ตอนที่ 3
จือหลินอาการทรุดลงทุกวัน แม้จะมีคนใจบุญมาช่วยดูแลค่ารักษาพยาบาลให้แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ตัดสินใจที่จะปฏิเสธไม่ยอมรักษา หญิงสาวรู้ดีว่าสิ้นเปลืองเงินเปล่า ๆ เธอคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานจึงขอให้คนที่ออกค่ารักษาให้นำเงินส่วนนี้ไปบริจาคให้ผู้อื่นแทน
จือหลินขอให้พยาบาลช่วยเข็นเธอออกไปที่ระเบียงเพื่อดูโลกภายนอกเป็นครั้งสุดท้าย หญิงสาวหลับตาลงเมื่อลมเย็น ๆ พัดมากระทบใบหน้า เธอสูดลมหายใจลึก มองไปยังด้านล่างจดจำภาพสวยงามของโลกใบนี้เอาไว้ เพราะไม่รู้ว่าเธอนั้นจะจากไปวันไหน
หญิงสาวนอนอยู่บนเตียง มองเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่กำลังนั่งมองผู้เป็นแม่ หญิงสาวเตียงตรงข้ามป่วยเป็นโรคเดียวกับเธอ แต่เมื่อได้รับการรักษาอาการก็ดีวันดีคืน จือหลินเฝ้าภาวนาขอให้อีกฝ่ายหายป่วยจากโรคร้ายเพราะเธอรู้สึกสงสารเด็กหญิง เนื่องจากสองแม่ลูกมีกันแค่สองคน หากผู้เป็นแม่เป็นอะไรไป ลูกสาวคงต้องอยู่อย่างยากลำบากแน่นอน
หญิงสาวไม่อยากให้ใครมีชีวิตแบบเธอ ชีวิตที่ต้องดิ้นรนต้องถูกกดขี่ข่มเหง ไม่มีใครคอยปกป้อง เธอไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับใคร
หญิงสาวหลับตาลง เธอรู้สึกอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก ช่วงนี้เธอใช้เวลานอนเป็นส่วนใหญ่ ยี่สิบสี่ชั่วโมง เธอจะตื่นมาแค่ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น หลังจากนั้นก็นอนยาวเนื่องจากร่างกายต้องการพักผ่อน แล้วเธอรู้ดีว่านี่เป็นสัญญาณของชีวิตที่ใกล้จะดับสูญ
หญิงสาวหลับไป โดยที่เธอไม่รู้เลยว่านี่คือครั้งสุดท้ายที่เธอจะมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ เครื่องวัดชีพจรดังขึ้นในขณะที่หน้าจอปรากฏเป็นเส้นตรง หมอและพยาบาลวิ่งวุ่น ความโกลาหลเกิดขึ้นในหอผู้ป่วยหนัก
ทุกคนพยายามช่วยชีวิตเธอแต่ดูเหมือนว่าจะสายเกินไป หญิงสาวจากไปอย่างสงบ
จือหลินเดินเข้ามาในป่ามืด เธอมองไปรอบ ๆ ด้วยความหวาดระแวง หญิงสาวไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ เธอถึงได้โผล่มาที่นี่ ที่สำคัญเธอกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง สามารถเดินเหินได้เหมือนคนปกติทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังนอนป่วยอยู่บนเตียง
ร่างบางชะเง้อมองเข้าไปในกระท่อม เธอเห็นว่าด้านในนั้นมีไฟเปิดอยู่จึงตั้งใจจะเข้าไปขอความช่วยเหลือ แต่ไม่ทันที่จะก้าวเดิน จู่ๆ ก็มีใครบางคนสะกิดที่ไหล่เธอเบา ๆ หญิงสาวหันกลับไปมองก่อนที่เธอนั้นจะสะดุ้งด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเป็นหญิงชราผมยาว ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น
“มาแล้วเหรอ ฉันรอมานานหลายปี”
เสียงแหบแห้งเอ่ยขึ้น ก่อนที่จะคว้าข้อมือหญิงสาวกึ่งลากกึ่งจูงอีกฝ่ายเข้าไปด้านในกระท่อม ชื่อเล่นไม่รับรู้ถึงความร้อนความหนาว คล้ายกับว่าตอนนี้เธอไม่มีความรู้สึกใด ๆ แม้จะอยู่ใกล้กับโคมไฟแต่เธอก็ไม่รู้สึกถึงไอความร้อน
“ดื่มชาก่อนเถอะสาวน้อย”
หญิงสาวตั้งใจว่าจะไม่ดื่มเพราะเธอไม่ไว้ใจหญิงชรา แต่เมื่อถูกอีกฝ่ายใช้สายตากดดันจึงต้องจำใจยกถ้วยชาขึ้นมากระดกดื่มจนหมด น่าแปลกที่มันเหมือนน้ำเปล่ามากและเธอไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของมันเลย
“ที่นี่ที่ไหนคะ หนูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
จือหลินเอ่ยถามด้วยความสงสัย เธอรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล มันดูผิดปกติตั้งแต่ที่เธอนั้นสามารถลุกขึ้นมาเดินเหินได้ ทั้งที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายใกล้ตายอยู่รอมร่อ
“ที่นี่เป็นทางผ่าน และข้าเป็นผู้ตัดสินดวงวิญญาณ”
หญิงชราเอ่ยก่อนที่เธอนั้นจะหยิบคัมภีร์โบราณขึ้นมา ชื่อของจือหลินปรากฏขึ้น มีจุดหมายปลายทางที่หญิงสาวจะต้องเดินทางไป
“จริงเหรอคะ แสดงว่าหนูตายแล้วใช่ไหม?”
หญิงสาวถาม เธอรู้สึกไม่เชื่อถืออีกฝ่ายเอาเสียเลย จะเป็นไปได้ยังไง เธอไม่เชื่อว่าจะมีโลกหลังความตาย หญิงสาวกวาดตามองไปรอบ ๆ ในขณะนั้นเธอสังเกตเห็นว่ามีคนยืนล้อมรอบอยู่ด้านนอก
“จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่สำคัญ นั่นไม่ใช่หน้าที่ข้าที่ต้องมานั่งอธิบายให้เจ้าฟัง”
หญิงชราเอ่ยก่อนที่เธอนั้นจะสะบัดมือเล็กน้อย จู่ๆ ก็มีมิติขนาดใหญ่เปิดขึ้นมา จือหลินแทบไม่เชื่อสายตา เธอมองเข้าไปด้านในราวกับต้องมนต์สะกด
ในนั้นเต็มไปด้วยแก้วแหวนเงินทอง หญิงชราล้วงมือเข้าไปในขณะที่สายตาจับจ้องใบหน้าหญิงสาว ก่อนที่เธอนั้นจะหยิบเอาแหวนวงหนึ่งออกมา และมิติก็ค่อย ๆ ปิดลง
“นี่คือโชคชะตาของเจ้า”
หญิงสาวกะพริบตาถี่ เธอมองแหวนวงเล็กที่วางอยู่บนฝ่ามือหญิงชรา ก่อนตัดสินใจเอื้อมไปหยิบมาพินิจดู แหวนวงนี้ขนาดพอดีกับนิ้วมือของเธอ เป็นแหวนที่ดูเรียบ ๆ ไม่สะดุดตาแต่ทว่ากับมีพลังบางอย่างแฝงอยู่ ทันทีที่หญิงสาวสัมผัสมันก็ลอยเข้ามาสวมในนิ้วทันที
และไม่ว่าเธอจะพยายามเอาออก ก็ไม่สามารถเอาออกได้
“นี่คือโชคชะตาของเจ้า มันจะอยู่กับเจ้าไปชั่วชีวิต จะถอดมันไม่ได้ ทางเดียวที่จะทำให้เจ้าหลุดพ้นจากมันคือความตายเท่านั้น”
หญิงชราเอ่ย มีไม่บ่อยนักดวงวิญญาณที่จะได้โอกาสใช้ชีวิตครั้งที่สอง เพราะส่วนใหญ่แล้วต้องถูกตัดสินไปตามกรรมที่ทำมาเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์
“นี่มันเรื่องอะไรคะ หนูไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง”
“เอาล่ะใกล้ถึงเวลาที่เธอต้องไปแล้ว”
หญิงชราไม่ได้อธิบายอะไรมากมาย ในขณะที่หญิงสาวกำลังจะเอ่ยถาม จู่ ๆ เธอก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาในความมืด
บนใบหน้าสวยเต็มไปด้วยเหงื่อ แม้แต่เสื้อของเธอก็เปียกชุ่ม หญิงสาวหอบหายใจรุนแรง รู้สึกว่าความฝันเมื่อคู่ยังคงตามมารบกวนเธอ
เธอเห็นมองแหวนที่ติดมากับนิ้วมือ ทำให้เธอรู้ว่านั่นอาจไม่ใช่ความฝัน หญิงสาวกวาดตามองไปรอบ ๆ ท่ามกลางความมืดยังคงพอมองเห็นเลือนราง เธอเปิดโคมไฟ ก่อนจะเห็นว่าตอนนี้เธออยู่ในห้องใต้บันได ที่แสนคับแคบ รอบ ๆ เต็มไปด้วยกองเสื้อผ้า มีทั้งเสื้อผ้าผู้หญิงและเสื้อผ้าผู้ชายปะปนกัน
จือหลินขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เธอรู้สึกว่าที่นี่มันช่างดูโบราณเหลือเกิน ข้าวของเครื่องใช้ก็ดูแปลกประหลาดไปหมด
หญิงสาวหยัดตัวลุกขึ้น เธอปัดมือไล่เศษฝุ่นที่ปลิวว่อน แต่ขนาดนั้นเองจู่ ๆ มิติก็ถูกเปิด หญิงสาวตกใจเผลอก้าวถอยหลัง ทำให้เธอนั้นสะดุดล้มลงไปบนที่นอน มิติลึกลับมืดสนิท ตอนแรกหญิงสาวรู้สึกกลัว แต่เมื่อเธอนึกถึงภาพในความฝันที่เหมือนจริง เธอก็ตัดสินใจล้วงมือเขาไปก่อนควานหาสิ่งของด้านใน
“อะไรน่ะ”
หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เมื่อจู่ ๆ เธอก็คว้าอะไรบางอย่างมาได้ เป็นสมุดเล่มยาวคล้ายกับตำราสมัยก่อน ด้านในเขียนอักษรในลักษณะแนวตั้ง
จดหมายฉบับนี้คล้ายกับว่าเขียนมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ
หญิงสาวค่อย ๆ อ่านอย่างระมัดระวัง ในจดหมายบอกว่าเธอนั้นอยู่ในปี 1980 เป็นช่วงเวลาที่ประเทศจีนกำลังเจริญรุ่งเรือง อยู่ในช่วงพัฒนาเศรษฐกิจ ทางเบื้องบนตัดสินใจส่งเธอมาที่นี่เพราะอยากให้หญิงสาวใช้โอกาสครั้งที่สองอย่างคุ้มค่าที่สุด
หญิงสาวขมวดคิ้ว เธอแทบไม่อยากเชื่อว่านี่ไม่ใช่ความฝัน จือหลินไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางมาก่อน สิ่งลี้ลับต่าง ๆ ถือเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับเธอ แต่ตอนนี้เธอกลับชื่อสนิทใจว่าเรื่องลึกลับนั้นมีอยู่จริง
หญิงสาวทำความเข้าใจกับสิ่งที่จดหมายนั้นพยายามจะบอกเธอ ในจดหมายบอกรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเธอทุกอย่าง หญิงสาวรู้ว่าเธอนั้นมีพี่ชาย 1 คนและน้องชายอีก 1 คน อาศัยอยู่กับป้าสะใภ้และย่าที่ไร้คุณธรรม อ่านถึงตรงนี้หญิงสาวก็ได้แต่ถอนหายใจหนัก ๆ ดูเหมือนว่าชีวิตครั้งที่สองของเธอก็ไม่ได้ง่ายนัก
ทั้งในจดหมายยังบอกอีกว่าเธอจะได้รับบางสิ่งบางอย่างจากมิติ แต่ไม่ได้บอกว่าคืออะไร
ในส่วนสุดท้ายจดหมายนี้ได้บอกประวัติเกี่ยวกับน้องชายและพี่ชายของเธอคร่าว ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ลงรายละเอียดมากนักทั้งยังไม่มีชื่อแซ่ของทั้งสอง
แม้ว่าชีวิตนี้จะไม่มีพ่อแม่ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ยังมีพี่และน้องที่จะร่วมฝ่าฟันความลำบากไปกับเธอด้วย หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้นเฝ้ารอคอยที่จะได้เจอหน้าคนทั้งสอง
“พวกเขาจะหน้าตาเป็นยังไงนะ”
หญิงสาวพึมพำกับตัวเองเบา ๆ มิติหายไปแล้ว จดหมายที่เธออ่านเมื่อครูก็หายไปด้วย หญิงสาวไม่กล้าที่จะเปิดมิติบ่อย ๆ เพราะในคู่มือบอกไว้ว่าให้เปิดยามจำเป็นเท่านั้น หากไม่ถึงเวลาที่จำเป็นจริง ๆ มิติจะไม่เปิดให้เธอ
จือหลินรู้สึกว่าผมเท่าของเธอนั้นดูรุงรัง ถึงใช้มือสางเพื่อจัดระเบียบ แต่ดูเหมือนว่ามันจะเหนียวจนสางออกจากกันไม่ได้ หญิงสาวนึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างนี้ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้อาบน้ำสระผมมานานมาก ทั้งยังถูกทิ้งให้อยู่ในห้องมืด ๆ คนเดียวอีก
จือหลินเปิดไฟสว่างไสว ก่อนที่เธอนั้นจะเริ่มสำรวจห้องที่อาศัยอยู่ เริ่มแรกหญิงสาวลงมือจัดเสื้อผ้าให้เป็นระเบียบ ก่อนจะเก็บเรียงใส่ลังกระดาษเอาไว้