ว่าที่คู่หมั้น #1
ร่างสูงของจักราเทพ หรือ จัมพ์ ชายหนุ่มอายุสามสิบปีกำลังยืนจิบกาแฟในยามเช้าก่อนจะไปทำงานตามตารางชีวิตที่ได้วางไว้ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองรถราบนท้องถนนที่ขับขี่ด้วยความวุ่นวาย อีกทั้งยังติดกันเป็นทิวแถวแลดูแออัด ก่อนจะมองนาฬิกาที่ข้อมือแล้ววางแก้วลงบนโต๊ะ จากนั้นเขาจึงสวมสูทเดินออกจากเพนต์เฮาส์
การจราจรในช่วงเช้านี้ทำเอาจักราเทพถอนหายใจ ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววเบื่อหน่าย ผมสีดำขลับถูกสางขึ้นอย่างหงุดหงิด กว่าจะมาถึงคลินิกทำฟันเจแอนด์พีของตนก็เลยเวลาเข้างานไปหลายนาที
“สวัสดีค่ะหมอจัมพ์” พนักงานหญิงยกมือไหว้ทักทายในขณะที่เขาเปิดประตูเข้ามา เขาเพียงพยักหน้าตอบรับแล้วตรงดิ่งเข้าไปยังห้องด้านใน เอกสารบางส่วนถูกวางอยู่บนโต๊ะสำหรับรอให้เขาเซ็น
“บอสรับอะไรไหมครับเช้านี้” ผู้ช่วยส่วนตัวเดินเข้ามา พร้อมกับวางเอกสารกองหนึ่งไว้ตรงหน้า
“ไม่ดีกว่า” จักราเทพปฏิเสธพร้อมเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อทำงาน จากนั้นผู้ช่วยส่วนตัวของเขาจึงแจ้งรายละเอียด
“บ่ายโมงท่านประธานเรียกพบบอสที่ห้องประชุมสำนักงานใหญ่นะครับ”
“อืม” ชายหนุ่มครางรับในลำคอพอ เห็นดังนั้นชโลธรจึงหมุนตัวเดินออกจากห้องไป
ในช่วงพักกลางวันจักราเทพวางงานลงบนโต๊ะแล้วขับรถไปที่สำนักงานใหญ่เจแอนด์พีกรุ๊ป เขาเดินเข้าไปภายในอาคารสูงตระหง่านแล้วตรงไปที่ลิฟต์ซึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนกอดแฟ้มสีเงินอยู่ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของเธอจดจ้องแผ่นหลังกว้างของเขาจนรับรู้ได้ เขามองเธอผ่านภาพสะท้อนของเหล็กที่สะท้อนแสงวาววับ เห็นลาง ๆ ว่าเป็นผู้หญิงผมยาวตัวเล็ก
“จะจ้องอีกนานไหมครับ” จักราเทพเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ เขาไม่ชอบให้ใครมาจ้องมองด้วยสายตาแบบนี้เลย
“เอ่อ…” เธออ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี เขาถอนหายใจแล้วถามต่อว่า
“เป็นพนักงานของบริษัทในเครือนี้ใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“อยู่ฝ่ายอะไร”
“โรงแรมฝ่ายการตลาดค่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง
จักราเทพปรายตามองเธอแวบหนึ่งก่อนลิฟต์จะเปิด เขาเดินออกไปพร้อมกลิ่นน้ำหอมที่ทำให้เธอปั่นป่วน นัยน์ตากลมโตทอดมองตามแผ่นหลังกว้างจนกระทั่งประตูเหล็กหนาปิดลงอีกครั้ง จากนั้นลัลลนาจึงเม้มปากอมยิ้มออกมา
“ลัลลนา เครือจินดา” ชายสูงวัยเอ่ยชื่อนั้นขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงัดภายในห้องประชุมที่ว่างเปล่าไร้ซึ่งบรรดาหุ้นส่วน มีเพียงลูกชายคนเดียวที่นั่งไขว่ห้างอยู่ฝั่งตรงข้ามกอดอกมองวิวด้านนอกเท่านั้น ใบหน้าคมสันเคร่งขรึมดูไม่สบอารมณ์ตลอดเวลา “เธอคนนี้ทั้งสวยทั้งเก่ง อีกอย่างฉลาดเป็นกรด สามารถทำให้โรงแรมในเครือเราถูกจองเต็มจนไปถึงปีหน้า ทะลุเป้าหมายที่เราตั้งไว้ได้”
จักราเทพเลิกคิ้วขณะฟังผู้เป็นพ่อพูด ดวงตาคู่คมเหลือบมองภาพบนจอด้วยความสนใจเมื่อเห็นเขาชื่นชมเจ้าของนามลัลลนาไม่หยุดเสียจนอยากรู้ว่าเธอเป็นใคร
ทันทีที่เห็นภาพในจอจักราเทพก็จำได้ทันทีว่าเธอคือผู้หญิงคนเดียวกันกับที่เขาเจอในลิฟต์วันนี้ เธอคงจะไม่พ้นเข้าหาเขาเพราะเงินสินะ… ก็เขาน่ะมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยระดับต้น ๆ ของประเทศเชียว อีกทั้งยังเป็นเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังและเครืออุปกรณ์ทางการแพทย์อีกด้วย แล้วไหนจะยังมีโรงแรมห้าดาวอีกหลายแห่ง จึงไม่แปลกที่จะมีหญิงสาวเข้าหาเขาเพราะเรื่องพวกนี้ ทว่าคนอย่างเขาก็ไม่คิดจะสนใจผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น เพราะเขาหวงความโสดเสียยิ่งกว่าอะไร
“ทำไมพ่อต้องเอารายชื่อพนักงานมาให้ผมดูด้วยครับ” จักราเทพถามขึ้นมาหลังจากนั่งฟังมานาน
“อีกหน่อยแกก็จะขึ้นเป็นประธานแทนฉัน ฉันอยากให้แกทำความรู้จักกับพนักงานพวกนี้ไว้เพราะพวกเขาช่วยให้บริษัทเราเจริญเติบโตอย่างมั่นคง”
ชายหนุ่มส่ายหัวไปมา พร้อมจิ๊ปากอย่างขัดใจก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องประชุมไปโดยไม่กล่าวลาคนเป็นพ่อเลยสักคำ เขารู้สึกหงุดหงิดและเสียเวลาไปมากกับการที่ต้องมานั่งฟังเรื่องไร้สาระ ตำแหน่งพวกนั้นเขาไม่อยากได้สักนิด ต้องมาคอยนั่งฟังคำพูดคนแก่หัวโบราณประจบประแจงเอาใจ ไหนจะพวกชอบตีสองหน้าเข้าหาเพราะต้องการผลประโยชน์อีก… ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งไม่ชอบใจ
มือหนาเสยผมสีดำขลับอย่างหงุดหงิด ชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว จักราเทพไม่ต้องการให้ใครมาบังคับกฎเกณฑ์ชีวิต เขาแค่อยากใช้ชีวิตธรรมดา ๆ ที่ไม่ต้องวุ่นวายอะไรกับใครก็เท่านั้น
ช่วงเย็น จักราเทพมีนัดกับคนไข้รายหนึ่งที่มีอาการปวดฟันมาก หลังจากรักษาเสร็จเขาก็ให้คำแนะนำในการดูแลช่องปาก ช่วงเวลานี้เขาตกอยู่ในภวังค์ของการทำงาน แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาภายในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวสะอาดตา นัยน์ตาคมกริบผละจากหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วเลื่อนเก้าอี้มาคว้าโทรศัพท์พร้อมกับกดรับ
“สวัสดีครับ”
(จัมพ์ คืนนี้มาทานข้าวที่บ้านสิลูก ไม่ได้กลับมาอาทิตย์หนึ่งแล้วนะ) เสียงปลายสายของผู้เป็นมารดาเอ่ยขึ้นคล้ายขอร้องมากกว่าชักชวน
ชายหนุ่มมองนาฬิกาที่ข้อมือแวบหนึ่งก่อนจะตอบ
“ครับ ประมาณทุ่มครึ่งผมจะเข้าไป” จากนั้นจึงวางสายแล้วกลับมาทำงานต่อ