พรเพ็ญยังไม่ทันได้โต้ตอบ พิมพกานต์ก็พูดสวนแทนทันควัน
“ไม่ต้องมาพูดว่าเคยเป็นเพื่อนกับแม่ฉันมาก่อน เพราะถ้ากลับไปแก้ไขได้ แม่คงไม่รับพวกแกสองแม่ลูกเข้ามาอาศัยอยู่ด้วยหรอก พวกกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา คนไม่รู้จักบุญคุณคน” หญิงสาวไม่เรียกอีกฝ่ายว่าน้าอย่างที่เคยเรียกให้เสียปาก
คนถูกว่าเต้นเร่าเพราะเรื่องที่อีกฝ่ายพูดเป็นเรื่องจริง “นังแพง แกนี่ไม่มีมารยาทพอๆ กับน้าของแกเลยนะ ยังไงฉันก็เป็นเมียของพ่อแกนะ”
“เมียพ่อแต่ไม่ใช่แม่ฉัน แล้วคนที่เข้ามาทำลายครอบครัวคนอื่น ฉันไม่ต้องมีมารยาทด้วยหรอก”
ขวัญใจเหยียดยิ้มแล้วมองไปทางที่ตั้งศพอีกครั้งด้วยสายตาเยาะหยัน “ฉันไม่ได้ทำลาย แม่แกต่างหากไม่มีเสน่ห์เพียงพอ ตายไปเสียได้ก็ดี...ว้าย!”
พูดยังไม่ทันจบก็ต้องร้องว้ายออกมาสุดเสียง เพราะพรเพ็ญคว้าขันใส่น้ำแข็งใบไม่เล็กนักที่วางอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ สาดโครมเข้าให้ที่ศีรษะ และเสียงร้องนั้นทำให้นางลิ้นจี่ ปิ่นประภา รวมทั้งสุพัฒน์ที่เพิ่งกลับมาจากวัดที่อยู่ใกล้ๆ พากันเดินตรงรี่เข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น”
นางลิ้นจี่เป็นฝ่ายถาม แล้วเกือบหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นลูกสะใภ้คนปัจจุบันที่มีสภาพเปียกปอนยืนตัวสั่นเทาจากน้ำแข็งที่หล่นเกลื่อนอยู่บนพื้น ก่อนจะเหลียวมองไปรอบๆ นอกจากชาวบ้านมาช่วยงานที่ส่วนใหญ่อยู่ในครัว ก็มีญาติๆ ทั้งของผู้ตายและทางฝ่ายของนาง แล้วจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก ด้วยไม่อยากให้ใครมาเห็นเหตุการณ์ เพราะเรื่องแบบนี้พูดกันปากต่อปาก อาจมีการแต่งต่อเติมเพิ่มความยาวสาวความยืดกันไปซึ่งไม่ใช่เรื่องดีนัก
“นัง...เอ้อ...ยายเพ็ญกับลูกสาวพี่พัฒน์สิแม่ ขวัญอุตส่าห์มางานศพดีๆ แต่ดูทำกับขวัญสิ” ขวัญใจยกมือชี้ที่ร่างกายเปียกปอนของตัวเอง พลางยกมือกอดอกเพราะความหนาวเย็นจากน้ำแข็งที่ถูกสาดใส่ โดยมีบุตรสาวพยักพเยิดอยู่ข้างๆ
“ใช่จ้ะย่า ป้าภา หนูสมกับแม่มางานด้วยเจตนาดี แต่ดูทำกับเราสองคนสิ....”
สมใจปรารถนาพูดยังไม่ทันจบ พรเพ็ญก็พูดสวนขึ้นด้วยน้ำเสียงกรุ่นไปด้วยความโกรธ
“ตกลงว่าแกสองคนแม่ลูกมาดีกันจริงๆ เหรอ ฉันเพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้เค้าใส่เสื้อผ้าลายดอกมางานศพกัน จะได้จำเอาไว้ใส่ไปงานศพของแกบ้าง”
นางลิ้นจี่เพิ่งสังเกตเห็นชุดของสองแม่ลูกตอนที่ได้ยินพรเพ็ญพูด จึงหันไปมองหน้าบุตรสาวกับบุตรชายพลางส่ายหน้าอย่างระอาใจ นึกสมน้ำหน้านักที่ถูกกระทำเช่นนี้
“ก็สมแล้วนะที่ถูกทำแบบนี้ ไม่รู้จักอายใครบ้างหรือไงที่แต่งเสื้อผ้าแบบนี้มางานศพ” ปิ่นประภาว่าน้องสะใภ้ราวกับรับรู้ความในใจของนางลิ้นจี่ผู้เป็นแม่
“กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้ขวัญใจ หรือถ้าไม่เต็มใจมาก็ไม่ต้องมา” สุพัฒน์พูดเสียงเข้ม สีหน้าเจือไปด้วยร่องรอยของความอับอายบวกกับโทสะที่เกิดขึ้น นี่แหละภรรยาใหม่ของเขาที่ตอนนั้นไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงหน้ามืดตามัวไปยุ่งด้วย คิดตอนนี้ก็สายเสียแล้ว
“อายุไม่ใช่น้อยแล้ว ทำอะไรไม่คิดก่อน” นางลิ้นจี่ว่าเข้าให้อีกคน
“เมียใหม่กับลูกเลี้ยงพี่พัฒน์คงจะคิดว่าการสวมใส่ชุดลายดอกมางานศพทำให้ตัวเองรู้สึกสะใจ แต่แกสองคนลองเหลียวมองไปรอบๆ ตัวสิว่าคนอื่นเค้ามองพวกแกด้วยสายตายังไงบ้าง” พรเพ็ญพูดเสียงดัง จงใจเรียกความสนใจจากชาวบ้านที่เวลานี้เริ่มทยอยกันมาร่วมงานบ้างแล้วแม้จะเพิ่งบ่ายสองโมงก็ตาม
สองแม่ลูกที่ตอนนี้มีสีหน้าจืดเจื่อนพากันหันไปมองรอบกายตามโดยไม่รู้ตัว แล้วจึงเห็นสายตาหลายคู่จับจ้องมาด้วยสีหน้าไม่พึงพอใจ ซึ่งไม่ใช่แค่จากฝ่ายญาติของคนตายเท่านั้น แต่รวมถึงใครอื่นอีกหลายคนด้วย
“คือว่าหนูสมกับแม่ไปงานเลี้ยงมาค่ะ แล้วเลยแวะมางานศพ ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นเลยจริงๆ” สมใจปรารถนาพูดแก้ตัวเสียงอ่อย
“เลยแวะมานี่นะ?” พิมพกานต์ทวนคำ แล้วกวาดสายตามองคนพูดตั้งแต่หัวจดเท้าด้วยสายตาชิงชัง “ทั้งๆ ที่รู้ว่าที่นี่มีงานศพยังกล้าแต่งชุดแบบนี้เข้ามา สมองของแกที่มีคงเอาไว้แค่คั่นใบหูสองข้างเท่านั้นละมั้ง เก็บคำแก้ตัวข้างๆ คูๆ ของแกเอาไว้เถอะสมใจ และรีบออกไปจากงานก่อนจะโดนน้ำเป็นขันที่สอง ขันนี้คงไม่ใช่น้ำผสมน้ำแข็งอย่างที่แม่ของแกโดน แต่จะเป็นน้ำจากในส้วมจะได้เหมาะสมหน่อย”
พิมพกานต์พูดยังไม่ทันขาดคำ หญิงวัยกลางคนรูปร่างค่อนข้างอ้วนทว่าหน้าตาท่าทางเอาเรื่องก็เดินออกมาจากครัวถือน้ำขันใหญ่มายื่นให้
“นี่จ้ะน้องแพง ป้าตักมาให้เรียบร้อยแล้ว คนไม่รู้จักกาลเทศะแบบนี้สาดมันไปเลย หรือจะเปลี่ยนเป็นน้ำร้อนก็ได้เดี๋ยวป้าจัดให้”
“ขอบคุณจ้ะป้าน้อย” หญิงสาวขอบคุณแน่งน้อยที่เป็นเพื่อนของมารดา
ไม่ต้องรอให้พูดซ้ำสอง ขวัญใจรีบคว้าแขนบุตรสาวแล้วเดินจ้ำอ้าวตรงไปยังรถยนต์ของตัวเองที่จอดอยู่และขับออกไปทันที
“น้องแพง พ่อขอโทษแทนด้วยนะลูก” นาวาเอกสุพัฒน์พูดกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงเจือแววอับอายเพราะการกระทำอันไม่เหมาะสมของภรรยาใหม่และลูกเลี้ยง
“แพงก็ขอโทษที่แสดงกิริยาไม่ดีกับเมียใหม่ของพ่อ แต่แพงบอกตรงๆ ว่าคงจะทำดีด้วยยาก” พิมพกานต์บอกออกไปตรงๆ แม้ความรู้สึกที่มีต่อบิดาจะดีขึ้นจนเกือบจะเต็มร้อยแล้ว แต่กับขวัญใจ...เธอคงจะทำใจให้ดีต่ออีกฝ่ายด้วยยาก
“ไม่เป็นไรหรอกลูก” คนเป็นบิดาส่ายหน้าแล้วก็นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะตัดสินพูดเรื่องที่คิดตรึกตรองไว้อยู่ในใจ “ที่ผ่านมาพ่อทำผิดกับแม่อย่างไม่น่าให้อภัย ถึงแม้จะสายจนแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่คิดไว้แล้วว่าหลังงานศพ พ่อจะบวชให้แม่ ซึ่งคงทำให้ความรู้สึกของพ่อดีขึ้น”
พิมพกานต์ไม่พูดอะไร ได้แต่ยืนน้ำตาคลอแทน
“แม่เห็นด้วยนะพัฒน์” นางลิ้นจี่พูดน้ำเสียงดีใจ “ก่อนตาย ยายพิมพ์อโหสิให้แล้วและคงนอนตายตาหลับ แต่ถ้าแกบวช คนที่นอนตาไม่หลับแทนคงเป็นยายขวัญแน่”