คาร์ล เคอร์แรน ตฤณภพ หนุ่มลูกครึ่งไทย – อังกฤษ บิดาเป็นคนไทย ส่วนมารดาเป็นคนอังกฤษ เป็นที่รู้จักในฐานะเจ้าพ่อแห่งเกาะมัลดีฟ แต่มีถิ่นฐานและครอบครัวในเมืองไทย ทว่ามีธุรกิจอยู่ในต่างประเทศทั้งหมด คือโรงแรมมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ไม่มีใครรู้จักตัวจริงของคาร์ล คนภายนอกที่เห็นคือ เขาหล่อแต่ ร้ายกาจ หลายคนที่เคยไปใช้บริการโรงแรมและเคยสร้างปัญหานั้นร่ำลือเป็นเสียงเดียวกันว่า คาร์ล ใจคอโหดร้าย ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ใครขัดใจเขาสั่งเก็บได้ทั้งหมด แต่นั่นมันเป็นแค่ข่าวลือที่หาหลักฐานไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่ตรากตรำทำงานคาร์ลก็หาเวลาพักผ่อนให้กับตัวเอง ด้วยการหิ้วสาวๆ ทีละหลายๆ คนเพื่อบำเรอรักบำบัดความใคร่ให้กับตัวเอง ซึ่งวันนี้เป็นอีกวันที่เขาอยากพักผ่อน และเมืองไทยก็เป็นที่เดียวที่เขากลับมา เพราะได้เห็นหน้าบิดา อยากอยู่กับบิดาให้หายคิดถึง
“คาร์ลอยู่ไหน” ชายวัยล่วงหกสิบถามขึ้นกับกลุ่มชายฉกรรจ์ เมื่อตามหา ลูกชายตัวเองไม่เจอ และคิดว่าคงกลับมาที่บ้านแล้ว
“ขึ้นไปอยู่บนห้องแล้วครับป๋า” ลูกน้องคนหนึ่งบอก ภูวนัยจึงรีบเดินขึ้นไปบนห้องของนอนลูกชายทันที เมื่อมาถึงหน้าห้องเขาไม่ได้เคาะอย่างคนอื่น แต่กลับเปิดเข้าไปเลย
“คาร์ล!” ภูวนัยเรียกบุตรชายเสียงเครียด ขณะที่สายตาเมินเฉยกับสิ่งที่ตัวเองเห็น ไม่ได้ตกใจแม้แต่น้อยที่บุตรชายกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่กับสาวๆ นี่ดีนะที่คาร์ลยังไม่ได้เล่นบทรักบนเตียง แต่กอดจูบเท่านั้น
“นี่พ่อไม่เคาะประตูอีกแล้วนะฮะ” คาร์ลตำหนิบิดาเสียงเข้ม
“ถ้าเคาะแล้วจะรู้เหรอว่าแกทำอะไรอยู่ ออกไปก่อนไป” ผู้เป็นบิดาเอ่ยขึ้นกับสาวๆ พร้อมกับไล่ให้ออกจากห้องพ่อบุตรชาย ซึ่งสาวๆ ก็รีบใส่เสื้อผ้าแล้วออกไปทันทีเช่นกัน
“ทองใบมันมาหาเหรอ” บิดาถามขึ้น ทำเป็นรู้ดี เขาว่าให้บิดาในใจพลางทำหน้าไม่แยแส
“จะมาถามแค่นี้เหรอครับ” คาร์ลเคยคิดว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเป็นบิดาบ้างไหมเนี่ย น้ำเสียงอย่างกับพูดกับลูกน้องตัวเอง
“แกให้ทองใบมันทำอะไร” สงครามระหว่างพ่อกับลูกกำลังจะเริ่มต้นขึ้นสินะ
“ทำงานสิครับคุณพ่อ ถามได้” คาร์ลตอบก่อนจะลุกจากที่นอน ทั้งยังเปลือยกายและเดินไปหยิบบุหรี่บนโต๊ะทำงานขึ้นมาจุดสูบต่อหน้าบิดา
“งานอะไร” บิดาถามเสียงขรึมและไม่สนใจต่อภาพเบื้องหน้า
“งานของผม ไม่ได้เกี่ยวกับของพ่อละกันน่า” คาร์ลพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
“หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องเดือดร้อนใช่ไหม” ที่บิดาพูดอย่างนี้ก็เพราะว่าบุตรชายชอบหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเสมอ
“ผมไม่ใช่เด็กแล้ว ผมก็แค่ให้ทองใบมันไปสืบหาบริษัทออกแบบตกแต่งภายนอกภายใน จะให้เขาไปแต่งบ้านพักที่เกาะให้น่ะครับ” นี่แหละคือเรื่องจริง คาร์ลไม่ได้โกหกบิดา แต่ว่าพูดไม่หมดเท่านั้นเองว่ามันมีมากกว่านั้น
“ให้มันแน่นะ” บิดาบอกอย่างไม่เชื่อใจ
“ครับ” คาร์ลรับคำและทำเสียงฉุนใส่บิดาอีกครั้ง
“พรุ่งนี้พ่อจะไปหาแม่แก” บิดาบอกความจริงแล้วกะจะมาบอกเรื่องนี้ แต่ถามเรื่องงานเสียก่อน
“ฝากความคิดถึงถึงคุณแม่ด้วยละกัน” คาร์ลบอกปัดเหมือนไม่ต้องการจะไปด้วย
“ฉันจะให้แกไปด้วยต่างหาก” บิดาเริ่มทำเสียงเข้มขึ้น
“อย่ามาแกล้งผมนะคุณพ่อ” คาร์ลหันมาดุใส่บิดาเสียงเข้มเช่นกัน
“ฉันแกล้งอะไรแก กับอีแค่ไปบ้านสังสรรค์กันตามประสาพ่อแม่ลูก แค่นี้ให้ไม่ได้เหรอคาร์ล”
“พรุ่งนี้ผมมีงานต้องทำอีกเยอะ” คาร์ลแก้ตัว และทำหน้าตาไม่แยแสคำพูดของบิดา
“ให้คนอื่นทำไปก่อน” นี่บิดากำลังแกล้งเขาอยู่แน่ๆ เลย ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำแบบนี้หรอก
“นี่พ่อแกล้งผมชัดๆ พ่อก็รู้อยู่ว่าทำไม!” คาร์ลเริ่มขึ้นเสียงใส่บิดา
“แกไม่รักแม่แกหรือไง” บิดาก็ไม่ลดละน้ำเสียงเช่นกัน
“แม่น่ะรัก แต่คนอื่นน่ะไม่” คาร์ลว่าพลางเมินหน้าหนี
“พ่อไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้แกไม่อยากเจอหน้าพี่แกเลย”
“อย่าถามได้ไหม ผมไม่ตอบหรอก” อย่าว่าแต่พี่เลยที่ไม่อยากเจอ บิดาคนนี้คาร์ลไม่รู้จะคิดว่าเป็นบิดาหรือเปล่า
“หรือยังไม่เลิกคิดอีกว่าพ่อกับแม่ลำเอียง” ในที่สุดบิดาเขาก็พูดความจริงออกมาจนได้
“ก็ถ้ารักเท่ากัน ผมคงไม่เป็นแบบนี้! คุณพ่อกับคุณแม่คงไม่ต้องแยกกันอยู่ ผมคงไม่ต้องบากหน้าไปหาหมอที่อเมริกาใช่ไหม!” คาร์ลเริ่มควบคุมตัวเองไม่อยู่ เสียงหายใจเริ่มถี่ มือไม้เริ่มสั่น สายตาเริ่มขวางทุกที พร้อมกับกรามที่ขบกันแน่นราวกับกำลังข่มอารมณ์
“คาร์ล” บิดาครางเรียกชื่อเขา เมื่อว่าคาร์ลพูดความจริงที่รู้กันอยู่ว่าบิดามารดารักลูกไม่เท่ากันจริงๆ
“ผมมันไม่ได้แสนดีเหมือนมันนี่ ไม่ได้เป็นที่รักของใครด้วย” จากความเข้มแข็งที่แสดงออกมาเมื่อครู่ ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นความอ่อนแอ ขอบตาเริ่มแดงก่ำเมื่อนึกถึงคนที่เขาเกลียดชัง
“คาร์ลแม่เขาแค่...” บิดากำลังจะแก้ตัวแทน
“แค่รักมันมากกว่าผม!” คาร์ลแทรกขึ้นอย่างรู้ทัน
“ใครบอกลูก แม่รักลูกมาก ยิ่งรู้ว่าลูกไม่สบายแม่ยิ่งเป็นห่วงมากกว่าเดิมนะลูก” เมื่อภูวนัยเริ่มจับอารมณ์บุตรชายถูก เขาก็ปรับเสียงให้อ่อนโยนขึ้น
“ผมไปก็ได้ อยากรู้เหมือนกันว่าสิ่งที่คุณพูดน่ะมันจริงไหม”
“คาร์ล อย่าคิดมากได้ไหมลูก พ่อเลิกคิดไปนานแล้วนะ” ภูวนัยพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ
“นั่นพ่อ! แต่ผมไม่! พ่อก็รู้นี่ว่าผมเป็นใคร”
“ก็รู้ว่าแกเป็นนักเลงไง”
“รู้ก็ดีแล้ว!” คาร์ลตะคอกใส่บิดาอีกครั้งอย่างสุดจะกลั้น พร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินร่วงลงพื้นอย่างห้ามไม่ได้
“ไปอาบน้ำ ใส่เสื้อผ้าแล้วสงบสติอารมณ์ซะ” บิดาบอกน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะหันหลังให้เพื่อจะออกไปจากห้อง
“นี่คุณพ่อหาว่าผมเป็นบ้าอีกแล้วเหรอ” คาร์ลยังคงควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ตาขวาง หายใจหนักขึ้นเรื่อยๆ
“พ่อเคยพูดเหรอ” บิดารีบหันกลับมาพูดทันที
“พ่อไม่เคยพูด แต่พ่อทำ!” คาร์ลขึ้นเสียงอีกครั้ง พร้อมกับน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุด
“พ่อทำอะไร!” บิดาก็ตวาดกลับเช่นกัน และกลายเป็นว่าตอนนี้พ่อกับลูกกำลังทะเลาะกันเสียแล้ว
“ทำอะไรเหรอ แล้วไอ้ที่พาไปหาหมอโรคจิตเขาเรียกอะไร ผมไม่ได้โง่นะ!”
“ไปอาบน้ำซะคาร์ล” บิดาออกปากไล่อีกครั้ง
“อย่ามาไล่ผมไปอาบน้ำ!” คราวนี้คาร์ลตะคอกใส่บิดาเสียงดังลั่นห้อง อธิบายไม่ได้เช่นกันว่าทำไมน้ำตาเขาถึงไหลทั้งที่ไม่ได้ร้องไห้ แต่สั่นไปทั้งตัว
“ไปอาบน้ำไปคาร์ล ไปพ่อจะอาบให้” บิดาบอกพลางเดินเข้าไปใกล้ๆ
“ไม่ต้องเลย คุณพ่อไม่ต้องมาเข้าใกล้ผม คุณพ่อออกไปเลย” คาร์ลออกปากไล่บิดาอีกครั้ง ภูวนัยจึงถอนหายใจแล้วรีบออกไปทันที เพราะอารมณ์ของคาร์ลไม่เย็นลง อยู่ต่อก็คงไม่มีประโยชน์
จากนั้นคาร์ลจึงอยู่คนเดียวภายในห้องเช่นเดิม ภูวนัยน่าจะรู้ว่าบุตรของเขามันเป็นคนร้ายกาจ ใจดำ หัวใจทำด้วยอะไรก็ไม่รู้ ใจคอโหดร้ายเหมือนกับคนบ้า เก็บอารมณ์ไม่ได้ หรือไม่ก็เอาแต่เก็บอารมณ์แค้นเอาไว้มากมาย เวลาระเบิดแล้วควบคุมตัวเองไม่อยู่ ไม่ยอมแสดงออกยกเว้นแต่กับบิดา แต่สิ่งที่คาร์ลแสดงออกมาภายนอกคือบุคลิกที่วางเฉย น่ากลัว สายตาอำมหิต จนทุกคนไม่กล้ามองหน้าและน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก ฟังดูแล้วราวกับซาตาน