สมทบทุน

1949 คำ
ตอนที่ 6 “เอาอย่างนี้ไหมพี่ใหญ่ พวกเราไปอาศัยอยู่ที่ศาลเจ้าก่อน” หลี่จินคิดหนัก ลำพังตัวเขากับหลี่ฉวนนั้นอยู่ที่ไหนก็ย่อมได้ แต่เขาเป็นห่วงน้องสาว อีกฝ่ายเป็นผู้หญิง หากไปอยู่สถานที่แบบนั้นระหว่างที่เขากับน้องชายไปทำงานใครจะอยู่ดูแลเธอ พี่ชายได้แต่ถอนหายใจยาว จือหลินที่เห็นว่าทุกคนนั้นกำลังคิดหนักจึงเหลือบมองแหวนที่นิ้ว ดูเหมือนว่าเธอนั้นควรจะใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ แต่เมื่อก่อนอื่นเธอจะต้องบอกความจริงกับทั้งสองก่อน “พี่ใหญ่ อาฉวน ฉันมีเรื่องอยากจะบอก” หญิงสาวนั่งลงข้างคนทั้งสอง ตัดสินใจแล้วว่าไม่ควรปิดบังเรื่องนี้ อย่างไรเสียทั้งสองก็เป็นพี่น้องของเธอ ฉะนั้นควรจริงใจต่อกันให้มากที่สุด “ที่ฉันจำพี่กับอาฉวนไม่ได้ เพราะฉันไม่ใช่อาหลิน” ทั้งสองได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว รู้สึกงุนงงในคำพูดของหญิงสาว แต่พวกเขาก็ไม่ได้ถือสา ด้วยคิดว่าเธอนั้นกำลังป่วยถึงพูดจาเลอะเลือน “พี่รอง เป็นอะไรไปอีกแล้ว ทำไมถึงพูดแบบนี้” หลี่ฉวนเอ่ยถามก่อนที่เขาจะหันไปสบตากับพี่ใหญ่ จือหลินถอนหายใจยาว เธอรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรเสียทั้งสองก็ไม่เชื่อ จึงได้ตัดสินใจเปิดมิติหลังจากมองรอบ ๆ แล้วว่าไม่มีใครผ่านทางมาแถวนี้ สองพี่น้องชะงักมองเข้าไปในมิติที่ดำมืด ก่อนที่หญิงสาวจะล้วงมือเข้าไปในนั้นควานหาบางสิ่งบางอย่างที่เธอต้องการมากที่สุดในเวลานี้ นั่นก็คือเขามีค่า ที่จะสามารถแปรเปลี่ยนเป็นเงินได้ แต่ทว่าในมิตินี้ก็มีกฎ มิติจะไม่มอบสิ่งของมีมูลค่าให้เธอ ไม่ว่าจะเป็นเงิน ทอง หรือแม้เเต่อัญมณีก็ตาม จือหลินล้วงหยิบอะไรบางอย่างออกมา เป็นเครื่องเรือนแกะสลักสวยงาม เธอวางลงบนพื้นทีละชิ้น จนหลี่จินต้องบอกให้น้องสาวหยุดมือ โชคดีที่ตรงนี้ไม่มีคนเดินผ่านไปมา ทำให้ทั้ง 3 ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาเห็น “ฉันได้แหวนนี้มา ตอนที่ฉันตายฉันได้เจอกับเจ้าของแหวน และฉันก็ถูกส่งตัวมาอยู่ที่นี่” หญิงสาวเอ่ย แต่ครั้งนี้ทั้งสองกลับเชื่อจนสนิทใจ ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ได้คิดว่าเธอเป็นคนอื่นคนไกล ยังคงเป็นจือหลินคนเดิม “ไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น” หลี่จินกล่าวตอนที่เขานั้นจะยกเครื่องเรือนขึ้นมาตรวจดู แม้ไม่ใช่ของมีค่าอะไรมากมายแต่หากนำรวมกันไปขายก็น่าจะได้เงินเป็นกอบเป็นกำ “อาฉวน ตอนนั้นนายนำของไปขายที่ไหน” ครั้งหนึ่งหลีฉวนนั้นเคยขนข้าวของไปขายให้ผู้เป็นย่า แต่เขาก็ไม่ได้ถามน้องชายว่าอีกฝ่ายนำของไปขายให้ใคร หลี่ฉวนพยายามนึก เพราะมันก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว “เถ้าแก่หลังตลาด เรารีบไปกันเถอะก่อนที่ร้านเขาจะปิด” ทั้ง 3 ไม่รอช้าช่วยกันขนของไปขายที่นั่น เนื่องจากเถ้าแก่คนนั้นมักจะรับซื้อของผิดกฎหมาย ของที่ได้รับการขโมยมาหรือแม้กระทั่งของคนตาย ฉะนั้นแล้วเขาจึงไม่ได้สนใจที่ไปที่มาของสินค้าเท่าไหร่นัก ขอเพียงทำเงินได้เขาก็รับซื้อ “ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะมีของวิเศษแบบนี้ด้วย” ตลอดทางทั้งสามก็เดินพูดคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น หลี่จินเริ่มมองเห็นโอกาสที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ก่อนที่เขานั้นจะหันไปบอกน้องสาวว่า “ถ้าหากเราสามารถนำของออกมาจากในนั้นได้เยอะ ๆ เราก็จะทำเงินได้มากขึ้น” “ใช่แล้วล่ะ” แต่มิตินี้ไม่สามารถมอบเงินทองของมีค่า เพราะตามกฎแล้วมิตินั้นจะไม่เอื้อผลประโยชน์ให้มากมายนัก เธอยังคงต้องดิ้นรนเหมือนเดิมเหมือนกับอดีตที่เธอนั้นเคยดิ้นรนจนตัวตาย ฉะนั้นเรื่องการดิ้นรนไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอเลยแม้แต่น้อย ยิ่งมีพี่ชายกับน้องชายอยู่ด้วยเธอยิ่งอุ่นใจต่างจากตอนมีชีวิตอย่างเดียวดายในกาลเวลาก่อนมาที่นี่ “ร้านกำลังจะปิด” หลี่ฉวนรีบวิ่งข้ามฟากไปก่อนที่เขานั้นจะดึงประตูเอาไว้ หลี่จินและจือหลินที่เห็นเช่นนั้นก็รีบเร่งฝีเท้า “อาฉวนมาทำอะไรที่นี่” เถ้าแก่วัยกลางคนเอ่ยถาม เขาไม่ได้เจอหลี่ฉวนนานมาก ครั้งสุดท้ายที่เจอกันชายหนุ่มนั้นยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย “เถ้าแก่อย่าเพิ่งปิดร้านได้ไหม ฉันมีของมาขาย” ตอนแรกเถ้าแก่วัยกลางคนนั้นก็ตั้งใจจะปฏิเสธ เนื่องจากวันนี้เขารับซื้อของไปมากแล้ว แต่พอเหลือบไปเห็นของที่ทั้ง 3 ถือมาด้วยเขาก็เปลี่ยนใจ “เข้ามา ๆ ” "พวกเรามีเครื่องเรือนเหล้านี้มาขายครับ" หลี่จินและหลี่จือหลินรีบวางสิ่งของให้เถ้าแก่ร้านดูอย่างระมัดระวัง "โอ้ สวยมาก 10 ชิ้นนี้ฉันให้ได้ 150 หยวน ตกลงไหม?" หลังจากประเมินราคาเสร็จเจ้าของร้านก็รีบแจ้งให้สามพี่น้องรู้อีกครั้ง หลี่จือหลินหันมองหน้าพี่ชายและน้องชายเพื่อขอคำตอบ เธอไม่รู้ว่าเงิน 150 หยวนมากหรือน้อยในยุคนี้ แต่ดูท่าคงจะมากพอ เพราะชายหนุ่มทั้งสองคนมีสีหน้าอึ้ง ๆ เมื่อได้ยินราคาที่เถ้าแก่ร้านแจ้งให้รู้ “ตกลงครับ ขอบคุณเถ้าแก่ที่เมตตา” “ไม่เป็นไร ของพวกนี้ฉันเอาไปปล่อยต่อก็ได้กำไรมากมาย” ได้ฟังเรื่องราวของทั้ง 3 แล้วเขาก็รู้สึกเห็นใจ ผู้ใดก็ย่อมรู้ว่าสามพี่น้องถูกกลั่นแกล้งรังแกมาตั้งแต่ยังเล็ก ทั้งอย่างถูกกดขี่ข่มเหงใช้งานอย่างหนัก ราวกับไม่ใช่ลูกใช่หลาน แต่ก็ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องในครอบครัว ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย แม้มีบ้างบางครั้งที่หยิบยื่นความช่วยเหลือให้เด็กทั้งสาม “แล้วจะไปไหนกัน มีที่อยู่หรือไม่” เขาเอ่ยถาม เพราะหากไม่มีเขาก็จะจ้างหลี่ฉวนทำงานที่นี่ แลกกับให้พี่ชายและน้องสาวของอีกฝ่ายมีที่อยู่อาศัย แต่ทั้ง 3 ตั้งใจที่จะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เมืองอื่นจึงได้ปฏิเสธไป “พวกเราจะไปอยู่ในเมือง ผมอยากให้น้องได้เรียน” หลี่จินว่าอย่างนั้น ตัวเขาคงหมดโอกาสแล้วที่จะได้เรียนหนังสือ แต่ก็ยังไม่ได้สายเกินไปสำหรับจือหลินและหลี่ฉวน ชายหนุ่มไม่เคยได้เรียนหนังสือแต่น้องสาวและน้องชายมีโอกาสได้เรียนในระยะเวลาสั้นๆ ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ใช่คนไร้ซึ่งความรู้ ชายหนุ่มอ่านออกเขียนได้ทั้งเขายังมีความสามารถสื่อสารกับชาวต่างชาติได้อีกด้วย “งั้นฉันขอสนับสนุนทุนการศึกษา” เถ้าแก่วัยกลางคนกล่าว ก่อนที่เขาจะหยิบเงินออกมายื่นให้ชายหนุ่มอีก 200 หยวน รวมค่าของเป็นทั้งหมด 350 หยวน ตัวเขาเองก็เคยเผชิญกับความยากลำบาก ถูกพ่อแม่ไล่ออกจากบ้าน จนถึงตอนนั้นต้องระหกระเหินมาตั้งหลักที่นี่ มาทำงานเป็นลูกจ้างนานหลายปี กว่าที่เขาจะเก็บหอมรอมริบจนมีเงินเปิดร้านเป็นของตัวเอง เถ้าแก่วัยกลางคนมองทั้ง 3 แล้วก็นึกถึงตัวเองในวัยเด็ก ภาพของทั้ง 3 ทำให้เขารู้สึกราวกับว่าได้ย้อนเวลากลับไปในช่วงเวลานั้นอีกครั้ง “ขอบคุณเถ้าแก่มากที่เมตตาพวกเรา” หลี่จินเอ่ยก่อนจะรับเงินนั้นมาเก็บใส่กระเป๋า เงินเก่าของหลี่จินและน้อง ๆ มีอยู่ 20 กว่าหยวน หากนำมารวมกับเงิน 350 หยวนนี้พวกเขาก็มีเงินมากถึง 370 กว่าหยวน ถือเป็นเงินก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิตของพวกเขา เจ้าของร้านวัยกลางคนได้เขียนเบอร์โทรศัพท์ใส่กระดาษก่อนจะยื่นให้หญิงสาวและบอกเธอให้ติดต่อกับสหายของเขา เนื่องจากอีกฝ่ายนั้นมีตึกให้เช่า ราคาไม่แพงตั้งอยู่หน้ามหาวิทยาลัย “ไปถึงที่เมืองนั้นแล้วก็ติดต่อไปที่เบอร์นี้ เดี๋ยวฉันจะบอกเขาล่วงหน้าให้เต็มที่พักไว้ให้” หลี่ฉวนชะโงกมองกระดาษก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “พวกเราคงไม่มีเงินมากพอที่จะเช่า” ชายวัยกลางคนส่ายหน้าก่อนจะเอ่ยตอบ “ไม่ต้องใช้เงินมากขนาดนั้น เงินที่ฉันให้ไปพอจ่ายค่าเช่าได้หลายเดือน” เงินทุนที่เขาสนับสนุนการศึกษา เขาอนุญาตให้นำไปใช้จ่ายเพื่อหาที่อยู่ เถ้าแก่วัยกลางคนแค่แนะนำตึกแถวทำเลดีให้เท่านั้น แต่หากสามพี่น้องไปดูแล้วไม่ชอบใจก็ไม่จำเป็นต้องทำสัญญาเช่าก็ได้ “ขอบคุณเถ้าแก่อีกครั้งไว้พวกเราจะแวะไปดู” จือหลินกล่าว ก่อนที่ทั้ง 3 นั้นจะเดินเท้าตรงไปยังสถานีรถไฟซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ประมาณ 2 กิโล พวกเขาซื้ออาหารเพื่อกักตุนไว้ เนื่องจากกลัวว่าบนรถไฟจะไม่มีอาหารขาย เพราะการเดินทางในครั้งนี้ต้องใช้ระยะเวลานานหลายชั่วโมง ฉะนั้นจึงต้องเตรียมพร้อม “ว่าแต่แหวนนั่นมันสามารถเปิดประตูลึกลับได้อย่างเดียวเหรอพี่รอง” หลี่ฉวนเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย เขาแทบไม่อยากเชื่อสายตากับสิ่งที่เห็น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้พี่สาวของเขาไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป เธอมีของวิเศษในมือที่ช่วยกอบกู้สถานการณ์ยากลำบากได้ “อันที่จริง ในมิตินี้มีข้าวของมากมาย แต่ก็มีกฎอยู่” หญิงสาวว่าอย่างนั้น หากมิติให้เงินทองและของมีค่าราคาเเพง ก็จะทำให้ชีวิตของเธอนั้นสบายจนเกินไปและไม่รู้จักดิ้นรนหลีกหนีจากความยากลำบาก แต่เพียงเท่านี้จือหลินก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากพอแล้ว เธอไม่ได้ต้องการเงินทองมากมายขอเพียงแค่ได้ใช้ชีวิตสงบสุขอย่างที่ใจต้องการก็เป็นพอ “กฎอะไรเหรออาหลิน” หลี่จินเอ่ยถามขึ้นมาอีกคน “ในมิตินี้จะไม่มีข้าวของมีค่า เงินทอง เพชรนิลจินดา จะมีแค่ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นเท่านั้น” ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนที่เขาจะแตะมือลงบนบ่าน้องสาว “เพียงเท่านี้ก็โชคดีแล้ว” หลี่จินเอ่ยกับน้อง ๆ ข้าวของเหล่านี้แม้จะไม่ใช่ของมีค่ามากมายแต่ก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นเงินทองได้ แต่ความจริงแล้วเขาอยากนำของเรานี้มาต่อยอดทำอย่างอื่นมากกว่า “ไว้ถึงเมืองเซี่ยงไฮ้เราค่อยปรึกษาหารือกันอีกทีว่าจะเอาอย่างไรต่อไป” ลึก ๆ แล้วหลี่จินอยากจะเปิดร้านเล็ก ๆ เป็นของตัวเอง เพื่อที่จะได้มีรายได้ส่งเสียน้องทั้งสองเรียนหนังสือให้สูงที่สุด
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม