“ลุงกับป้าจะยกไร่ที่กาญจน์ให้ยัยขิมดูแลและเป็นสมบัติติดตัว เพราะยัยขิมชอบปลูกต้นไม้ และอีกอย่างยัยขิมเองก็บ่นว่าอยากจะไปอยู่ที่ๆ สงบมากกว่าอยู่ในเมือง แล้วจะไม่มีปัญหาเหรอเวลาแต่งงานแต่งการกันไป” กรรชัยบอกเขา
“ผมก็แล้วแต่ขิมเขาครับว่าจะยังไง อะไรที่ทำให้ขิมมีความสุขผมก็ยินดีที่จะทำครับคุณลุง”
เขาบอกด้วยความหนักแน่น ซึ่งทำให้ทั้งกรรชัยและพรรณีนั้นหันมายิ้มให้กันด้วยความสุข สมกับที่ทั้งสองคนหวังเอาไว้และมองว่าปัญญาคือคนที่เหมาะสมที่จะดูแลเทียมหทัยต่อจากพวกเขานั่นเอง
“ไปไหนกันหมดจ้ะแม่อรบ้านเงียบเชียบเชียว”
ภัคคินีถามบังอร หลังจากจอดรถและเดินเข้ามาบ้านกรรชัย พร้อมกับภาวินีและสุชาดา ก็พบว่าบ้านนั้นเงียบเชียบ
“คุณผู้หญิงและคุณผู้ชายไปงานเลี้ยงค่ะ ส่วนคุณท่านกำลังหลับอยู่ที่เรือนค่ะ” บังอรบอกด้วยความนอบน้อม
“แล้วหลานฉันล่ะ”
“คุณปลายยังไม่กลับจากที่ทำงานค่ะ เชิญข้างในก่อนนะคะ จะรับอะไรดีคะ อรจะได้ให้เด็กเตรียมมาให้” บังอรถามตามมารยาท
“ขอน้ำส้มคั้นเย็นๆ ก็แล้วกันนะแม่อร แล้วก็ทำอาหารเย็นเผื่อเราด้วยนะวันนี้เราจะมากินข้าวกับตาปลายไปลูกเข้าบ้านกันวันนี้ร้อนจริงๆ”
ภัคคินีบ่นไม่ยอมหยุดแล้วก็เดินไปนั่งที่ชุดรับแขก ส่วนบังอรนั้นรีบเลี่ยงไปในครัวเพื่อหาอะไรมาต้อนรับ และเธอก็เอือมระอากับภัคคินีเต็มทีแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเธอรู้ตัวดีว่าฐานะเธอนั้นคืออะไร จะสงสารก็แต่เทียมหทัยเท่านั้น เพราะทุกๆ ครั้งที่คนพวกนี้มาที่นี่ทีไร ปลายก็จะมีอาการฉุนเฉียวใส่เธอตลอดเวลา มาครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องอะไรอีก
“คุณอามานานหรือยังครับ ผมเห็นรถจอดอยู่” ปลายทักทายหลังจากที่เอารถจอดที่โรงรถก็รู้ว่าใครมาหาเขา
“ตาปลายหลานอา พวกเราเพิ่งจะมาถึงจ้ะ เห็นปลายยังไม่กลับมาก็เลยจะมานั่งรอข้างใน วันนี้อาขอฝากท้องด้วยนะจ้ะ” ภาวินีรีบตอบ
“ยินดีครับแต่วันนี้คุณพ่อคุณแม่ไม่อยู่นะครับไปงานเลี้ยง” เขาบอก
“อารู้แล้วจ้ะ แม่อรบอกแล้ว”
“ว่าไงเรา ไหนบอกจะไปทำงานกับพี่ไง ไม่เห็นจะไปเลย หรือว่าขี้เกียจแล้ว” เขาทักสุชาดา
“ก็เรื่องนี้แล่ะที่อามาหาเราน่ะ ว่าจะให้ปลายช่วยฝึกงานให้น้องด้วย แต่ต้องเอาตำแหน่งสูงๆ หน่อยนะอาไม่อยากให้น้องไปให้คนอื่นใช้งานน่ะจ้ะ”
ภัคคินีรีบบอกวัตถุประสงค์ทันที
“ได้สิครับ”
เขาปลดเน็คไทออกจากคอและยื่นให้เด็กรับใช้เอาไปเก็บพร้อมกระเป๋าและเสื้อนอก
“แม่ขิมไปไหนกันล่ะนี่ เห็นบอกขาแข้งหักไม่ใช่เหรอ” ภาวินีรีบถามบังอรทันทีที่เธอยกเครื่องดื่มมาเสริฟ
“คุณขิมไปโรงพยาบาลค่ะ คุณหมอมารับไปตั้งแต่เที่ยงแล้วค่ะ เดี๋ยวก็คงจะกลับ” บังอรรีบบอก
“คุณปลายจะรับเบียร์เย็นๆ มั้ยคะ ป้าให้เด็กแช่ไว้ให้แล้ว”
“ป้าอรรู้ใจผมอีกแล้ว”
เขาส่งยิ้มหวานให้บังอรเพื่อบอกความประสงค์และขอบคุณในที ซึ่งท่าทางแบบนี้บังอรนั้นคุ้นตามาตั้งแต่เขายังเล็ก เพราะเธอก็เปรียบเสมือนแม่คนที่สองของเขา เพราะเลี้ยงเขามาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ซึ่งเขาเองก็ให้ความเคารพเธอในระดับหนึ่งเหมือนกัน
“ดูสิขนาด เดินไม่ได้มันยังอุตส่าห์ใช้มารยาเรียกพ่อปัญญาให้มาติดกับมันจนได้นะ” ภาวินีเริ่ม
“ยายสุทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้เดี๋ยวนังขิมมันก็คาบไปหมดหรอก” ภัคคินีบ่นลูกสาว
“ก็สุไม่ชอบวิ่งไล่จับผู้ชายนี่คะคุณแม่ ถ้าพี่หมอเขาไม่ได้สนใจสุก็ช่างเขาสิคะ จริงมั้ยคะพี่ปลาย” ลูกประชดนิดๆ และหาคนสมทบ
“ผมว่าก็จริงเหมือนที่ยายสุว่านะครับ ผู้ชายถ้าเขาจะสนน่ะไม่ต้องวิ่งไปหาหรอกครับเดี๋ยวเขามาเอง” เขาเห็นด้วย พร้อมทั้งยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบ
“ก็มัวแต่คิดอย่างนี้น่ะสิแม่นั่นถึงได้ยังลอยนวลอยู่นี่ไงล่ะ ทำไมมันไม่เป็นพิการให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยนะ เป็นอานะตาปลาย อาจจะตัดสายเบรกเลยล่ะ” ภาวินีพูดเหมือนกับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นว่าเป็นหนึ่งในแผนกำจัดผู้ที่เธอเกลียดชังยิ่งนัก
“เอ่อ! ว่าแต่ปลายทำยังไงล่ะมันได้ถึงเป็นแบบนี้ บอกอาบ้างสิจ้ะ อานี่อยากรู้จะแย่แล้วนะ” ภัคคินีถามเพราะอยากรู้
“ก็ไม่มีอะไรครับ ผมไม่ได้ทำอะไรมากมายเลย ที่เป็นมากขนาดนี้ก็เพราะแม่นั่นทำกรรมเอาไว้กับคนอื่นต่างหากครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ชิงชังยิ่งนัก
“สงสัยจะมาแล้วมั้งเสียงรถมาแล้วนี่”
ภัคคินีรีบบอก ปลายรีบลุกขึ้นเดินไปที่หน้าบ้าน และทั้งหมดก็เดินตามเขาออกมา ภาพที่เขาเห็นนั้นก็คือปัญญากำลังอุ้มหญิงสาวลงจากรถเพื่อให้มานั่งที่รถเข็นแทน เขาเองก็บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงไม่ชอบใจกับภาพที่เห็นนัก แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรได้แต่ยืนดูเพื่อนรักบรรจงวางร่างบางๆ ลงไปไว้ในรถอย่างทะนุถนอม
“หมั่นไส้จริงๆ เลย” สุชาดาพูดก่อนที่จะกลับเข้าไปข้างในเพราะไม่อยากเห็นภาพบาดตาบาดใจนั้นนาน ปัญญาเข็นรถเทียมหทัยเข้ามาหาทุกๆ คนที่ยืนดูเขาอยู่
“สวัสดีครับคุณอาภัคอาภา” เขาไหว้ทั้งสองด้วยความนอบน้อม
“สวัสดีค่ะอาภัคอาภา” เธอกล่าวทักทายด้วยความนอบน้อม เพราะไม่สามารถยกมือไหว้ได้เพราะแขนอีกข้างที่เข้าเฝือกอยู่นั่นเอง ซึ่งสภาพของเธอนั้นก็ค่อนข้างจะชินตากับปลายเข้าไปทุกวันแล้วตั้งแต่เกิดเรื่อง เพราะเทียมหทัยแทบจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย จะไปไหนมาไหนก็ต้องมีคนคอยช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด
แต่เขาก็ไม่ห่วงเท่าไหร่เพราะปัญญาจะมาขลุกอยู่กับเธอแทบจะทุกวัน ทันทีที่เขาว่างจากงานเขาจะคอยมาบริการในทุกๆ เรื่อง และปัญญานั้นต้องอุ้มเธอขึ้นไปส่งที่ห้องนอนโดยมีทั้งพ่อแม่และย่าของเขานั้นคอยเปิดโอกาสให้ปัญญาได้ทำอะไรอย่างสะดวก ซึ่งเขาเองรู้สึกไม่พอใจอย่างบอกไม่ถูก ส่วนเขาก็จะต้องช่วยอุ้มลงมาจากด้านบนในตอนเช้าหรือตอนที่ปัญญาไม่ได้มานั่นเอง