจะมาจากทางฝั่งบ้านของพ่อเลี้ยงมั้งครับ” คนงานคนเดิมบอก แสงฉายจึงได้แต่พยักหน้า แต่ยังคงสงสัยอยู่เพราะมาด้วยกันสี่คนทั้งฝรั่งและคนไทย พานทำให้เธอนึกหวั่นว่าอาจจะเป็นพวกไม่ประสงค์ดี ทว่าคิดในแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่า
“น้าม่อนดูงานทางนี้ไปนะคะ แสงขอไปออฟฟิศก่อน” แสงฉายพูดไปอย่างนั้น ทั้งที่จริงๆ แล้วจะให้เจ้าหน้าที่ดูความเคลื่อนไหวของสี่คนนี้เท่านั้นเอง ว่าแล้วเธอจึงขับรถ ATV ไปตามร่ององุ่นเพื่อกลับไปยังร้านอาหารสุดชิลของไร่ ซึ่งเป็นศูนย์กลาง มีออฟฟิศเอาไว้ทำงาน รวมถึงศูนย์จำหน่ายสินค้าของไร่