ตอนที่ 4
จือหลินเดินสำรวจห้องคับแคบใต้บันได กลิ่นอับชื้นทำให้เธอนั้นตัดสินใจเปิดประตูออกกว้าง หญิงสาวรับไม่ได้กับสภาพห้องที่ทั้งรกและเหม็น จึงได้เก็บกวาดยกใหญ่ ขณะนั้นหญิงสาวก็ชะโงกหน้ามองออกไปด้านนอกก่อนกวาดสายตามองไปทั่วทั้งบริเวณ
ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่ และเมื่อก้าวออกมาก็เห็นว่าบ้านหลังนี้ไม่ใช่บ้านหลังเล็ก ๆ แต่ทำไมถึงได้มีคนอาศัยอยู่ในห้องใต้บันได
หญิงสาวได้แต่คิดแล้วก็สงสัยก่อนที่เธอนั้นจะลากที่นอนออกไปตากแดด และเก็บกวาดจนสะอาดเอี่ยม
“ออกไปข้างนอกดีกว่า”
เมื่อเดินผ่านหน้ากระจกกลับต้องชะงักเมื่อเห็นสภาพของตัวเอง หญิงสาวสวมเสื้อผ้าสีมอเต็มไปด้วยคราบสกปรก ผมเข้ารุงรังราวกับว่าไม่ได้สระมานานหลายเดือน ทั้งเมื่อยกแขนดมก็ถึงกับต้องย่นจมูก
“สกปรกขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
หญิงสาวพึมพำ จากที่ตั้งใจจะเดินออกไปข้างนอกกลับกลายเป็นว่าเธอนั้นต้องกลับเข้าห้อง และรื้อหาเสื้อผ้าที่พอจะใส่ได้ ก่อนจะตรงไปอาบน้ำและสระผมอยู่นานนับชั่วโมง
เมื่อรู้สึกว่าร่างกายสะอาดขึ้นแล้ว เธอจึงได้รีบแต่งตัวและเดินออกมาด้านนอก สูดอากาศบริสุทธิ์จนเต็มปอด สาบานเลยว่าเธอจะใช้โอกาสที่ได้รับให้คุ้มค่าและมีความสุขให้มากที่สุด
หญิงสาวลูบแหวนที่สวมอยู่ ก่อนที่เธอนั้นจะเดินตรงไปยังตลาดที่อยู่เบื้องหน้าและเต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน แต่เพราะว่าหญิงสาวนั้นสวมเสื้อผ้าขาด ๆ ทำให้เธอถูกมองด้วยสายตาดูถูก จือหลินไม่ได้สนใจเพราะเธอนั้นชินแล้ว ในอดีตเธอเองก็ถูกดูแคลนมาทั้งชีวิต
หลี่จือหลินกวาดตามองบ้านเรือนที่ไม่คุ้นตา ทุกอย่างตรงหน้าล้วนดูล้าหลังจากสถานที่ที่เธอเคยอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นเธอกลับขอบคุณโชคชะตาที่ให้ร่างกายที่แข็งแรงให้เธออีกครั้ง
“เอาซาลาเปา…”
แม่ค้าเห็นสภาพของหญิงสาวก็เข้าใจว่าเธอเป็นขอทานจึงได้ไล่ตะเพิด เมื่อเห็นว่าจือหลินยืนนิ่งไม่ยอมไปเธอก็คว้าไม้ก่อนไล่ตีอีกฝ่าย
หญิงสาวทำอะไรไม่ถูก เธอได้แต่เดินหนีด้วยความตกใจ และไม่ว่าเธอจะไปหยุดอยู่หน้าร้านไหนก็โดนไล่ทุกที หญิงสาวอับอายเป็นอย่างมากเธอเดินลัดเลาะเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ ก่อนหยุดยืนหน้าร้านแห่งหนึ่งส่องกระจกดูแล้วก็เวทนาตัวเอง
“ออกไป ๆ เดี๋ยวคนมาเห็นว่ามีขอทานอยู่หน้าร้านแล้วจะไม่เข้า”
เถ้าแก่วัยกลางคนเอ่ยไล่ก่อนโบกไม้กวาดไปมา เขาเกลียดพวกขอทานเพราะมีนิสัยขี้ขโมย หยิบฉวย ทั้งยังสร้างแต่ความเดือดร้อน ยิ่งไปกว่านั้นยังสกปรกและเนื้อตัวเหม็นสาบ
“ไป ๆ ไล่แล้วยังมายืนมองหน้าอีก”
หญิงสาวค่อย ๆ ถอยออกมา ก่อนที่เธอจะหยุดยืนก้มมองเสื้อผ้าตัวเอง
“สภาพแบบนี้คงต้องกลับบ้านแล้วสินะ”
หญิงสาวพึมพำก่อนที่เธอนั้นจะรีบเดินกลับไปยังที่เดิม เข้ามาในห้องก็รื้อหาเสื้อผ้าอีกครั้งแต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีเสื้อผ้าดี ๆ ให้เธอใส่เลย
โชคดีที่ในอดีตจือหลินนั้นเคยฝึกอาชีพอยู่บ้าง เธอจึงสามารถเย็บปักถักร้อยได้ หญิงสาวพยายามขัดผ้าดีๆ ก่อนจะนำมาตัดและวางเรียงไว้
เธอตั้งใจว่าจะตัดเสื้อผ้าสวมใส่เอง แต่ผ้าที่มีอยู่ก็สภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
หญิงสาวใช้เวลานานเกือบชั่วโมงในการตัดผ้า ก่อนจะลงมือเย็บเป็นชุดแบบต่างๆ และแขวนเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าเก่า ๆ
“เอายังไงต่อดี”
หญิงสาวคิดไม่ออก ตอนนี้เธอรู้สึกหิวเป็นอย่างมากจึงได้ย่องออกไปด้านหลังบ้าน ก่อนจะเห็นว่ามีอาหารเก็บไว้ในตู้ แต่แม้ว่าจะหิวเพียงใดเธอก็ไม่กล้าพอที่จะหยิบฉวยของผู้อื่น
หญิงสาวตัดสินใจดื่มน้ำเข้าไปเยอะ ๆ เพื่อหวังว่าจะช่วยบรรเทาความหิวได้บ้าง ก่อนที่สายตาเธอจะเหลือบไปเห็นแหวน
“ในนี้จะมีอาหารหรือเปล่านะ”
หญิงสาวตัดสินใจเปิดมิติก่อนจะควานมือเข้าไปด้านใน บางสิ่งบางอย่างลอยมากระทบฝ่ามือก่อนที่เธอนั้นจะหยิบออกมา
จือหลินยกยิ้มด้วยความดีใจเมื่อเห็นว่าในมิตินี้สามารถเนรมิตอาหารได้ เธอไม่รอช้ารีบนำจานมาใส่แป้งทอดทันที หญิงสาวนั่งกินจนอิ่มท้องก่อนที่เธอนั้นจะลงมือเย็บผ้าต่อ ไม่เพียงแต่เสื้อและกางเกงแต่ยังมีหมวกที่เธอนั้นตั้งอกตั้งใจเย็บมากเป็นพิเศษ
เนื่องจากเมื่อครู่ที่เดินออกไปอากาศค่อนข้างร้อน ทั้งยังมีแดดสอดส่อง ทำให้หญิงสาวนั้นคิดว่าสิ่งนี้ค่อนข้างจำเป็น
เธอนำรองเท้าเก่า ๆ มาตัดด้านบนออกเพื่อใช้เพียงแค่พื้นยาง ก่อนจะถักผ้าหลายทบและคาดไว้ระหว่างขอบพื้นเพื่อทำเป็นรองเท้าคู่ใหม่สำหรับใช้งาน
หลังจากที่ทำทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วเธอก็ล้มตัวนอนลงก่อนจะเห็นว่าด้านบนนั้นเต็มไปด้วยฝุ่น จือหลินไม่รอช้ารีบลงมือทำความสะอาดห้องอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าสะอาดจนเป็นที่น่าพอใจแล้วเธอจึงได้นอนหลับพักผ่อนด้วยความเหนื่อย
ขณะที่หญิงสาวนั้นเกือบจะงีบหลับไป เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออก ชายต่างวัยสองคนเดินเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นน้องสาวพวกเขาก็มองอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจ
“น้องรอง เธออาบน้ำเหรอ”
จือหลินหยัดตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะพยักหน้าด้วยท่าทางงัวเงีย แต่แล้วดวงตาคู่นั้นก็เบิกกว้างเมื่อมองตรงไปยังคนทั้งสอง เธอถดตัวถอยทันทีก่อนจะเอ่ยถาม
“ดะ เดี๋ยวนะ พวกคุณเป็นใคร”
คำถามนั้นทำให้หลี่ฉวนและหลี่จินถึงกับหันมองหน้ากันด้วยความงุนงง หญิงสาวทำราวกับว่าเขาทั้งสองเป็นคนแปลกหน้า ทั้งที่ความจริงแล้วหลี่ฉวนนั้นเป็นน้องชายแท้ ๆ ขณะที่หลี่จินก็เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเธอเช่นกัน
“เป็นอะไรไป จำพี่ไม่ได้งั้นเหรอ”
ชายหนุ่มเอ่ยถาม เขาและน้องชายออกไปทำงานได้ไม่ถึงห้าชั่วโมง กลับมาอีกทีน้องสาวก็จำไม่ได้เสียแล้ว ชายหนุ่มเป็นกังวลกลัวว่าอาการป่วยของเธอจะกำเริบ ถึงได้ปรึกษากับหลี่ฉวนว่าจะพาจือหลินไปหาหมอ
“ทำยังไงดีพี่ใหญ่ พี่รองจำพวกเราไม่ได้อีกแล้ว”
ได้ยินเช่นนั้นจึงหลินก็รู้ทันทีว่านี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอนั้นลืมเลือนทั้งสอง จึงได้ตัดสินใจเอ่ยขึ้น
“ฉันเคยจำพวกคุณไม่ได้เหรอ”
ทั้งสองพยักหน้า จือหลินมีความผิดปกติมาตั้งแต่เกิด เธอจะลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่างในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงชั่วคราว และทุกครั้งที่อาการนี้กำเริบพวกเขาก็จะพาเธอไปหาหมอ แต่เพราะช่วงหลังไม่ค่อยมีเงิน จึงไม่อาจทำอะไรได้มากปล่อยให้หญิงสาวนั้นหายเอง
“ช่างเถอะเดี๋ยวก็หาย”
หลี่ฉวนเอ่ยก่อนที่เขานั้นจะนั่งลงบนพื้นเเละถอดหมวกออก เขาอายุเพียง 16 แต่กลับต้องใช้แรงงานอย่างหนัก ทุกวันต้องแบกหินแบกปูนจนไหล่ทรุด แต่หากไม่ทำก็ไม่มีเงินประทังชีวิต ทั้งเขาและพี่ชายต้องจ่ายค่าเช่าห้องเล็กเท่ารูหนูให้กับย่าแท้ ๆ และป้าสะใภ้
ทั้งสองไม่เคยเห็นพวกเขาเป็นญาติ มองว่าเป็นภาระและบีบคั้นให้เขากับพี่ชายต้องออกจากการเรียนเพื่อมาทำงานรับจ้างหาเงินจ่ายค่าเช่า
“กินอะไรหรือยัง”
หญิงสาวพยักหน้า เธอกินจนอิ่มแปล้ และเมื่อรู้ว่าทั้งสองนั้นเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด จู่ ๆ ความรู้สึกผูกพันก็บังเกิดขึ้นในใจ หญิงสาวแอบเก็บเซาปิงไว้ จึงตัดสินใจนำออกมาให้คนทั้งสอง
“ไปเอามาจากไหน”
“เมื่อครู่ฉันออกไปตลาด มีคนใจดีให้มา”
หญิงสาวว่าอย่างนั้น ก่อนที่ทั้งสองจะกินแป้งทอดอย่างเอร็ดอร่อย ด้วยความหิวโหยเพียงพริบตาอาหารที่พูนจานก็ร่อยหรอลง
“อยากไปหาหมอหรือไม่”
วันนี้เขาได้ค่าแรงมา พอที่จะจ่ายค่าตรวจร่างกายของหญิงสาวจึงได้เอ่ยถาม แต่จือหลินไม่ต้องการให้พี่น้องต้องเจียดเงินเพื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาลของเธอ จึงได้ตัดสินใจปฏิเสธไป เพราะรู้ดีว่าครั้งนี้เธอไม่ได้ความจำเสื่อม แต่คนที่อยู่ในร่างนี้ไม่ใช่จือหลินคนเดิมอีกต่อไป
สามพี่น้องนั่งพูดคุยกัน หญิงสาวฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายนั้นเข้าใจว่าเธอความจำเสื่อมไถ่ถามเรื่องราวของจือหลินผู้นี้
“ฉันอายุเท่าไหร่แล้ว”
“สิบแปด อีกไม่นานก็คงได้แต่งงาน”
หลีฉวนกล่าวเช่นนั้นก่อนที่เขาจะถูกพี่ชายผลักไหล่เต็มแรง
“พูดบ้าอะไร พี่รองของเจ้าไม่เคยออกไปพบปะผู้คน จะแต่งงานได้ยังไงกัน”
อีกทั้งป้าสะใภ้และผู้เป็นย่าสั่งห้ามไม่ให้จือหลินนั้นย่างกรายออกไปด้านนอก หญิงสาวจึงต้องเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องใต้บันไดมานานหลายปี ไม่เคยได้ออกไปเที่ยวเล่นเหมือนผู้อื่น
“แต่พี่ใหญ่ รู้ใช่หรือไม่ว่า…”
หลี่จินถลึงตาใส่น้องชายก่อนที่อีกฝ่ายจะหุบปาก เรื่องที่ป้าสะใภ้นั้นต้องการให้จือหลินแต่งงานเป็นภรรยารองของเศรษฐีผู้หนึ่ง สำหรับเขาและหลี่ฉวนถือเป็นความลับที่ไม่ควรเปิดเผยให้หญิงสาวฟัง เพราะกลัวว่าน้องสาวจะรับไม่ได้ที่ต้องแต่งงานกับชายแก่คราวพ่อ
“มีอะไรหรือเปล่า”
หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความสงสัย แม้ว่าทั้งสองจะส่ายหน้าปฏิเสธแต่เธอก็ไม่เชื่อ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป เพราะคิดว่าเมื่อถึงเวลาทั้งสองก็คงจะเล่าให้ฟังเอง
“รีบเข้านอนเถอะ อีกเดี๋ยวย่ากับป้าสะใภ้ก็จะกลับมาแล้ว”
หลี่จินปิดไฟก่อนจะเปิดโคมเล็ก ๆ เอาไว้ ป้าสะใภ้ของเขาไม่ต้องการให้แสงไฟนั้นเล็ดลอดออกไปนอกประตู จึงได้สั่งห้ามไม่ให้พวกเขาเปิดไฟสว่าง
หลายปีที่ผ่านมานี้ทั้งสามพี่น้องจึงต้องทนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด หญิงสาวนั่งมองพี่ชายและน้องชายที่กำลังเล่นหมากรุกอยู่มุมห้อง ก่อนที่เธอนั้นจะเดินเข้าไปนั่งลงข้างคนทั้งสอง