ตอนที่ 7
หลี่จินซื้อตั๋วรถไฟใช้เงินไปทั้งหมด 30 หยวน ก่อนที่เขานั้นจะพาน้องทั้งสองขึ้นรถไฟ ขึ้นมาด้านบนก็จับจองที่นั่งใกล้ทางลง โชคดีที่มีสัมภาระไม่เยอะมาก มีเพียงแค่เสื้อผ้าไม่กี่ชุดและอาหารที่อัดแน่นเต็มถุงผ้า ฉะนั้นแล้วจึงมีพื้นที่ให้ทั้ง 3 ได้เอนกายเพื่อไล่ความเมื่อย
บรรยากาศในรถไฟค่อนข้างเย็นสบาย เนื่องจากลมที่พัดเข้ามาด้านในห้องโดยสาร จือหลินเหม่อมองออกไปด้านนอก ก่อนที่พี่ชายจะยื่นห่อข้าวให้
“รีบกินเถอะ ตอนนี้มันยังร้อนอยู่”
ชายหนุ่มว่าอย่างนั้นก่อนที่ทั้งสามจะกินอาหารจนอิ่มท้อง หลี่ฉวนนำผ้าที่หยิบติดมือมาด้วยปูลงตรงพื้นช่องว่างระหว่างที่นั่งก่อนที่เขาจะนอนลง ตอนนี้เป็นเวลาเย็นย่ำแล้ว ฟ้าด้านนอกก็เริ่มมืด หลี่จินนำสัมภาระวางไว้บนเก้าอี้รวมกัน ก่อนที่เขานั้นจะลงไปนอนข้างน้องชายและบอกให้น้องสาวนอนบนเก้าอี้อีกฝั่ง
“อย่าเดินไปไหนเพียงลำพัง จะไปไหนก็บอก เดี๋ยวพี่จะพาไป”
ชายหนุ่มกำชับด้วยความเป็นห่วง น้องสาวของเขาเป็นผู้หญิงทั้งยังหน้าตาสะสวย เมื่อครู่ที่ขึ้นรถมาก็แอบเห็นว่ามีกลุ่มชายหนุ่มจ้องเธอไม่วางตา
“งั้นฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อน”
หญิงสาวเอ่ยขึ้น เธอรู้สึกมวนท้องอยากที่จะปลดทุกข์ หลี่ฉวนจึงอาสาพาพี่สาวไปเข้าห้องน้ำ เขายืนรออยู่ด้านหน้าก่อนที่จือหลินจะเดินออกมา
“อีกนานไหมกว่าจะถึง”
เธอเอ่ยถามน้องชาย หลี่ฉวนครุ่นคิดก่อนที่เขานั้นจะเอ่ยตอบ
“น่าจะหลายชั่วโมงอยู่ พี่รอง รีบพักผ่อนเถอะ”
ชายหนุ่มว่าอย่างนั้น เมื่อกลับมาถึงที่นั่งเขาก็รีบล้มตัวลงนอนข้างพี่ชายทันที จือหลินนำถุงที่ใส่
เสื้อผ้ามาพับทับกันให้หนาขึ้นก่อนจะหนุนนอน เธอเหม่อมองขึ้นไปบนหลังคารถ ก่อนจะปิดเปลือกตาลงเมื่อรู้สึกง่วง
ขณะที่กำลังเคลิ้มจะหลับ พนักงานก็มาขอตรวจตั๋ว หญิงสาวจำได้ว่าเธอใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ แต่เมื่อล้วงหาดูก็ไม่พบ จือหลินร้อนใจเป็นอย่างมาก ขนาดนั้นเธอได้วิ่งกลับไปที่ห้องน้ำเพื่อเข้าไปหาตั๋ว
“หาอะไรอยู่เหรอสาวน้อย”
ชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินตามหญิงสาวเข้ามา พร้อมกับใช้สายตาลวนลามเธอ จือหลินไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก
แต่เธอก็พยายามไม่สนใจและมองหาตั๋วที่ทำหล่นเอาไว้
“เจอแล้ว”
หญิงสาวดีใจเป็นอย่างมาก เธอรีบเอื้อมไปหยิบตั๋วมาเก็บไว้ในกระเป๋าตั้งใจว่าจะกลับไปยังที่นั่ง แต่กลับถูกชายหนุ่มแปลกหน้าหลังข้อมือเอาไว้ หญิงสาวรู้สึกตื่นตระหนกเธอพยายามสะบัดมือออก แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายนั้นต้องการที่จะทำร้ายเธอ เขาพยายามดันร่างบางเข้าไปในห้องน้ำ แต่เพราะหญิงสาวตะโกนโวยวายทำให้ทุกคนในรถไฟนั้นตื่นขึ้นมาดูสถานการณ์รวมทั้งพี่ชายและน้องชายของเธอด้วย
“เกิดอะไรขึ้น”
คนตรวจตั๋วเดินเข้ามา ก่อนที่เขานั้นจะใช้ไม้ตีมือชายหนุ่มเต็มแรง หญิงสาวไม่รอช้ารีบยื่นตั๋วให้อีกฝ่ายก่อนจะเดินกลับไปยังที่นั่งของเธอ
“เกิดอะไรขึ้น อาหลิน!”
หลี่จินเอ่ยถามน้องสาวด้วยความเป็นห่วง ตอนที่หญิงสาวจะส่ายหน้า
“ไม่มีอะไร พอดีฉันทำตั๋วหายเลยไปหา แต่ไม่คิดว่าจะมีโรคจิตอยู่บนรถไฟด้วย”
พูดแล้วก็ขนลุกเมื่อนึกถึงสายตาและสีหน้าของชายโรคจิตคนนั้น หลี่จินและหลี่ฉวนชวนโมโหมากตั้งใจจะไปเอาเรื่อง แต่กลับถูกจือหลินยั้งเอาไว้
เธอไม่อยากให้พี่ชายและน้องชายมีเรื่องกับคนบนรถไฟ อีกอย่างผู้ชายคนนั้นก็มีพรรคพวกมากกว่า หากปะทะกันจริงๆ เกรงว่าทั้งสองจะสู้ไม่ได้
เวลาผ่านไป 10 กว่าชั่วโมงในที่สุดรถไฟขบวนแห่งนี้ก็เดินทางมาถึงเมืองใหญ่ ทุกคนตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก หลี่จินไม่รอช้ารีบโทรหาเจ้าของตึกแถวที่จะให้เช่าทันที
เสียงชายวัยกลางคนรับสาย เมื่อรู้ว่าผู้ที่ติดต่อมาคือ 3 พี่น้องที่สหายแนะนำ จึงรีบบอกเส้นทางให้ทั้งสามทันที แต่พอระยะทางจากสถานีรถไฟถึงย่านนั้นต้องใช้ระยะทางราวสิบกิโล ซึ่งหากเดินเท้าคาดว่าไม่ไหวอย่างแน่นอน
ชายหนุ่มมองซ้ายมองขวาก่อนตัดสินใจจ้างรถสามล้อให้ไปส่ง เขาต่อรองจนได้ราคาที่พอใจและพาน้องทั้งสองขึ้นรถมุ่งตรงไปยังสถานที่หน้ามหาวิทยาลัย
เมื่อมาถึงทั้งสามก็นั่งรออยู่ด้านหน้า พลางมองสำรวจไปรอบๆ ที่นี่เป็นตึกแถวขนาด 2 ชั้นติดกันประมาณ 10 หลัง มีผู้คนพลุกพล่านตลอดเวลาถือได้ว่าเป็นทำเลที่ดีเลยทีเดียว
.
“มาถึงนานหรือยัง”
"ไม่นานครับ"
หลี่จินตอบกลับระหว่างที่ชายวัยกลางคนก้าวลงจากรถ แล้วตรงมาเปิดประตูให้ทั้ง 3 เข้าไปชมด้านใน จือหลินรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก เธอคะยั้นคะยอพี่ชายให้วางเงินมัดจำทันที โชคดีที่ชายหนุ่มนั้นก็ชอบที่นี่เหมือนกันเขาจึงไม่ลังเลเลยที่จะทำสัญญาเช่า
"ค่าเช่าตึกนี้เกือบละ 10 หยวน มีค่ามัดจำ 1 เดือน รวมเป็น 20 หยวนนะ" ชายวัยกลางคนบอกกับสามพี่น้องที่ดูจะพอใจกับตึกแถวแห่งนี้มาก แต่ไม่รู้ว่าเรื่องที่เขากำลังจะบอก จะทำให้ทั้งสามคนเปลี่ยนใจหรือไม่
"ตกลงผมเช่าห้องนี้ครับ" หลี่จือหลินกับหลี่ฉวนยิ้มกว้างเมื่อพี่ใหญ่ตอบตกลงเช่าตึกแห่งนี้
“ฉันมีเรื่องต้องบอกก่อน”
ใช้วัยกลางคนเก่าขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่สบายใจนัก เขาตัดสินใจปล่อยเช่าตึกแห่งนี้ราคาถูกๆ แต่มันก็ว่างเว้นมานานนับปีแล้ว
“มีอะไรเหรอคะ”
"ที่นี่เคยมีคนเสียคิดสั้นแล้วจบชีวิตตัวเอง!"
หญิงสาวเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมา เธอรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ราคาเช่า ค่อนข้างถูกแต่กลับไม่มีใครสนใจ จึงสังหรณ์ใจว่าที่นี่อาจจะมีประวัติไม่ดี และเป็นไปอย่างที่คิด เมื่อเจ้าของตึกนั้นได้เล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง
"..." "..." "..."
“ถ้าพวกเธอกลัวก็ไม่เป็นไร”
ชายวัยกลางคนว่าอย่างนั้น เขาตั้งใจว่าจะเดินทางกลับไม่คิดว่าสามพี่น้องจะตกลงทำสัญญาทันที
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นกังวล พวกเราไม่ได้สนใจหรอกครับลุงกู้”
หลี่จินแตะนิ้วมือลงบนหมึกก่อนจะทาบลงบนกระดาษ หลังจากนั้นเขาก็ยื่นส่งคืนให้กับชายวัยกลางคน พร้อมกับเงิน 20 หยวน ค่าเช่าห้องนี้ค่อนข้างถูก หลี่จินมั่นใจว่าจะต้องหาทางตั้งหลักได้ทันก่อนที่เงินที่เหลือ 320 หยวนจะหมดไป
“ขอบใจมาก ที่ตรงนี้ทำเลดี ว่างเว้นมานานแล้ว”
จือหลินพึงพอใจ เธอมองสำรวจรอบ ๆ ก่อนจะเห็นว่ามีร้านบะหมี่อยู่ข้าง ๆ น่าเสียดายที่วันนี้ดันปิดทำให้เธอนั้นอดลิ้มลอง
หลังจากที่เจ้าของตึกกลับไป ทั้ง 3 ก็ช่วยกันเก็บกวาดเศษฝุ่นเล็กน้อยก่อนจะมานั่งพูดคุยปรึกษากัน
“เราจะขายอะไรกันดี”
หลี่จินเอ่ยถามน้องชายและน้องสาว หวังว่าความคิดเห็นของทั้งสองจะมีประโยชน์และนำไปต่อยอดได้
“ฉันเห็นว่าข้าง ๆ มีร้านบะหมี่ส่วนอีกฝั่งเป็นข้าวหน้าเป็ด ถ้าหากเราขายขนมหวานจะดีไหม”
หญิงสาวรู้สึกว่าหลังจากทานอาหารมื้อหลักซึ่งเป็นอาหารคาวเข้าไปแล้วก็ควรจะล้างปากด้วยอาหารหวานต่อ เธอจึงตัดสินใจว่าจะปรับปรุงที่นี่ให้กลายเป็นร้านขายขนมหวาน
“ฉันว่าขายขนมดีกว่า”
เธอคิดว่าเรื่องอุปกรณ์และวัตถุดิบนั้นไม่น่าจะใช่ปัญหาในเวลานี้ เธอมีมิติที่สามารถนำของออกมาใช้งานได้ ดีไม่ดีอาจจะมีสิ่งที่เธอตามหาอยู่
“ก็ดี มองไปรอบ ๆ ไม่เห็นมีร้านขายขนมหวานเลย”
หลี่ฉวนเอ่ย เขาเห็นด้วยกับพี่สาว แต่นอกจากสนับสนุนแล้วเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก
ตกกลางคืนหลังจากที่จัดของเสร็จแล้ว หลี่ฉวนและจือหลินก็มานั่งอ่านหนังสืออยู่ด้านล่าง ทั้งสองอ่านหนังสือสำหรับเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยจนดึกดื่นและฟุบหลับคาโต๊ะ ส่งผลให้เช้าวันต่อมาถูกพี่ชายบ่นจนหูชา
“อ่านหนังสือก็อย่าหักโหมจนเกินไป”
จือหลินว่าอย่างนั้น ขณะที่เขากำลังควานหาของนำออกมาจากมิติลึกลับที่จือหลินเปิดเอาไว้ให้
“ว่าแต่เตรียมตัวกันดีแล้วใช่หรือไม่ ในวันสอบพี่จะได้ไปส่งพวกเธอ”
การสอบครั้งนี้สำคัญน้องสาวและน้องสาวของเขาเป็นอย่างมาก ฉะนั้นแล้วหลี่จินจึงอยากจะติดตามไปด้วย
“พี่ใหญ่พวกเราเตรียมตัวเป็นอย่างดี ถึงอย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะแพ้เส้นสายหรือเปล่า”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยความรู้สึกท้อแท้ เขาฟังข่าวจากวิทยุได้ยินว่าการสอบปีที่แล้วมีคนทุจริต ใช้เส้นสายจากการที่ตัวเองนั้นเป็นทายาทนักการเมือง หลี่ฉวนจึงกลัวว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นอีกครั้ง
เพราะในการสอบครั้งนี้เขาต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจเป็นอย่างมาก ฉะนั้นแล้วเขาจึงไม่อยากแพ้คนที่เข้ามาง่าย ๆ แต่ไร้ความสามารถ
“เอาเถอะทำให้ดีที่สุด”
ส่วนอะไรจะเกิดก็ให้เกิดไป อย่างน้อยก็ได้มีโอกาสเข้าร่วมการสอบเกาเข่า แต่หากจะไม่ได้เรียนมหาลัยดี ๆ อย่างน้อย ๆ ก็ยังมีมหาวิทยาลัยอื่นรองรับ
เรื่องนั้นหลี่จินไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย ขอเพียงแค่ทั้งสองได้เรียนหนังสือก็เป็นพอ
“พี่ใหญ่ กว่าที่การสอบจะเริ่มขึ้นก็อีกนาน เราไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องนี้กัน”
เพราะเห็นว่ามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องจัดการ หลี่ฉวนถึงรีบลุกขึ้นก่อนจะนำข้าวของไปเก็บไว้ด้านหลัง
“พี่ใหญ่ เราต้องไปซื้อวัตถุดิบที่ตลาด แต่ตลาดอยู่ที่ไหนพวกเราก็ยังไม่รู้”
หากเป็นสมัยเธอก็ยังสามารถใช้โทรศัพท์เพื่อนำทางได้ แต่สำหรับที่นี่แล้วอาจต้องใช้วิธีถามทางเอา
“ไม่ต้องกังวล เรื่องนั้นพี่ถามลุงกู้มาแล้ว”
ชายหนุ่มเอ่ยก่อนที่เขาจะไล่หญิงสาวให้ไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ เพื่อเดินทางไปยังตลาดและซื้อวัตถุดิบสำหรับทำขนม
หลี่ฉวนเเละหลี่จินตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลทำให้มองไปทางไหนก็มีแต่ความละลานตา ทั้งสามเที่ยวเล่นอยู่นานก่อนจะรีบไปหาซื้อวัตถุดิบและกลับไปที่ร้าน