เจตน์กลับมาบ้านในตอนเช้าเพื่อจะเข้าสวนปาล์ม วันนี้ที่สวนมีตัดปาล์มเลยจะมาดูคนงาน แม้ไอ้เขียวจะทำหน้าที่คุมคนงานแทน แต่เขาก็ไม่ไว้วางใจจึงกลับมาดูแลเอง แต่อาบน้ำเปลี่ยนชุดยังไม่ทันได้ออกไปสวน แม่ของเขาก็เรียกจึงต้องเดินเข้าไปหาท่านที่ห้องนั่งเล่น
“ลูกกำลังทำอะไรอยู่เจตน์?” แหวนถามลูกชายที่หย่อนก้นนั่งไม่ทันร้อน
“นั่นสิ ไอ้เขียวบอกว่าหนูพร้อมความจำเสื่อมงั้นเรอะเจตน์?” นายหัวจักษ์ถามลูกชายต่อ
“ผมรับปากนายหัวพลว่าจะดูแลลูกสาวของท่าน ผมจึงต้องดูแล ตอนนี้ความจำเสื่อมชั่วคราวครับพ่อ หมอบอกไม่นาน อาจจะสามเดือนหรือแค่หนึ่งเดือนเท่านั้นครับ” เจตน์บอกตอบท่านทั้งสอง
“แล้วทำไมต้องบอกว่าหนูพร้อมเป็น ‘เมีย’ เราด้วยล่ะตาเจตน์” แหวนไม่เข้าใจตรงนี้ ทำไมลูกชายถึงบอกหญิงสาวไปแบบนั้น
“ไอ้เขียวปากไม่มีหูรูด!”
“ไม่ต้องไปโทษมัน แม่ถามไอ้เขียวเอง”
“นั่นสิ พ่อเองก็ไม่เข้าใจ เรากับหนูพร้อมแทบจะไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ ถึงน้องจะความจำเสื่อม แต่เรา…” พ่อยังพูดไม่จบ เจตน์ก็พูดแทรก
“ผมก็ไม่ได้ตั้งใจ แต่ทำยังไงได้ มันหลุดปากพูดไปแล้วจะแก้ก็ไม่ทัน อีกอย่างเธอคิดว่าตัวเองเป็น ‘ลูก’ ของผม ผมไม่ได้แก่ขนาดนั้นสักหน่อย จะเป็นพ่อได้ยังไง ที่เป็นได้ก็เป็น ‘ผัว’ เท่านั้น” เขาเอ่ยตอบพ่อกับแม่ด้วยอารมณ์หงุดหงิดเมื่อนึกถึงคำว่า ‘ลูก’
ฮ่าๆ
คำพูดของลูกชายทำให้นายหัวจักษ์กับภรรยาพากันพร้อมใจกันหัวเราะขำลูกชาย ก็ลูกชายของเขากับพร้อมอายุห่างกันไม่น้อย ไม่แปลกที่คนความจำเสื่อมจะเข้าใจแบบนั้น
“ผมแก่ขนาดนั้นเลยเหรอครับแม่ พ่อ” เจตน์ถามเมื่อเห็นท่านทั้งสองหัวเราะดัง
“เมื่อเทียบกับหนูพร้อมก็แก่นะตาเจตน์” แหวนเอ่ย
“ขนาดนั้นเหรอครับ ผมเป็นพ่อเธอได้เหรอครับ ผมส่องกระจกก็ไม่ได้แก่สักหน่อย”
“หึ! ไม่แก่ก็ไม่แก่ ว่าแต่ลูกโกหกไปแบบนั้นแล้วลูกคงไม่ปลุกปล้ำหนูพร้อมเป็นเมียจริงหรอกใช่ไหม?” นายหัวจักษ์ถามลูกชาย
“นั่นสิลูก ลูกคงไม่ปล้ำหนูพร้อมหรอกใช่ไหม หนูพร้อมไม่ใช่ผู้หญิงที่ลูกไปนอนด้วยข้างนอกนะตาเจตน์”
“เถอะน่า…ยังไงซะ ตอนนี้เธอก็เข้าใจและเชื่อไปแล้วว่าเป็น ‘เมีย’ ผม ได้เสียกันไม่เป็นไรหรอก ยุคสมัยนี้ใครเขาสนเรื่องแบบนี้กันครับ มีความสุขด้วยกันสองฝ่ายก็พอ”
“ไม่ได้นะตาเจตน์ นายหัวพลเขาอุตส่าห์ไว้ใจลูก ฝากลูกสาวคนเดียวของเขาไว้กับลูก ลูกไม่ควรเอาเปรียบน้องแบบนี้” แหวนเอ่ย
“ก็เด็กนั่นสวยน้อยซะที่ไหนล่ะ คนหื่นบ้าเซ็กซ์อย่างลูกชายแม่จะอดทนไหวได้ไง ผมไปนะครับ ไปดูคนงานตัดปาล์มแล้วจะเข้าไปดูบริษัทยางพาราของนายหัวพลต่อ ช่วงนี้งานเยอะมาก ตั้งแต่นายหัวพลจากไป ญาติพี่น้องที่ก่อนหน้านี้ไม่มีอยู่ๆ ก็โผล่มาแสดงตัวอยากบริหารบริษัท” แล้วเจตน์ก็ลุกขึ้นยกมือไหว้พ่อกับแม่แล้วเดินออกไป
เฮ้อ!
“ไม่รอดแน่หนูพร้อม” นายหัวจักษ์พึมพำกับภรรยาเมื่อลูกชายหื่นกามเดินไปพ้นห้องนั่งเล่น
“ถึงเวลาที่ตาเจตน์ของเราจะเป็นฝั่งเป็นฝาแล้วแหละพ่อ” คนเป็นภรรยาเอ่ยบอกตอบสามีเมื่อสามีพึมพำ
“พ่อก็ว่างั้นแหละแม่ ถึงเวลาที่มันจะเป็นฝั่งเป็นฝาสักที อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว”
“วันนี้แม่สอนงานกลุ่มแม่บ้านทำขนมไหม?”
“วันนี้ให้แม่เอียดไปแล้วพ่อ แม่ว่าจะอยู่บ้านพักผ่อนสักวันน่ะ”
“พักผ่อนมั่งแม่น่ะ ไปทุกวันพ่อล่ะเป็นห่วง กลัวแม่จะล้มป่วยเอา”
“พ่อก็ห่วงแม่มากเกินไป แม่แข็งแรงขนาดนี้ ไม่ล้มป่วยก่อนจะได้อุ้มหลานหรอก ว่าแต่พ่อเถอะ วันนี้ไม่ไปออกเรือกับเพื่อนเรอะ”
“พ่อก็เหมือนกัน จะพักอยู่บ้านเป็นเพื่อนแม่”
“เดี๋ยววันนี้แม่ทำฝอยทองให้พ่อกินดีไหม”
“อะไรที่แม่ทำดีหมดนั่นแหละ พ่อจะช่วยแม่ทำเอง แม่จะได้ไม่เหนื่อยคนเดียว”
“งั้นเราก็ไปครัวกันเถอะ ไปดูในครัวว่ามีอะไรมั่ง ขาดเหลืออะไร แม่จะให้เด็กไปซื้อมาให้” แล้วนางก็ลุกขึ้น ส่วนสามีก็ลุกขึ้นเดินตามโอบเอวกลมๆ ของภรรยาเดินเคียงคู่กันไปยังห้องครัว
มีไอ้เขียวคุมคนงานตัดปาล์ม เขาจึงไม่ห่วงเท่าไหร่ แวะที่สวนไม่ถึงชั่วโมงก็มาจัดการเคลียร์งานเอกสารที่บริษัทยางพาราของนายหัวพลต่อ แต่มาถึงไม่นาน พนักงานก็มาบอกว่าญาติของนายหัวพลมาขอพบที่ห้องรับรอง เขาจึงมาพบทุกคน
“ผมว่าพวกคุณไม่มีสิทธิ์มาเรียกร้องที่นี่นะ ที่นี่เป็นของผมไม่ใช่ของนายหัวพลแล้ว” นายหัวหนุ่มเอ่ยบอกทุกคน
“ทำไมจะไม่ใช่ของพี่ชายเรา”
“มันจะใช่ ถ้านายหัวพลยอมใช้หนี้ผม หรือพวกคุณจะใช้หนี้แทนเขาล่ะครับ จ่ายผมมาสิ ห้าสิบล้านเงินต้น ส่วนดอกเบี้ยก็คูณเจ็ดเปอร์เซ็นต์” เจตน์เอ่ยตอบกลับเสียงแข็งห้วน
“พวกฉันจะฟ้องแก!”
“ฟ้องเลยครับ ผมมีเอกสารทุกอย่างถูกต้องที่นายหัวพลเซ็น เขายกมันให้ผมหากว่าใช้หนี้ไม่ได้และเขาก็นำมาค้ำประกันกับผม”
“แกมัน...” ได้แต่ชี้มือสั่น ไม่มีคำจะพูดต่อ
“หึหึ...ผมคิดว่านายหัวพลไม่มีญาติพี่น้องเสียอีก เพราะตอนตายก็เป็นผมจัดงานศพจัดการทุกอย่างให้ ส่วนพร้อมผมก็ดูแล จนตอนนี้ก็ยังอยู่โรงพยาบาล พวกคุณเคยคิดจะไปเยี่ยมหลานสาวคุณบ้างไหม คงไม่สินะ คงหวังแต่อยากได้สมบัติเขา ฝันไปเถอะ! ทุกอย่างมันไม่ใช่ของพวกคุณ และถ้าผมจะคืนให้ก็จะคืนให้ลูกสาวนายหัวพลเท่านั้น ไสหัวออกไปจากบริษัทซะ! อย่ามาที่นี่อีก ถ้ามาเรียกร้องและก่อความวุ่นวายอีก ผมจะแจ้งตำรวจ” แล้วนายหัวหนุ่มก็เดินออกไปจากห้องรับรอง ไม่สนใจญาติๆ ของนายหัวพลที่จากไป
“เราจะทำยังไงดีพี่” สองพี่น้องหันมาคุยกันเมื่อจัดการกับนายหัวเจตน์ไม่ได้
“เราต้องให้ยัยพร้อมช่วย”
“ยัยพร้อมน่ะเหรอคะ พี่ก็รู้ว่ายัยพร้อมไม่ชอบเราสองคนพี่น้อง”
“แต่ตอนนี้มันเหลือแค่เราสองคนที่เป็นครอบครัว ไม่ชอบยังไงก็ต้องชอบ ไปหามันที่โรงพยาบาลกัน” สองพี่น้องพูดจบก็พากันออกจากห้องรับรองไปทันที
คุณอาทั้งสองของพร้อมมาถึงโรงพยาบาลก็เปิดผลักประตูห้องเข้ามา คนที่นอนอยู่บนเตียงดูโทรทัศน์อยู่ก็หันไปมองคนแปลกหน้าทั้งสองที่โผล่เข้ามาในห้องของตัวเอง พร้อมมองสำรวจทั้งสองตั้งแต่หัวจดเท้าก็ยิ้มให้ทั้งสอง
วิภากับวันดี สองพี่น้องเห็นหลานสาวยิ้มให้ก็ยิ้มให้ตอบแล้วเดินเข้าไปหา
“อาวิกับอาวันมาเยี่ยม เป็นยังไงมั่งยัยพร้อม” เป็นวิภาคนเป็นพี่สาวเอ่ย
“นั่นสิยัยพร้อม เป็นยังไงมั่ง ดีขึ้นแล้วใช่ไหม” วันดีเอ่ยตามอีก
คนความจำเสื่อมได้แต่มองหน้าคนทั้งสองสลับกันไปมาอย่างระแวดระวัง กลัวว่าทั้งสองจะมาทำไม่ดีกับตน
“คุณสองคนเป็นใครคะ?”
คำพูดของพร้อมทำให้อาทั้งสองของเธอขบกรามแน่น
“ถึงแกจะเกลียดฉันสองคน แกก็ไม่ควรทำเป็นจำเราสองคนไม่ได้แบบนี้ยัยพร้อม” วันดีเอ่ย
“นั่นสิยัยพร้อม แกจะตัดขาดกับพวกฉันสองคนเหรอ ถึงแกล้งทำเป็นจำไม่ได้” วิภาเอ่ยบ้าง
“ฉันไม่รู้จักคุณสองคนจริงๆ ค่ะ ฉันจำพวกคุณไม่ได้” พร้อมมองหน้าทั้งสองแล้วก็พยายามนึกคิดแล้วก็ยกมือขึ้นกุมหัวเมื่อรู้สึกปวดหัวจนจะระเบิดอีกครั้ง
“โอ๊ย! ปวดหัว ออกไป! ออกไปจากห้องฉัน!” พร้อมไล่ทั้งสองออกไปจากห้องพักของตัวเองพร้อมกับหยิบหมอนปาใส่ทั้งสอง
“ยัยพร้อม เนี่ยอาเอง อาวันกับอาวิ น้องสาวพ่อแกเอง” ทั้งสองยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายความจำเสื่อมจึงดึงดันจะอยู่และเดินเข้าไปจับมือทั้งสองที่กุมหัวของพร้อมออกแล้วให้หญิงสาวมองจ้องหน้าตนทั้งสองอีกครั้ง
“ฉันไม่รู้จักพวกคุณ ออกไป! ออกไปให้พ้น!” สาวอวบไล่คุณอาทั้งสองด้วยความหวาดกลัวทั้งสอง
“พี่วิ วันว่าเรากลับกันก่อนดีกว่าค่ะ เหมือนว่ายัยพร้อมจะจำเราสองคนไม่ได้ เป็นไปได้ไหมว่ามันจะความจำเสื่อม” วันดีจับแขนพี่สาวแล้วดึงรั้งออกห่างหลานสาว
“พี่ก็ว่าแบบนั้น แต่แบบนี้ดีเสียอีกที่มันจำอะไรไม่ได้ เราจะได้หลอกใช้มันได้” วิภาเอ่ยกับน้องสาว
“เรากลับกันก่อนไหมคะ” วันดีชวนพี่สาว
“ไม่! เราจะอยู่ที่นี่ ดูแลมัน อย่าลืมสิ มันเป็นทายาทคนเดียวของพี่พล” วิภาเอ่ย
“ก็จริงของพี่ เดี๋ยวฉันไปตามหมอ พยาบาลก่อนนะคะว่ามันปวดหัว พี่อยู่กับมันในห้องนะคะ” วันดีบอกพี่สาว
“อือ...พี่จัดการเองทางนี้” วิภาเอ่ย
วันดีออกไปจากห้องแล้ว วิภาก็เดินเข้าไปหาหลานสาวที่กำลังกุมขมับทรมานกับอาการปวดหัวของตน
“ยะ...อย่าเข้ามาใกล้ฉัน ออกไป!” พร้อมขยับหนีไม่ยอมให้อีกฝ่ายแตะต้องตัวเอง
“เนี่ยอาเองยัยพร้อม อาวิของแกไงล่ะ จำไม่ได้แล้วรึ” นางพยายามเอ่ยอย่างใจเย็นเมื่อพอจะรู้แล้วว่าหลานสาวความจำเสื่อม
“นายหัวไม่ได้บอกว่ามีอา ฉันต้องการเจอนายหัว” พร้อมไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายเป็นญาติของตนเอง ตั้งแต่อยู่ที่นี่จนตอนนี้ก็มีแค่นายหัวเจตน์เท่านั้นอยู่กับตน อยู่ดีๆ ผู้หญิงแปลกหน้าสองคนก็มาแสดงตัวว่าเป็นญาติของตน
แอค!
ประตูห้องเปิดออกพร้อมหมอและพยาบาลเข้ามาพร้อมกับวันดี
“พวกคุณทำให้ผู้ป่วยตกใจ เชิญออกไปก่อนครับ” คุณหมอเอ่ยบอกทั้งสอง
“คุณพยาบาลโทรหานายหัวเจตน์รึยัง” แล้วก็ถามพยาบาล
“ก่อนเข้ามาดิฉันให้พยาบาลอีกคนติดต่อหานายหัวเจตน์แล้วค่ะ” พยาบาลตอบ
“ออกไปก่อนครับ เชิญ!” คุณหมอเอ่ยไล่ทั้งสองอีกครั้ง
“คะ...ค่ะ” แล้วสองพี่น้องก็พากันออกไปรอหน้าประตูห้อง
ตอนนี้ในห้องเหลือแต่หมอกับพยาบาลสองคนที่ตามมากับพร้อมที่นั่งกุมหัวปวดหัวอยู่บนเตียง
“ผ่อนคลายนะครับคุณพร้อม ผ่อนคลาย เดี๋ยวนายหัวก็มาแล้วครับ ไม่ต้องคิดมากนะครับ ใครพูดอะไรก่อนหน้าไม่ต้องเก็บมาคิดมาใส่ใจนะครับ” คุณหมอเอ่ยพร้อมกับดึงมือทั้งสองที่กุมหัวของหญิงสาวออก
พร้อมทำตามคำพูดของหมอ
“หายใจเข้าออกลึกๆ นะครับ นั่นแหละครับ ทำดีมากครับ คุณพร้อมทำดีมากครับ”
สาวอวบทำตามคำพูดของคุณหมอทุกอย่างแล้วเธอก็ล้มตัวลงนอน
“คุณพยาบาลฝากดูแลคุณพร้อมรอนายหัวเจตน์ด้วยนะครับ”
“ค่ะ คุณหมอ” พยาบาลรับคำ
“พักผ่อนนะครับ” คุณหมอบอกหญิงสาวบนเตียงแล้วเธอก็พยักหน้าดึงผ้าห่มคลุมตัวเองแล้วหลับตา
คุณหมอออกไปจากห้องพร้อมพยาบาลหนึ่งคน อีกหนึ่งคนอยู่ดูแลพร้อมในห้องตามคำสั่ง