4
สหายคลายเหงา
หลังจากเด็กหญิงร่างเล็กถูกพี่คนรองดุในคืนเทศกาลระบำวิหคในครานั้น เหอซิงก็เข็ดหลาบจนไม่กล้าก้าวออกจากห้องพักในจวนท่านเจ้ากรมการคลังกว่าสามวันสามคืน
แม้วันต่อมาพี่ชายทั้งสองของนางจะอธิบายให้ฟังว่าพวกเขาทำเช่นนั้นเพราะความจำเป็น ถึงจะโกรธจริงๆ แต่สาเหตุสำคัญคือเขาไม่ต้องการให้ทหารในจวนนี้ไม่ชอบขี้หน้านางในภายหลัง พวกเขาชิงว่านางต่อหน้าผู้คนเพื่อเปลี่ยนความไม่พอใจให้เป็นความสงสารแทน
และเมื่อเรื่องที่เหอฟงดุนางไปถึงหูของท่านเจ้ากรมการคลัง ชายสูงวัยก็ไม่ว่าอะไรอีก นอกเสียจากถามว่านางหายไปไหนมา ทั้งยังพูดให้ฟังว่าจางโม่เป็นห่วงนางจนร้องไห้แล้วหลับไปทั้งน้ำตา แต่จางจื่อหมิงก็สั่งห้ามอย่างเด็ดขาดมิให้ออกไปตามหา
ครั้นเหอซิงได้ฟังจึงเลือกที่จะตอบว่าตนอยากดูการร่ายรำชัดๆ จึงเดินเข้าไปใกล้เวที นึกไม่ถึงว่าจะพลัดหลง แม้ใต้เท้าจางจะมีความเคลือบแคลงสงสัยอยู่ในดวงตา แต่ก็ต้องเก็บคำพูดที่เหลือเอาไว้ในใจ เมื่อเด็กหญิงเอ่ยขอโทษเขาอย่างสำนึกผิดที่ทำให้เขาและจวนแห่งนี้ต้องเดือดร้อน
เด็กหญิงนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนั่งอยู่บนตั่งริมหน้าต่าง มองดูเม็ดฝนที่โปรยปรายลงมา สาวใช้ทั้งสองต่างก็มีงานประจำให้ทำจึงไม่มีใครมากวนใจ
เมื่อเช้าจางโม่แวะมาหานางด้วยเสื้อผ้าชุดเดียวกันไม่ต่างจากวันก่อนๆ พอเห็นเข้าบ่อยครั้งนางเองก็เริ่มชิน นางบอกว่าอยากพานางออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกแต่ติดตรงที่วันนี้นางมีเรียนพิณที่นอกจวน จึงไม่สามารถทำได้ดั่งใจนึก
อีกสักพักต่อมาเหอลั่วก็มาชวนนางออกไปส่งจดหมายกับเหอฟง แต่นางบอกปฏิเสธพวกเขา
หากอยากแสดงให้คนในจวนเห็นว่านางรู้สึกผิดจริงๆ ก็ควรจะอยู่แต่ในจวนต่ออีกสักวันสองวันเพื่อความแนบเนียนและน่าเชื่อถือ
แต่ไม่ใช่ว่านางจะอดข้าวอดน้ำขังตัวเองอยู่แต่ในห้องดั่งที่เคยเห็นในละครหรอกนะ เหอซิงยังคงกินอาหารอยู่เช่นเดิม เพียงแต่ไม่ได้ออกไปกินร่วมกับพวกเขาที่ด้านนอก ทุกมื้อจะมีคนยกสำรับอาหารมาให้นางที่ห้องตามคำสั่งของฮูหยินสาม
เด็กหญิงยื่นมือเล็กๆ ออกไปสัมผัสเม็ดฝนเย็นที่โปรยลงมา บนโลกนี้สายฝนให้ความรู้สึกแตกต่างจากโลกเดิมโดยสิ้นเชิง มันไร้ซึ่งมลพิษที่เกิดจากควันของรถและโรงงาน เม็ดฝนจึงได้สะอาดบริสุทธิ์จนผู้คนสามารถนำมากินได้โดยไม่ต้องผ่านขบวนการอื่นๆ อีก
นางอยู่ที่นี่ก็หลายวันแล้ว ทว่าก็ยังเดาเจตนารมณ์ของใต้เท้าจางไม่ออก ครั้นจะให้คิดว่าเขาอาจเป็นเพียงผู้ใหญ่ใจดีที่เอ็นดูนาง ก็ราวกับมีหนามแหลมๆ มาจิ้มอกอยู่ตลอดเวลา รู้สึกตะขิดตะขวงใจยิ่งนัก
ครุ่นคิดมาเนิ่นนานก็ยังไม่ได้คำตอบที่พอใจ ร่างเล็กจึงเลือกที่จะหยุดคิด ดวงตากลมโตที่มองความชุ่มฉ่ำที่ตกลงมาก็เริ่มเคลิ้ม เท้าแขนลงบนขอบหน้าต่างโดยเอามือข้างหนึ่งเท้าคางไว้ เปลือกตาหนักอึ้งเตรียมจะงีบหลับเสียหน่อย
บ่ายนี้ช่างสงบสุขยิ่งนัก...
ในระหว่างที่กึ่งหลับกึ่งตื่นนั่นเอง กลิ่นหอมประหลาดก็โชยมากับสายลม ผสมกับกลิ่นชื้นๆ ของดินในยามที่ฝนโปรยปราย ซึ่งเข้ากันได้ดีอย่างน่าประหลาด เหอซิงสูดกลิ่นหอมหวานนั่นอย่างเคลิบเคลิ้ม ขณะที่ความอุ่นนุ่มครอบคลุมไปทั่วร่างเล็กโดยที่เด็กหญิงไม่รู้ตัว
ครั้นได้สตินางก็ลืมตาตื่นขึ้นมาทันควัน สิ่งแรกที่เห็นคือพวงหางสีขาวบริสุทธิ์ที่ห่อหุ้มอยู่รอบกาย ส่งผลให้ผู้มองจ้องตาปริบๆ แล้วพยายามจะแกะมันออก นึกไม่ถึงว่าหางที่รัดนางเอาไว้หลวมๆ กลับมีเรี่ยวแรงมหาศาล มันเกี่ยวพันนางเอาไว้ไม่ยอมปล่อยราวกับคีมเหล็กก็ไม่ปาน!
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถดิ้นหลุดจากพันธนาการประหลาดนี้ได้ นางจึงค่อยๆ ไล่สายตาจากปลายหางเรื่อยไปยังขาเรียวซึ่งมีผ้าพันแผลพันทับไว้ คิ้วเรียวค่อยๆ ขมวดเมื่อพบว่าร่างนี้ยังมีขาอีกสามขาจนกระทั่งไปหยุดลงที่ดวงตาเรียวสวยของจิ้งจอกหิมะที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี เนื่องจากนางเคยเล่นจ้องตากับเจ้าสัตว์ตัวนี้มาก่อน
มันไม่เพียงแค่มองตอบ แต่กลับตวัดลิ้นอุ่นชื้นเข้าที่พวงแก้ม ความดุร้ายที่เคยมีก่อนหน้านี้หายไปจนหมดสิ้น ทั้งยังให้ความสนิทสนมแก่นางอีกด้วย!
“เจ้าคือจิ้งจอกตัวนั้น” เสียงเล็กกล่าว อีกฝ่ายเห็นว่านางจำมันได้ก็ยอมปล่อยหางที่รัดร่างเล็ก จากเดิมที่ร่างสีขาวสะอาดนั่งอยู่บนพื้นก็กระโดดขึ้นมานั่งบนตั่งเดียวกัน ดวงตาสีเงินไร้ซึ่งความหวาดระแวงและดุร้าย
เหอซิงจ้องมองแววตาใคร่รู้ของมันแล้วพบว่ามันมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด ดวงตากระจ่างใสเหมือนกำลังดึงดูดนางให้ต้องมนตร์สะกด เด็กหญิงรีบเบือนสายตาหนีโดยพลัน สูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อตั้งสติ หากไม่ระวังให้ดีคนรักสัตว์อย่างนางอาจจะเผลอเข้าไปกอดมันได้โดยไม่รู้ตัว
“เจ้าเข้ามาได้อย่างไรกัน”
นางถามทั้งที่รู้ว่าคงไม่ได้คำตอบ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อจิ้งจอกหิมะเอียงคอเล็กน้อยเหมือนกำลังคิดตาม ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองขาที่บาดเจ็บของตนแล้วช้อนตามองนางอีกครา
เหอซิงเดาว่ามันอาจจะสะกดรอยตามกลิ่นของนางมาอย่างที่สัตว์ทั่วไปชอบทำ แต่มันจะเป็นไปได้หรือ ในเมื่อระยะทางก็ไกลพอสมควร
“ที่มาเพราะอยากให้เปลี่ยนผ้าพันแผลให้สินะ รอตรงนี้ก่อน” นางรู้สึกว่าคิดมากไปก็เหนื่อยเปล่า จึงกระโดดลงจากตั่งแล้วเดินเข้าไปในส่วนของห้องนอนเพื่อไปหยิบกล่องยา มีจิ้งจอกหิมะมาเยี่ยมเยียนเช่นนี้ก็ช่วยคลายความเบื่อหน่ายให้นางได้ไม่น้อย
นึกไม่ถึงว่าพอหันกลับมา นางก็พบกับร่างใหญ่โตของเพื่อนคลายเบื่อซึ่งไม่ฟังที่นางสั่งเลยแม้แต่น้อย มันกวาดตาดูรอบๆ ห้องนอนก่อนเลือกที่จะกระโดดขึ้นไปบนเตียงอย่างถือวิสาสะ
“ใครใช้ให้เจ้าขึ้นไปนอนบนเตียงของข้า ลงมาซะ” เด็กหญิงกดเสียงเล็กของตนให้เข้มขึ้น หวังสักนิดว่ามันจะฟังนางขึ้นมาบ้าง ดวงตาคู่สวยจ้องนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกระโดดลงมาจากเตียง ทว่ากลับเบาใจได้ไม่นานเมื่อมันกระโดดลงมาแล้วตรงเข้ามาคาบคอเสื้อ พร้อมกับพานางไปนั่งที่เตียงด้วยกัน!
‘เจริญละ! เจ้าจิ้งจอกตัวนี้!!’
เด็กน้อยก่นด่ามันอยู่ในใจขณะที่จ้องมองมันอย่างอาฆาต แต่นางหาได้ใจร้ายพอที่จะมองข้ามแผลของมันไม่ เหอซิงถอนหายใจช้าๆ ป่วยการที่จะคุยกับสัตว์ จึงทิ้งตัวลงข้างร่างปุกปุย ค่อยๆ แกะผ้าที่พันขาของมันออก ครั้นลอกสมุนไพรที่แห้งกรังออกจากปากแผลก็พบว่ามันใกล้หายดีแล้ว
“เปลี่ยนยาครั้งนี้เสร็จ รออีกวันสองวันเจ้าก็จะหายดี” เสียงเล็กของนางดังในจังหวะเดียวกับมือเล็กที่จัดการโปะยาสมุนไพรสดใหม่ให้ จากนั้นนำเอาผ้าพันแผลผืนใหม่มาพันทับ
“เจ้าเหงาหรือไม่” เสียงทุ้มไพเราะดังทำลายความเงียบขึ้นมา ส่งผลให้คนที่กำลังง่วนอยู่กับการพันแผลอยู่ตอบไปอย่างเคยชิน
“ก็ไม่นะ”
ทว่าในวินาทีถัดมา ร่างเล็กก็ถึงกับสะดุ้งโหยงพร้อมร้องอุทาน “เอ๋!”
มือที่กำลังพันแผลอยู่ชะงัก ขณะที่เจ้าตัวเริ่มหันซ้ายแลขวา พบว่าไม่มีใครเข้ามาในห้องแต่อย่างใด เหอซิงคิดว่าตนเองอาจจะหูฝาดไป จึงลงมือพันแผลต่อจนกระทั่งเสร็จสมบูรณ์
“เจ้ามือเบาเช่นนี้ กลัวข้าเจ็บหรือ”
ครานี้กลับชัดเจนราวกับดังอยู่ข้างหู ใบหน้าน่ารักเงยหน้าขึ้นทันควัน พบว่าจิ้งจอกตัวใหญ่ก็กำลังจ้องมองมาที่นางโดยไม่ละสายตา
“เจ้า...เจ้าพะ...พูดได้” ผู้ถามแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่พูดออกไปด้วยซ้ำ เทพบนสะพานแห่งดวงดาวนางก็เคยเจอมาแล้ว แต่เรื่องจิ้งจอกพูดได้นี่เป็นเรื่องที่เกินความคาดฝันไปมาก!
ผู้ถูกถามกลับคลี่ยิ้มจนเห็นเขี้ยวแหลมคมกลายเป็นภาพที่ชวนขนหัวลุกเป็นอย่างมาก ขนในกายของเหอซิงพากันตั้งชันเมื่อปากของมันอ้าออก เสียงนุ่มทุ้มนิ่มนวลดังลอดออกมา
“มิใช่แค่เพียงพูดได้”
มันกล่าวจบก็สะบัดพวงหางท่ามกลางความตกตะลึงของนาง
เพียงพริบตาเดียวพวงหางเพียงหนึ่งก็พลันแยกออกจากกัน จากหนึ่งเป็นสาม เป็นห้า...เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นเก้าหาง! ทว่าเรื่องที่น่าตกใจยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เมื่อแสงสีขาวนวลเปล่งปลั่งออกมาจากขนสีขาว ประกายแสงที่เจิดจ้าขึ้นทำให้นางซึ่งอยู่ในระยะใกล้จำต้องยกมือขึ้นปิดตาแล้วหลับตาแน่น