รู้สึกตัวอีกคราก็ตอนที่มือเล็กถูกทาบทับด้วยฝ่ามือใหญ่อบอุ่น ซึ่งบรรจงแกะมือของนางออกอย่างนุ่มนวล เหอซิงทำใจอยู่นานกว่าจะลืมตาขึ้น ภายในเวลาไล่เลี่ยกันนางกลับเบิกตากว้างเป็นครั้งที่สอง เมื่อพบว่าด้านหน้าคือใบหน้าของเทพบุตรซึ่งอยู่ใกล้แค่เอื้อม!
ดวงหน้างดงามทว่าคมเข้มอย่างบุรุษโตเต็มวัยถูกล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีเงินยาวดั่งแพรไหม จมูกโด่งสวยรับกับริมฝีปากบางเหมือนถูกประติมากรมือหนึ่งปั้นแต่ง ผิวสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ราวกับหิมะ ที่สำคัญคือดวงตาสีเงินสวยทว่ากลับมีม่านตาที่หรี่เล็กผิดไปจากมนุษย์ทั่วไป
คำพูดที่เตรียมไว้จางหายไปกับธาตุอากาศ เหอซิงได้แต่อ้าปากค้าง นี่สวรรค์กำลังล้อนางเล่นใช่หรือไม่ เบื้องหน้านางคือจิ้งจอกที่กลายร่างเป็นคน!
“จะ...เจ้า!” ในที่สุดนางก็หาเสียงของตนเจอ ยิ่งเมื่อได้เหลือบมองไปเห็นมือซ้ายของอีกฝ่ายซึ่งมีผ้าพันแผลที่พันให้เองกับมือ ก็ยิ่งตอกย้ำความจริงมากยิ่งขึ้น
เด็กหญิงนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ก่อนหน้านี้นางถูกจิ้งจอกตัวนี้เลียแก้ม แท้จริงแล้วเขาก็มีร่างกายเช่นนี้...คิดไปคิดมา ผู้ที่ถูกเอาเปรียบทั้งๆ ที่ตนอยู่ในร่างเด็กก็โมโหทันควัน
‘หน็อย! เอาเปรียบแม้กระทั่งเด็ก! เจ้าจิ้งจอกสมควรตาย!!’
“ข้าทำไมหรือ” บุรุษผู้มีใบหน้างดงามเอ่ยถามอย่างไม่ทุกข์ร้อน ทว่าดวงตากลับพราวระยิบ “ข้ารู้ว่าตนเองรูปงามมาก เจ้าไม่จำเป็นต้องชมข้าหรอก ซิงเอ๋อร์ของข้า” พูดพลางเตรียมจะดึงตัวนางเข้าไปในอ้อมกอด แต่นางขืนตัวเอาไว้ทันพลางถลึงตามองเขาอย่างเดือดดาล
“ของเจ้าหรือหึ! เจ้าปีศาจจิ้งจอก ใครเป็นซิงเอ๋อร์ของเจ้ากัน!”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นปีศาจ”
เหอซิงจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่ละสายตา นางเคยเจอเทพมาก่อน ถึงท่านเทพจะชอบแกล้งนางอยู่บ้าง แต่เขาก็มีกลิ่นที่สะอาดบริสุทธิ์และน่าเลื่อมใส ผิดจากจิ้งจอกตัวนี้ที่มีความงดงามน่าหลงใหลเป็นอาวุธ ทั้งกลิ่นตัวและรูปลักษณ์คงมีไว้ล่อลวงมนุษย์โดยเฉพาะ!
“ไยจึงต้องบอกเจ้า! แล้วเหตุใดเจ้าจึงรู้จักชื่อของข้า”
“หากเจ้าไม่บอก ข้าก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องบอกเจ้าเช่นกัน” น้ำเสียงยั่วเย้าในขณะที่ร่างสูงโปร่งเริ่มบิดขี้เกียจ “นั่งคุยกันบนเตียงเล็กๆ เช่นนี้อึดอัดแย่ ใจจริงอยากจะนอนคุยกับเจ้าด้วยซ้ำ เฮ้อ...แต่น่าเสียดาย” ดวงตาสีเงินไล่มองร่างเล็กตั้งแต่ศีรษะจดเท้า คลื่นอารมณ์หนึ่งวาดผ่านดวงตาก่อนจะเก็บสายตากลับ พร้อมกับเอ่ยเสียงแผ่วเหมือนรำพึงรำพันกับตนเอง “ซิงเอ๋อร์ยังเด็กเกินไป”
คนฟังทราบความนัยจากประโยคของอีกฝ่ายก็โกรธจัดจนเลือดขึ้นหน้า รวบรวมลมปราณไว้ที่ฝ่ามือหมายจะซัดเข้าใส่อกของปีศาจจิ้งจอก แต่อีกฝ่ายกลับไวกว่ารีบกระโดดออกจากเตียง ชุดสีขาวที่สวมใส่พลิ้วไหวดั่งสายลม เสียงหัวเราะดั่งระฆังแก้วดังขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“ข้าชื่อหรงเสี่ย ไว้ข้าจะมาเยี่ยมเจ้าใหม่ ซิงเอ๋อร์ของข้า”
นางอ้าปากเตรียมจะตะโกนว่า ‘ไม่ต้องมา’ ทว่าเจ้าปีศาจจิ้งจอกเก้าหางกลับทำอะไรตามใจอีกเช่นเคย เขาหมุนกายทวนเข็มนาฬิกาเพียงหนึ่งครั้งก็หายไป เหลือเพียงความว่างเปล่าราวกับเขาไม่เคยมีตัวตนมาก่อน กลิ่นหอมประหลาดอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นสิ่งเดียวที่ยังคงลอยตลบอบอวลอยู่ในห้องนอนแห่งนี้
หรงเสี่ยหายไปแล้ว แต่ความคุกรุ่นของผู้ที่อยู่ในห้องกลับยิ่งเพิ่มพูน ใจจริงอยากจะออกไปฝึกกระบวนท่าหมัดมวยเพื่อให้อารมณ์ดีขึ้น แต่ฝนกลับตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ราวกับฟ้าฝนเต็มใจหัวเราะเยาะเด็กน้อยอย่างนาง
เย็นไว้...เย็นไว้เหอซิง นางจะยอมให้เจ้าปีศาจจิ้งจอกมายั่วจนโมโหง่ายแบบนี้ไม่ได้ การที่จะรับมือกับเจ้านั่นต้องเยือกเย็นเข้าไว้...
เด็กหญิงตั้งสมาธิท่องยุบหนอพองหนอในใจ ใจที่ขุ่นมัวเมื่อครู่จึงเย็นลง ความเงียบสงบเริ่มกลับมาอีกครั้ง ซึ่งนางก็ไม่ปล่อยช่วงเวลานี้ให้เสียเปล่า ร่างเล็กหลับตาลงนั่งสมาธิเพื่อฝึกกำลังภายใน หากพบเจอจิ้งจอกตัวนั้นอีกจะได้เล่นงานเขาเสียให้เข็ด!
ระยะเวลาผ่านไปนานเท่าไรก็มิอาจทราบได้ ครั้นเหอซิงลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าห้องถูกปกคลุมด้วยความมืดสลัว นางใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งเพื่อปรับสายตาให้ชินกับความมืด แต่ยังไม่ทันได้ก้าวลงจากเตียง พี่สาวทั้งสองคนก็เปิดประตูพรวดเข้ามา ดวงตาของพวกนางเบิกกว้างในความมืดมิด พร้อมกับส่งเสียงดังจนเผลอทำให้ร่างเล็กๆ สะดุ้งอย่างตกใจ
“คุณหนูเหอ! เหตุใดจึงอยู่ในห้องมืดๆ เช่นนี้เล่าเจ้าคะ!”
ผู้ที่ถูกถามปิดปากเงียบ หากจะให้นางตอบก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ในเมื่อการพูดถึงปีศาจคงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก ฝ่ายพวกนางทั้งสองเองก็ไม่คิดที่จะฟังคำตอบสักเท่าไร สาวใช้เดินเข้ามาด้านในพร้อมกับรีบจุดตะเกียงในห้องจนสว่าง
เหอซิงหันไปมองที่หน้าต่างก็พบว่าฝนหยุดตกแล้ว แต่ถึงกระนั้นท้องฟ้าก็ยังมืดครึ้ม เมฆฝนสีเทาปกคลุมไปทั่วจนไม่สามารถมองเห็นพระจันทร์หรือดวงดาวได้
มือเรียวที่คว้าเข้าที่แขนเล็ก ทำให้นางดึงสายตากลับมาพร้อมกับขมวดคิ้วยุ่ง เมื่อหญิงสาวอายุมากกว่าพยายามดึงร่างของนางลงจากเตียงในขณะที่ปากก็พูดไปด้วย
“นายท่านให้พวกข้ามาพาท่านไปกินอาหารเย็นเจ้าค่ะ ท่านมิได้ออกมานอกห้องหลายวันแล้ว อย่าทำให้นายท่านกับคุณหนูลำบากใจเลยนะเจ้าคะ”
ก่อนหน้านี้คุณหนูจางโม่ของพวกนางถึงกับยืนกรานว่า หากเหอซิงไม่มาร่วมกินอาหารมื้อค่ำ นางเองก็จะไม่ยอมกินอาหารเย็นร่วมกับทุกคนเช่นกัน
เรื่องนี้แม้กระทั่งนายท่านของจวนยังประหลาดใจ เขาเป็นผู้ใหญ่หากจะให้คนมาเรียกเด็กที่ขังตัวเองอยู่ในห้องก็คงไม่เหมาะเนื่องจากอีกฝ่ายมิใช่บุตรหลานของตน
แต่จางจื่อหมิงก็ต้องเปลี่ยนความคิดเพราะบุตรีเพียงคนเดียว นึกไม่ถึงว่าจางโม่จะติดเด็กหญิงจากต่างเมืองมากขนาดนี้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงสั่งให้สาวใช้ทั้งสองมาตามเหอซิงไปร่วมโต๊ะอาหารอย่างเสียไม่ได้
“อ้อ” เหอซิงพยักหน้ารับทีหนึ่ง ก่อนจะยันกายลุกขึ้นจากเตียงอย่างว่าง่าย ในเมื่อเจ้าของจวนให้คนมาตาม นางก็ไม่ควรดื้อแพ่งอีก เด็กตัวเล็กๆ สามารถทนอยู่ในห้องมาได้นานขนาดนี้ก็ถือว่าใจแข็งมากแล้ว
อาหารค่ำมื้อนี้ทำให้นางได้พบกับครอบครัวของใต้เท้าจางทั้งครอบครัวเป็นครั้งแรก หญิงวัยกลางคนผู้สูงวัยมากที่สุดในที่นี้ รวมถึงการแต่งกายที่หรูหราแสดงตำแหน่งฮูหยินใหญ่ได้เป็นอย่างดี นางมีบุตรชายสองคน ฝ่ายฮูหยินรองที่แม้ใบหน้าจะไม่ได้งดงามเท่ากับคนทั้งสองและยังไม่มีบุตร ทว่าการวางตัวและการพูดจาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของสตรี
ส่วนฮูหยินสามซึ่งมีใบหน้างดงามมีจางโม่เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของจวน
เหอซิงนั่งกินอาหารเงียบๆ พยายามไม่ให้ตนเองเป็นจุดสนใจ แต่เห็นทีคงเป็นไปได้ยากเมื่อในโต๊ะอาหารนี้มีเพียงนางและพี่ๆ ทั้งสองเป็นแขก สายตาหลายคู่ที่จ้องมาทำให้นางกินข้าวไม่อร่อยเอาเสียเลย สุดท้ายจึงวางตะเกียบลง
“อิ่มแล้วหรือ” หญิงผู้อาวุโสที่สุดในที่นี้เอ่ยถาม
เด็กหญิงเพียงคลี่ยิ้มบางๆ ตอบฮูหยินใหญ่ “เจ้าค่ะ”
ถ้วยชาของนางว่างเปล่าเสียแล้ว สาวใช้ที่ยืนอยู่ริมห้องเพื่อรอปรนนิบัติเห็นเข้าก็ไม่รอช้า ยกน้ำชากาใหม่มาที่โต๊ะแล้วรินให้จางโม่ก่อน จึงรินให้แก่นาง น้ำชาในการ้อนถูกรินใส่ถ้วยชาเล็ก ครั้นนางรินจนเสร็จแล้วจึงถอยกลับไปยืนสงบเสงี่ยมที่มุมห้องตามเดิม
บุตรีของนายอำเภอเมืองหยวนเหยายกถ้วยชาขึ้นจ่อริมฝีปาก ก่อนจะตวัดสายตาไปมองสาวใช้ผู้รินน้ำชาในทันที ครั้นอีกฝ่ายเห็นว่านางจ้องมองก็ส่งยิ้มกลับคืนมาให้ตามมารยาท แม้ว่าดวงตาจะฉายแววฉงนสงสัยก็ตาม