“คุณหนู ท่านจะมิให้ข้าตามไปด้วยหรือเจ้าคะ เสี่ยวเหม่ยอยากตามไปปรนนิบัติท่านนะเจ้าคะ” เสี่ยวเหม่ยจัดของให้ผู้เป็นนายไปพลางโอดครวญไปพลาง ช่างเป็นภาพที่น่าสงสารยิ่งนัก ทว่าเหอซิงกลับส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วตอบตามความจริง
“เดิมทีข้าเพียงไปขอพักอาศัยที่จวนใต้เท้าจางในฐานะแขก มีพี่รองกับพี่สี่ไปเป็นเพื่อนแล้ว หากเพิ่มเจ้าไปอีกคนก็คงจะเกินไป ข้าเป็นเพียงบุตรีนายอำเภอเล็กๆ พาคนไปด้วยมากมายเห็นทีคงจะไม่เหมาะ”
นางยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้ากรมการคลังมีจุดประสงค์อะไร แต่ก็มั่นใจว่าพี่ชายทั้งสองล้วนดูแลตัวเองได้ในระดับหนึ่ง จึงไม่จำเป็นต้องห่วงและกังวลอะไรมาก แต่กับเสี่ยวเหม่ยนั้นไม่เหมือนกัน
“ข้า...ข้าเข้าใจแล้วคุณหนู แต่คุณหนูต้องสัญญานะว่าจะกินอาหารให้ตรงเวลา ไม่นั่งเหม่ออยู่ริมลำธารจนเลยเวลาอาหารอีกนะเจ้าคะ” นางพยายามทำเสียงดุ
“รู้แล้วๆ" พูดเสร็จก็รวบผมที่ยาวเลยกลางหลังขึ้นมามัดเป็นมวย ลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อมจะกลับออกไปด้านนอกอีกครา เสี่ยวเหม่ยเห็นร่างเล็กกำลังจะก้าวออกจากห้องก็หันขวับไปมองพลางเอ่ยเสียงหลง
“คุณหนู ดึกป่านนี้แล้วจะไปไหนเจ้าคะ!”
“ไปง้อพี่ใหญ่น่ะสิ ป่านนี้คงอาละวาดหนักจนก้อนหินหมดสวนแล้วกระมัง” พูดจบก็ใช้วิชาตัวเบาที่เรียนมาจากเหอลั่ว พุ่งทะยานออกไปจากห้อง มุ่งหน้าไปยังเรือนของพี่ชายคนโตทันที
ท้องฟ้ายามค่ำคืนของที่นี่สวยงามนัก ขนาดตัวที่เล็กทำให้การเคลื่อนไหวสะดวกและรวดเร็ว เพียงไม่นานร่างเล็กในชุดรัดกุมก็พุ่งทะยานขึ้นไปบนต้นไม้
เหอซิงสูดกกลิ่นของฤดูฝนเข้าไปเต็มปอด เปิดประสาทหูรับฟังเสียงในละแวกใกล้เคียง ครั้นได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลังของสวนหย่อมแห่งเดียวในจวนนายอำเภอก็ตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางแล้วมุ่งตรงไปอย่างไม่รอช้า
ภาพเบื้องหน้าคือชายที่กำลังจะโตเป็นหนุ่มเต็มตัว ท่อนบนเปลือยเหลือเพียงกางเกงสามส่วน มือนั้นพันด้วยผ้าผืนหนาทั้งสองข้าง ยืนเผชิญหน้ากับก้อนหินขนาดใหญ่ที่ถูกปล่อยหมัดใส่นับไม่ถ้วนจนเกิดหลุมลึกตรงกึ่งกลาง
เหอซิงเห็นดังนั้นก็ส่ายหน้า พี่ใหญ่ของนางช่างบ้าพลังเหลือเกิน ยังดีที่เขาไม่เคยใจร้อนลงมือกับพี่น้องตนเอง
เด็กหญิงตัดสินใจซุ่มมองอยู่บนต้นไม้พักหนึ่ง ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตฉายแววลังเล ไม่รู้ว่าจะลงไปดีหรือไม่
แต่แล้วจู่ๆ ทิวทัศน์ตรงหน้าก็ถูกแทนที่ด้วยก้อนหินยักษ์ เล่นเอาเหอซิงสะดุ้งโหยง รีบดีดตัวจากต้นไม้ ถือว่าเฉียดตายไปได้อย่างหวุดหวิด!
โครม!
“อ้าว! ซิงเอ๋อร์หรอกหรือ ข้านึกว่าเป็นเจ้าลั่ว เป็นอะไรหรือไม่” เหอม่อเหยียนนี่เองที่เป็นคนโยนหินก้อนใหญ่มาใส่ เขารีบปรี่เข้าไปตรวจดูร่างกายเล็กๆ ของน้องสาวที่ทิ้งตัวลงบนพื้นอย่างไม่สวยงาม เมื่อเห็นว่าปลอดภัยดีก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“โธ่พี่ใหญ่! ท่านเล่นโยนก้อนหินมาแบบนั้น ข้าตกใจหมดเลย” เสียงเล็กดังขึ้นมาในความมืด ก่อนที่คนเอ่ยจะผุดลุกขึ้นยืน ดวงตาจ้องมองพี่ชายคนโตอย่างเคืองๆ "ข้าคิดว่าท่านกำลังโกรธอยู่จึงตั้งใจมาง้อ ท่านกลับคิดทำร้ายข้าซะได้!”
“ซิงเอ๋อร์ พี่ใหญ่ไม่เคยโกรธเจ้า เมื่อครู่ข้าเห็นเพียงเงาตะคุ่มบนต้นไม้ คิดว่าเป็นเจ้าลั่วจึงได้โยนก้อนหินใส่ กะจะให้เจ้านั่นตกลงมา เจ้าอย่าได้โกรธพี่ใหญ่เลยนะ”
ไม่พูดเปล่า พี่ใหญ่ยังช้อนร่างเล็กขึ้นอุ้มด้วยมือเพียงข้างเดียว ใบหน้าน่ารักปะทะเข้ากับอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ที่สำคัญ...มีเหงื่อเปียกอกเปลือยจนชุ่ม!
“อี๋ๆ ท่านวางข้าลงเลยนะพี่ใหญ่ เหม็นเหงื่อจะแย่”
“หืม” ดวงตาคมฉายแววเจ้าเล่ห์ไม่น่าไว้ใจขึ้นมา ผู้เป็นน้องสาวจ้องมองเขาอย่างระแวง เตรียมจะใช้วิชาตัวเบาถีบตัวหนี แต่อีกคนที่มากวิชาและประสบการณ์ย่อมต้องไวกว่า ใช้มือคีมเหล็กจับไหล่เล็กเอาไว้แน่นในขณะที่เสียงทุ้มอารมณ์ดีดังออกมาจากริมฝีปาก
“เจ้าเองก็ยังไม่ได้อาบน้ำมิใช่หรือ เช่นนั้น...เราสองพี่น้องไปอาบน้ำด้วยกันเลยดีหรือไม่” เหอซิงพยายามอย่างเต็มที่ในการส่ายหน้ารัวๆ ถลึงตาปฏิเสธสุดชีวิต ใครอยากจะอาบน้ำกับเขากันยะ!
“ฮ่าๆๆ ข้าจะไม่ได้เจอเจ้าอีกตั้งครึ่งเดือน ไหนๆ เจ้าก็ตั้งใจมาง้อข้า ถือซะว่าตามใจพี่ใหญ่ให้หายคิดถึงเจ้าหน่อยก็แล้วกัน” พูดจบก็กระชับคนที่อยู่ในอ้อมแขน พาเดินเข้าไปในเรือนของเขาโดยไม่สนใจเสียงร้องโหยหวนของนางเลยแม้แต่น้อย
“ม่ายยย!”
เช้าวันต่อมาบุตรสาวคนเดียวของบ้านกลับทำหน้าบูดเป็นตูดลิง ทว่ากลับไม่มีผู้ใดทราบถึงความเป็นมาเป็นไป
ทุกคนในบ้านต่างถามกันอย่างกังวลว่านางเป็นอะไร กลัวว่าจะไม่สบายก่อนออกเดินทาง จะมีก็แต่เหอม่อเหยียนที่หัวเราะอารมณ์ดี ดวงตาเป็นประกาย ทั้งยังเจริญอาหารเป็นพิเศษ ผิดกับนางที่ใบหน้าบูดบึ้งยิ่งกว่าเดิม
เหอซิงมองใบหน้าดุดันที่อารมณ์ดีผิดกับหน้าตา แล้วถึงกับร้องขึ้นมาในใจ
‘ชิ! เห็นแก่ว่าเป็นพี่ชายหรอกนะ!’
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนยังคงหลอกหลอน ร่างใหญ่ยักษ์ของพี่ชายคนโตกักตัวนางเอาไว้ แล้วกระโดดลงไปในถังน้ำเพียงเพราะอยากแกล้งนางเล่นเท่านั้น คืนที่ผ่านมามีร่างเล็กสภาพเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำกลับห้องจนเสี่ยวเหม่ยอ้าปากค้าง
“นายท่าน ท่านไป๋เล่อมาถึงหน้าจวนแล้วขอรับ” คนรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาแจ้งอย่างนอบน้อม ก่อนที่สีหน้าจะแปรเปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วนเมื่อบรรยากาศในห้องอาหารเปลี่ยนไปเมื่อเขาเข้ามาแจ้งข่าว แต่ละคนมีสีหน้าเคร่งขรึมแตกต่างจากคราแรกโดยสิ้นเชิง
‘นี่ข้า...พูดอะไรผิดไปหรือเปล่า’ หนุ่มน้อยคิดในขณะที่เหงื่อไหลพลั่กๆ มองซ้ายทีขวาที จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครพูดอะไร
“เข้าใจแล้ว เจ้าออกไปได้” ในที่สุดเสียงทรงอำนาจของเจ้าของจวนก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา สำหรับบ่าวผู้นั้นแล้ว เสียงของเหอลู่เฟิงนั้นไม่ต่างจากเสียงสวรรค์ เขาจึงรีบร้อนวิ่งออกจากห้องไปทันที
สมาชิกในครอบครัวลงมือกินข้าวต่อ ไม่มีการหยอกล้อหรือพูดคุยเหมือนดั่งเคยจนรู้สึกเงียบเหงาและหดหู่ใจ ทั้งๆ ที่ทุกคนก็อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
ลูกสาวคนเล็กของพวกเขาเพิ่งจะอายุแปดขวบกลับต้องมาเดินทางไกล จะไม่ให้พวกเขาเป็นห่วงได้อย่างไร
เมื่อทุกคนกินอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหอลู่เฟิงก็เดินนำออกไปก่อนเป็นคนแรก ตามมาด้วยบรรดาพี่ชายทั้งหลาย สุดท้ายคือผู้เป็นมารดาที่จับจูงร่างเล็กของบุตรสาวเพื่อเดินมุ่งหน้าไปตรงประตู
เหอซิงเงยหน้าขึ้นมองป้ายหน้าจวนที่เขียนเป็นอักษรจีนอย่างสละสลวยว่า ‘จวนนายอำเภอ’ หลายปีมานี้เหอซิงรู้สึกว่ามันเล็กลงกว่าเก่า อาจเป็นเพราะนางตัวใหญ่ขึ้นจึงได้เห็นเป็นเช่นนั้น
“ดูแลอาลั่วและซิงเอ๋อร์ให้ดีนะอาฟง เมื่อเดินทางถึงแล้วก็อย่าลืมส่งข่าวคราวมาที่บ้านบ้าง” ฉินฟางสวมกอดนางก่อน จากนั้นก็เป็นพี่ชายคนที่สี่และพี่ชายคนรอง
มือหยาบกร้านของเหอลู่เฟิงลูบศีรษะเล็กอย่างแผ่วเบา ความอบอุ่นและความกังวลสัมผัสนางครู่หนึ่งก่อนจะจางหาย แล้วตรงเข้าตบไหล่เหอฟงและเหอลั่ว
“วางใจเถิดท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าจะดูแลน้องทั้งสองเป็นอย่างดี ถือโอกาสนี้พาทั้งสองไปเที่ยวเล่นเมืองหลวง หากพวกท่านปรารถนาสิ่งใด ก็สามารถส่งข่าวมาให้ข้าทราบได้ทันที” บัณฑิตร่างเล็กที่พูดจาฉะฉาน
ผู้เป็นพี่ชายคนโตของบ้านส่งเสียงฮึดฮัดอย่างหมั่นไส้เล็กน้อย
หมัดใหญ่ต่อยไปที่ไหล่บางของเหอฟงเบาๆ สื่อคำพูดทางสายตาว่า ‘ฝากด้วยล่ะ’
เหออวี่เทียนไม่ใช่คนพูดมาก เขาเพียงสะกิดนางเบาๆ เรียกให้ร่างเล็กหันไปมองอย่างสนใจ ก่อนที่นัยน์ตาจะเบิกกว้างขึ้นเมื่อมีขลุ่ยไผ่เรียวบางวางลงบนฝ่ามือเล็ก
พิจารณาเพียงครู่เดียวก็รู้ได้ทันทีว่าขลุ่ยเลานี้เป็นขลุ่ยที่เหออวี่เทียนเหลาด้วยตนเอง!
“เอาไว้เป่าเล่นยามเหงา” เขาเอ่ย รอยยิ้มและน้ำเสียงนุ่มนวลดุจสายน้ำ ทำให้เหอซิงไม่ลังเลเลยที่จะสวมกอดเขาพร้อมกล่าวขอบคุณ
“คุ...คุณหนู”
เหอซิงทำหน้าไม่ถูกเมื่อเสี่ยวเหม่ยร้องไห้โฮเป็นเด็กๆ สุดท้ายจึงได้แต่ตบบ่าปลอบใจอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน
“ข้าจากไปเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น หากมีขนมในเมืองหลวงที่อร่อยละก็ ข้าจะซื้อมาฝากเจ้า” การหลอกล่อเด็กไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินความสามารถของนาง เด็กหญิงวัยสิบเอ็ดจึงได้ยอมสงบลงแต่โดยดี ซ้ำร้ายยังมองนางด้วยประกายคาดหวังในดวงตา
‘ยิ่งได้เยอะๆ ก็ยิ่งดีนะเจ้าคะ คุณหนู’ นางคิดพลางลอบกลืนน้ำลาย เริ่มจินตนาการภาพขนมหลากหลายในห้วงความคิด ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะจากเจ้านายทั้งหลายได้เป็นอย่างดี บรรยากาศเศร้าซึมบริเวณหน้าจวนนายอำเภอจึงได้ผ่อนคลายลง
เมื่อการอำลาอันยาวนานทว่าแสนสั้นสิ้นสุดลง ไป๋เล่อก็เชิญพวกนางขึ้นรถม้า ล้อไม้ใหญ่เคลื่อนไปเบื้องหน้าในวันที่อากาศเย็นสบาย เหอซิงมองภาพของคนในครอบครัวจนลับตา แล้วก็อดตื่นเต้นไม่ได้
นี่เป็นครั้งแรกที่นางออกเดินทางไปยังเมืองหลวง งานนี้ก็ไม่ถือว่าแย่เสียทีเดียว ถือเสียว่านางจะได้ไปเปิดหูเปิดตากับเขาบ้างก็ดีเหมือนกัน