บทนำ
0
บทนำ
บนถนนสีขาวที่ทอดยาวจนมิอาจเห็นจุดสิ้นสุด ราวกับจะพาผู้มองไปยังความเวิ้งว้างที่ไกลโพ้น ท้องฟ้ายามราตรีซึ่งเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับละลานตาไปหมด
มองอย่างไรก็ไม่เหมือนท้องฟ้าที่นางคุ้นชิน…
เจ้าของดวงตาคมคิดพลางดึงสายตากลับจากภาพเบื้องหน้าแล้วก้มลงมองสภาพตนเอง ร่างที่ควรเปียกชุ่มกลับแห้งสนิท ชุดนักศึกษาที่สวมยังคงอยู่ ขณะที่ความรู้สึกบีบอัดในอกและลำคอจางหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น
หลังจากลำดับเรื่องราวก็คิดออกว่าวันนี้เป็นวันซ้อมรับปริญญา นางกำลังนั่งเรือเพื่อจะแวะไปเอาชุดครุยที่ร้านเช่า แล้วจะมุ่งหน้าไปยังมหาวิทยาลัยให้ทันเวลานัดถ่ายรูปรวม แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเสียก่อน
นางจมน้ำตาย...นางตายแล้ว!
แม้จะเสียใจแต่น้ำตากลับไม่รินไหล อาจเพราะนางไม่มีอะไรให้ห่วงหาอาลัยมากนัก ตั้งแต่เล็กจนโตนางเป็นเด็กกำพร้า ซึ่งอยู่มาได้ด้วยสมบัติเล็กน้อยที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ ขณะที่ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ก็ต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเองมาตั้งแต่เล็ก
เรื่องเพื่อนฝูงยิ่งแล้วใหญ่ นางแทบไม่ค่อยได้คุยกับใครนอกจากมีความจำเป็น ทุกวันของนางหมดไปกับการทำงาน ชีวิตที่ผ่านมาจนกระทั่งจบมหาวิทยาลัยมีแต่การหาเลี้ยงตัวเอง การเข้าสังคมไม่เคยอยู่ในเสี้ยวความคิดของนางเลยแม้แต่น้อย
หน้าตาของผู้คิดพลันหม่นหมอง ถ้าจะถามว่านางนึกเสียใจเรื่องอะไร ก็คงเป็นเรื่องที่ยังไม่ได้ใช้ ‘ชีวิต’ จริงๆ ก็ดันมาตายเสียก่อน
“แม่หนู...” เสียงยานคางของคนสูงวัยดังขึ้นทางด้านหลัง เรียกให้หญิงสาวในชุดนักศึกษาหันไปมองพร้อมเลิกคิ้วสูงอย่างประหลาดใจ
แหม ก็คนที่เรียกนางด้วยสรรพนามแปลกๆ เมื่อครู่เป็นบุรุษผู้มีรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลาหนุ่มแน่น ผิดกับเสียงแหบแห้งยานคางราวกับคนละคน เสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวมมีสีขาวทิ้งชายยาวผูกเอวด้วยผ้าสีเงินให้ความรู้สึกสูงส่งและงามสง่า ร่างกายเปล่งประกายแสงสีเหลืองนวล บ่งบอกว่ามิใช่วิญญาณธรรมดา
“เอ่อ เรียกฉันเหรอคะ” นางถามเขาเพื่อความแน่ใจ
‘มาเรียกฉันว่าแม่หนูก็ยังไงๆ อยู่นะ อายุฉันก็ยี่สิบสามเข้าไปแล้ว ดูยังไงก็ไม่ใช่แม่หนู’
“ใช่ เรียกเจ้านั่นแหละ” เมื่อเห็นว่าใช้เสียงแก่ยานคางไม่ได้ผล เขาจึงเปลี่ยนเป็นเสียงนุ่มทุ้มที่ดูหนุ่มขึ้น
ฝ่ายคนฟังที่เผชิญกับการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาก็ถึงกับเอียงคอ รู้สึกพิลึกพิลั่นอยู่ในที ตกลงจะเอาอย่างไรกันแน่
“ข้าจะหนุ่มหรือจะแก่ ก็ไม่เห็นเจ้าต้องมาเดือดร้อนแทน มิใช่หรือ”
คนที่วิจารณ์อีกฝ่ายในใจตะลึงจนอ้าปากค้าง ความเศร้าที่เพิ่งรู้ว่าตนเองตายมลายหายไปจากความคิด
‘เจริญแหละ! นอกจากเปลี่ยนเสียงไปมาแล้วยังอ่านใจได้อีกด้วย นี่เขาเป็นเทพหรอกเหรอ!’
“ข้าคือผู้ดูแลสะพานแห่งดวงดาว และหวังว่าเจ้าจะเลิกนินทาข้าในใจเสียที อ้อ...และที่เจ้ามานี่ก็ไม่เหมือนกับดวงวิญญาณอื่นๆ และเป็นเพราะข้าอีกนั่นแหละ” เขาเรียกพัดขนนกขึ้นมาโบก ขณะที่หญิงสาวกลับไม่รู้สึกเลยว่าที่นี่ร้อน หรือจะให้ชัดเจนกว่านั้นคือร่างกายนี้ไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไปแล้ว
ก็นางเป็นเพียงวิญญาณ ซึ่งไร้กายหยาบในการรับรู้สัมผัสทั้งห้าโดยสิ้นเชิง
“เพราะคุณ?” นางถามเสียงสูง
หญิงสาวมั่นใจว่าตนเองว่ายน้ำเก่งจนได้เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งขันว่ายน้ำทุกปี และนางก็ไม่เคยปฏิเสธเลยเพราะเรื่องเงินรางวัลที่แสนคุ้มค่า ทำให้นางอิ่มไปได้หลายมื้อ
ทว่าจู่ๆ วันนี้เหมือนมีกระแสลมแรงพัดใส่ร่างจนตกลงมาจากเรือ พอจะว่ายกลับขึ้นไปบนผิวน้ำ ขาก็ดันเป็นตะคริวเสียได้ ว่าแล้วเชียวว่าเรื่องมันดูไม่ชอบมาพากล
“เดิมทีแล้วคนที่ถึงฆาตไม่ใช่เจ้า แต่เป็นอีกคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนเรือลำเดียวกับเจ้าต่างหาก” บุรุษในชุดขาวพยักหน้า ทว่าสีหน้าไม่ได้แสดงความสำนึกผิดเลยสักนิด ฝ่ายหญิงสาวพอได้ฟังแล้วก็เริ่มเดือด ชีวิตคนทั้งชีวิตแต่เขากลับไม่รู้สึกรู้สา!
“ขนาดเป็นเทพยังทำผิดได้ด้วย แล้วทีนี้จะรับผิดชอบยังไง ส่งฉันกลับไปได้หรือเปล่า!” นางถามอย่างมีความหวัง แววตาเก็บอาการตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่
อนาคตสดใสยังรออยู่ข้างหน้า ไม่แน่ว่าหลังจากนี้ชะตาชีวิตของนางจะพบเจอแต่สิ่งที่ดี กลายเป็นหนูตกถังข้าวสารที่สุขสบายไปทั้งชาติ!
“แม่หนู เลิกเพ้อเจ้อก่อน” มือที่ว่างอีกข้างของเทพหนุ่มกุมขมับตนเอง ดูเวียนหัวไม่น้อย
หญิงสาวมีสีหน้าสดใจมากกว่าเดิม
นางมักจะชอบคิดเยอะอยู่แล้ว ตอนนี้ถ้าจะห้ามไม่ให้ความคิดลั่นก็คงเป็นไปได้ยากพอสมควร ดังนั้นก็ปล่อยให้ท่านเทพฟังเสียงในหัวของนางไปเรื่อยๆ นี่แหละ
“จะให้ข้าส่งเจ้ากลับไปที่เดิม เห็นทีว่าคงไม่ได้ เพราะร่างของเจ้า...” ชายในชุดขาววาดนิ้วเป็นรูปวงกลมในอากาศที่ว่างเปล่า แสงสีทองปรากฏขึ้นเป็นเส้นตามที่นิ้วงามลากผ่าน ก่อนจอภาพที่เหมือนกับจอโทรทัศน์จะฉายภาพขึ้นมา
เจ้าของใบหน้าธรรมดากะพริบตาปริบๆ มองภาพที่เกิดขึ้นอย่างอัศจรรย์ใจ ทว่าไม่ทันไรความตื่นเต้นจากการที่อีกฝ่ายเสกของก็หายไปในพริบตา เมื่อภาพเหล่านั้นชัดเจนมากยิ่งขึ้น
นางเห็นร่างขาวซีด ริมฝีปากม่วงคล้ำถูกหิ้วขึ้นมาจากน้ำ หลังจากนั้นไม่นานภาพก็ถูกตัดไปยังตอนที่ศพถูกบรรจุลงในโลงศพพร้อมกับตอกฝาโลงเสียเสร็จสรรพ และสิ่งสุดท้ายคือโลงศพที่ถูกเผาในกองเพลิง
ร่างของนางถูกเผาไปเสียแล้ว! ทีนี้จะทำอย่างไรดี!
หากตอนนี้หญิงสาวยังมีชีวิตอยู่ละก็ คงจะจ้องภาพที่เกิดขึ้นด้วยดวงตาถลนออกมาจากเบ้า
“ก็เป็นอย่างที่เห็น” เสียงทุ้มทรงอำนาจเหมือนจะตอกย้ำความเป็นจริงให้ผู้ฟังสะเทือนใจมากยิ่งขึ้น
“ละ...แล้ว...” ครั้นได้มองภาพนั้น นางก็พูดอะไรไม่ออก สงสัยว่าเสียงที่หายไปคงยังหาทางกลับไม่เจอ
แววตาของเทพหนุ่มเปลี่ยนเป็นจริงจัง พร้อมกับเสียงทุ้มกังวานที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจที่เปล่งออกมา “เจ้าจะเลือกอะไรระหว่าง หนึ่ง...ความแข็งแรงโชคดี สอง...อำนาจล้นเหลือจนผู้คนใต้หล้าพากันเกรงกลัว และสาม...ทรัพย์สมบัติมากมายที่ใช้ตลอดชีวิตก็ไม่มีวันหมด”
คำพูดของเทพผู้ดูแลสะพานแห่งดวงดาว ส่งผลให้หญิงสาวที่กำลังจมอยู่กับความรู้สึกที่หนักอึ้งต้องดึงสติกลับมา
เรื่องนี้นางไม่จำเป็นต้องไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน
มีอำนาจล้นเหลือผู้คนเกรงกลัว ฟังก็รู้แล้วว่าต้องเหนื่อย วันๆ ก็มีแต่คนกลัว แล้วจะมีความสุขได้อย่างไร ส่วนข้อสาม มีทรัพย์สมบัติมากมายแล้วจะมีประโยชน์อะไร ต่อให้นางทำงานหาเช้ากินค่ำทุกวันให้มีชีวิตรอด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีเงินมากมายแล้วจะมีความสุข ที่แย่กว่านั้นอาจจะต้องมาคอยระแวดระวังคนที่หวังจะเข้ามาหาผลประโยชน์จากตนอีก
“อย่างแรก ความแข็งแรงโชคดี” เจ้าของดวงตาสวยคมตอบด้วยน้ำเสียงที่ปราศจากความลังเล แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะถามไปเพื่ออะไร
ลืมไปว่าการตั้งคำถามในใจคงโดนอีกฝ่ายอ่านความคิดได้ ใบหน้าของเขาดูอ่อนโยนกว่าเดิม มุมปากของใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มบางๆ ช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งนักจนคนมองถึงกับมองค้างจนตาพร่า
สายลมวูบใหญ่ก็พัดผ่านร่างบนสะพานแห่งดวงดาวอย่างแรง หญิงสาวผู้มีใบหน้าธรรมดาแหงนหน้าขึ้นมองเหนือศีรษะ พบว่าท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวเริ่มหมุนคว้างราวกับภาพวาดที่บิดเบี้ยว
“เลือกได้ดีแม่หนู ข้าจะให้พรตามที่เจ้าปรารถนา เพียงแต่...” เขาเว้นไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังตัดสินใจ
“...เจ้าต้องรับโชคชะตาของผู้ที่ถึงฆาตแทนนาง” เสียงของท่านเทพดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่สติของนางจะดับวูบ