“พี่ขอสักพวงได้มั้ยครับ” เขาถามเธอ
“เอาสิลูก! .ยัยขิมน่ะร้อยสวยพอๆ กับย่าตอนสาวๆ เลยล่ะ” คุณพร้อมรีบตอบแทน
“ขอบคุณครับคุณย่า แต่แหม! คนร้อยเขายังไม่ตอบเลยนะครับ”
เขาแหย่ พร้อมทั้งดวงตาฉายแววเป็นประกาย
“ได้ค่ะพี่หมอ! จะเอาไปฝากคุณป้าถวายพระด้วยมั้ยคะ พรุ่งนี้วันพระแล้ว”
เธอตอบในที่สุด แต่ก็ไม่ได้แสดงกิริยาที่พิเศษออกไปให้เขาเห็นนอกจากการแสดงออกของความนอบน้อมเหมือนทุกๆ ครั้งที่เธอแสดงให้เขาเห็น จนทำให้คุณพร้อมนั้นมองด้วยความไม่สบายใจนัก
“นี่ถ้าเป็นยัยขิมคนก่อนของเธอ ป่านนี้ คงจะร่าเริง พูดจาตอบโต้ปัญญาได้มากกว่านี้ แต่สำหรับยัยขิมคนปัจจุบันนี้ กลับกลายกันเป็นคนละคน เงียบ พูดน้อย ดูสุขุม จนออกจะคิดมากกว่าจะพูดอะไรออกมา หรือถ้าพูดก็จะไม่กล้าที่จะแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาให้ใครได้เห็น นอกจากท่าทางของคนที่เจียมเนื้อเจียมตัว ไม่ตอบโต้ หรือขัดแย้งในบางเรื่องที่ไม่เห็นด้วย แล้วนี่เมื่อไหร่ฉันถึงจะได้หลานสาวคนเดิมกลับมาสักที” คุณพร้อมนึกแล้วก็เหนื่อยใจ
“แต่พี่หมอต้องไปเก็บมะลิให้ขิมเพิ่มนะคะ เพราะคงจะไม่พอ” เธอบอก
“งั้นยัยขิมก็พาพี่เขาไปเก็บเถอะลูก เดี๋ยวย่าจะร้อยต่อให้” คุณพร้อมบอก
“ก็ได้ค่ะ! งั้นเดี๋ยวขิมมานะคะคุณย่า ไปค่ะพี่หมอ”
เธอพูดพร้อมมือถือตะกร้าหวายเล็กๆ ที่มีขันเงินใบจ้อยใส่เอาไว้แล้ว พร้อมเดินหายไปที่สวนมะลิ โดยมีปัญญาเดินตามหลังไป
“ดอกมะลิหอมจริงๆ นะครับ” เขาพูดขณะมือก็ถือตะกร้าให้เธอ โดยมีเทียมหทัยนั้นเป็นคนเก็บ
“ค่ะ! เขาถึงได้นิยมเอามาเป็นสัญลักษณ์วันแม่ไงคะ และถ้าเป็นตอนเช้าตรู่ยิ่งจะส่งกลิ่นหอมมากกว่านี้ค่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบ
“ตอนนี้ขิมกับเจ้าปลายเป็นยังไงบ้างครับ”
เพราะพอจะรู้ว่าปลายนั้นไม่ค่อยจะชอบเธอเท่าไหร่ เพราะปลายมักจะบ่นเรื่องนี้ให้เขาฟังเมื่อยามนัดสังสรรค์กัน
“ก็ไม่มีอะไรค่ะ พี่ปลายเขาก็ดีค่ะ คอยสอนงานให้ขิมดี เวลาที่ทำผิดพี่เขาก็จะบอกบ้าง ดุบ้างนิดหน่อยค่ะ แต่ก็ไม่หนักอะไรค่ะ พี่หมอถามทำไมคะ”
เธอตอบไปทั้งๆ ที่ ในใจนั้นรู้ดีว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้นแม้แต่น้อย
“พี่ดีใจนะที่ได้ยินขิมพูดแบบนี้ เจ้าปลายมันไม่มีอะไรหรอก มันเป็นคนดี แต่จะเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บความรู้สึกเก่ง แต่มันเป็นคนที่มีความยุติธรรมนะ ปกครองลูกน้องด้วยใจเป็นธรรม พวกฝรั่งที่เคยทำงานกับมันตอนที่ทำอยู่เมืองนอกยังเล่าให้พี่ฟังเลย” เขาบอกขณะเดินตามเธอไปเรื่อยๆ
“ค่ะ! พี่หมอสนิทกับพี่ปลายมากมั้ยคะ”
เธอถามไปเรื่อยๆ เพราะไม่รู้จะเอาอะไรมาคุย เพราะดูเหมือนว่าปัญญานั้นจะชมเขามาก ซึ่งตรงกันข้ามกับความรู้สึกของเธอโดยสิ้นเชิง
“ก็แทบจะตั้งแต่เกิดเลยครับ เพราะพ่อแม่เราสองคนเป็นเพื่อนกัน เมื่อตอนเด็กๆ เราสามคนวิ่งเล่นกันทั้งวันเลย เจ้าปลายมันชอบแกล้งยัยขิมตลอดเลย แต่พอน้องร้องไห้มันก็มาง้อยัยขิม และยกขนมส่วนที่เป็นของมันให้ยัยขิมหมดเลยนะ แล้วมันก็มาแย่งกับพี่แทน” ปัญญาเล่าด้วยดวงตาที่เปี่ยมด้วยความสุขเมื่อนึกถึงวัยเด็ก
“พี่ปลายคงจะรัก! เอ่อ...คุณขิมมากๆ เลยนะคะ” พลอยนึกไปว่า
“ถ้ายัยขิมคนนั้นไม่มีอันเป็นไป เธอก็คงจะไม่มีโอกาสได้มายืนแทนที่อยู่ตรงนี้ได้เลย ใช่สินะเขาคงจะรักน้องเขามากๆ พอมีเธอมาแทนที่เขาถึงได้เกลียดเธอมากขนาดนี้ แล้วนี่เธอจะต้องทำยังไงถึงจะทำให้เขาลืมยัยขิม แล้วมีเธอเข้าไปแทนที่เหมือนทุกๆ คนในบ้าน” เทียมหทัยคิดแล้วก็ท้อใจไม่น้อย
“อุ๊ย! พี่หมอคะ งูค่ะ โน่นค่ะวิ่งไปทางโน้นแล้วค่ะ”
เธอต้องตกใจเมื่อเห็นงูเขียวตัวเล็กๆ ที่เกาะอยู่ต้นมะลิ จนทำให้เธอนั้นต้องวิ่งไปเกาะแขนปัญญาโดยอัตโนมัติ จนทำให้เขานั้นนึกขำในทีกับอาการกลัวงูของเธอ และเขาก็อดหัวเราะไม่ได้
“ก็ขำขิมไง งูน่ะมันไม่มีขาให้วิ่งนะ เขาเรียกว่ามันเลื้อยไป แล้วงูก็เป็นแค่งูเขียวตัวเล็กนิดเดียวเอง มันไม่ทำอะไรคนหรอกจ้ะ โน่นเห็นมั้ยมันกลัวเราใหญ่แล้ว ไปโน่นแล้ว” เขาพูดขำๆ
“มีอะไรกันวะเจ้าหมอ เอะอะเสียงดังไปโน่นเลย” ปลายทักเมื่อเขาและบังอรเดินมาสมทบ
“ก็ขิมนะสิ กลัวงูเขียวตัวนิดเดียว ดูสิยังไม่หายกลัวเลย”
ปัญญาบอกเขา พร้อมทั้งส่งสายตาให้เขามองที่มือสองข้างของเธอที่ยังเกาะอยู่ที่แขนของเขาแน่นไม่ยอมปล่อย จนทำให้เทียมหทัยนึกขึ้นได้ เลยรีบปล่อยมือจากแขนเขา
“โถยัยขิมงูตัวนิดเดียวเองนะไม่ต้องกลัวหรอกนะ โถ! ขวัญมานะน้องพี่” ปลายแกล้งพูดพร้อมทั้งเข้าไปโอบไหล่เธอ แสดงอาการรักและเป็นห่วงให้ปัญญาเห็น
“ขิม! กลัวงูมากเหรอครับ” ปัญญาถาม
“ค่ะ ขิมกลัวงูทุกชนิดค่ะ” เธอตอบ ขณะที่มือเขายังคงโอบอยู่ที่ไหล่เธอ ซึ่งทำให้เธอนั้นรู้สึกอึดอัดไม่น้อย
“ใช่ค่ะคุณหมอ คุณขิมกลัวงูทุกชนิดจริงๆ ค่ะ แม้แต่งูปลอม หรืออะไรก็แล้วแต่ที่มีลักษณะคล้ายๆ งูก็กลัวค่ะ ป้าจำได้เมื่อเด็กๆ นะคะ ตอนที่ไปโรงเรียนมีเพื่อนคนหนึ่ง แกล้งเอางูยางมาซุกในกระเป๋า พอคุณขิมเจอเข้าเท่านั้นล่ะค่ะ วิ่งป่าราบเลยค่ะ ป้ากับคุณณี! .วิ่งจับแทบไม่ทัน แถมสั่งเด็ดขาดนะคะว่าให้เอางูไปเผาห้ามเอามาไว้ในบ้านอีกค่ะ ป้านี้ข้ำขำ” บังอรเล่าด้วยอาการขำจริงๆ