“อ้าว น้าเพ็ญ แพงกำลังจะกดโทร. หาอยู่พอดี” คนเป็นหลานสาวทักพลางมองน้าสาวในชุดแต่งกายทะมัดทะแมงเป็นกางเกงยีน เสื้อเชิ้ตแขนยาวลายสกอต อีกฝ่ายมีอายุแก่กว่าเธอเพียงแค่เจ็ดปี เพราะเจ้าตัวเกิดตอนยายของเธออายุค่อนข้างมากแล้วเรียกว่าลูกหลง ปัจจุบันยังครองตัวเป็นโสดทั้งที่มีรูปร่างหน้าตาไปวัดตอนสายๆ ได้โดยไม่ต้องอายใคร “อย่าบอกนะว่าน้าเพ็ญมารอรับแพงอยู่นานแล้ว”
“อือ หลังจากวางสาย น้าก็ขับรถมารอเลย จะได้ไม่เสียเวลา” พรเพ็ญพยักหน้าที่แฝงแววอิดโรยราวกับคนพักผ่อนไม่เพียงพอ ทว่านัยน์ตากลับเปล่งประกายดีใจที่ได้พบเจอหลานสาวที่ไม่ได้พบหน้ากันมาหลายเดือน “น้าดีใจนะที่น้องแพงกลับมา รีบไปโรงพยาบาลกันเถอะ”
พูดจบก็คว้าแขนหลานสาวเดินลิ่วๆ ไปยังรถกระบะสี่ประตูที่จอดอยู่ด้านหน้าของสนามบิน ก่อนจะพารถพุ่งทะยานตรงไปยังโรงพยาบาลประจำจังหวัดจันทบุรีด้วยความเร็วสูง
“น้าเพ็ญ ค่อยๆ ขับก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนี้หรอกจ้ะ” พิมพกานต์บอกน้าสาวเมื่อเหลือบมองตัวเลขความเร็วบนหน้าปัดเรือนไมล์
“น้าอยากถึงโรงพยาบาลเร็วๆ” คนเป็นน้าบอก แต่ก็ค่อยๆ ลดความเร็วลง “อาการพี่พิมพ์ไม่ค่อยดีนัก หมอบอกว่าบ่ายนี้อาจต้องย้ายเข้าห้องไอซียู เพราะความดันโลหิตเริ่มต่ำผิดปกติจนต้องให้ยาเพิ่ม เกล็ดเลือดก็ต่ำ”
พิมพกานต์ฟังแล้วหน้าเสียลงทันควัน “แม่แค่ท้องเสียไม่ใช่หรือจ๊ะน้าเพ็ญ ดูจากอาการที่พูด ไม่น่าจะใช่ท้องเสียธรรมดา”
“น้าไม่เข้าใจเหมือนกันน้องแพง” พรเพ็ญพูดด้วยน้ำเสียงวิตกกังวลจนคนฟังสัมผัสได้ “พี่พิมพ์น่ะปกติแข็งแรงไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรกับใครเขา แต่จู่ๆ เมื่อตอนเย็นก็เกิดท้องเสียไม่หยุดจนถึงกับต้องหามส่งโรงพยาบาล ตอนแรกนึกว่าแค่ท้องเสียธรรดาเลยส่งแค่โรงพยาบาลประจำอำเภอ แต่อาการยังไม่ดีขึ้นน้าเลยตัดสินใจทำเรื่องย้ายเข้าโรงพยาบาลประจำจังหวัด แล้วถึงได้โทร. บอกน้องแพง”
คนเป็นน้าสาวยังคงติดปากเรียกหลานสาวด้วยคำนำหน้าว่าน้อง เหมือนที่เคยเรียกเมื่อสมัยเด็กๆ
“แล้วทำไมน้าเพ็ญไม่ย้ายไปโรงพยาบาลเอกชนล่ะจ๊ะ จะได้เฝ้าได้สะดวก”
พรเพ็ญชำเลืองมองหน้าหลานสาวแวบหนึ่ง “โรงพยาบาลประจำจังหวัดก็ดีจ้ะ เพราะเป็นโรงพยาบาลศูนย์ มีอาจารย์หมอเก่งๆ อยู่หลายคน”
เธอจำต้องพูดอย่างนี้ออกไป เพราะความจริงแล้วเธอติดต่อโรงพยาบาลเอกชนไป แต่ทางนั้นมองว่าอาการของพี่สาวหนักเกินไปเลยปฏิเสธ
“แล้วยายจะกลับวันไหนหรือจ๊ะ”
พิมพกานต์ถามถึงนางสาลี่ผู้เป็นยาย ที่หญิงสาวรู้จากมารดาที่โทร. มาหาเมื่อหลายวันก่อนว่าเจ้าตัวเดินทางไปเที่ยวเกาหลีกับบริษัททัวร์
“กลับวันพรุ่งนี้จ้ะ” พรเพ็ญบอกหลานสาวเสียงสั่น พลางคิดว่าเป็นการดีเหมือนกันที่มารดาซึ่งอายุเกือบจะเจ็ดสิบปีแล้วไม่อยู่เห็นอาการของพี่สาวเธอในตอนนี้
“อ๋อ” หญิงสาวพยักหน้ารับรู้ “แล้วพ่อล่ะ รู้หรือเปล่าว่าแม่อยู่โรงพยาบาล”
เมื่อได้ยินหลานสาวเอ่ยถึงอดีตพี่เขย พรเพ็ญก็หน้าตึงขึ้นทันที “น้าโทร. ไปบอกแล้ว บอกว่าถ้าจะมาเยี่ยมพี่พิมพ์ให้มาคนเดียวนะ ไม่ต้องพาเมียใหม่มาด้วย ไม่อยากพบไม่อยากเจอ เพราะถ้าเกิดหมั่นไส้ลืมตัวตบนังนั่นขึ้นมามันจะยุ่ง”
พิมพกานต์เม้มริมฝีปากอิ่มเข้าหากันแน่นเมื่อนึกถึงนาวาเอกสุพัฒน์ผู้เป็นบิดา ซึ่งเป็นข้าราชการทหารสังกัดหน่วยนาวิกโยธิน ที่ผ่านมาแม้จะได้ชื่อว่าเป็นคนเจ้าชู้แต่ไม่เคยมีใครเป็นตัวเป็นตน แต่ที่มารดาของเธอสุดจะทนรับไหวและเป็นฝ่ายขอหย่าก่อนตอนเธอกำลังจะจบมัธยมปีที่สี่ เพราะผู้หญิงที่เข้ามาเป็นมือที่สามและปัจจุบันเป็นภรรยาใหม่ของบิดาคืออดีตเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยที่เคยช่วยเหลือเกื้อกูล รวมทั้งให้ที่พักพิง แต่โดนอีกฝ่ายทรยศโดยการแย่งสามี
ตรงตามสำนวนไทยที่ว่ากินบนเรือนขี้รดบนหลังคาไม่มีผิด
ตอนทั้งคู่หย่าขาดจากกัน หญิงสาวต่อต้านสุดฤทธิ์แต่ไม่เป็นผล ลำพังบิดาน่ะไม่เท่าไหร่ เพราะมองดูแล้วไม่ได้ต้องการหย่าแต่อย่างใด ทว่ามารดาของเธอต่างหากที่ใจเด็ดและบอกกับเธอทั้งน้ำตาว่า
‘จำไว้นะน้องแพง ที่พ่อกับแม่เลิกกันเป็นเรื่องของเราสองคนเพราะอยู่ด้วยกันไม่ได้ พ่อสำหรับลูกคือผู้ให้กำเนิด อย่าโกรธอย่าเกลียดพ่อ แต่สำหรับแม่เมื่อเลิกกันแล้วคือคนอื่น เพราะพ่อทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจที่แม่เคยมีให้ ผู้ชายทรยศต่อเราแสดงว่าหมดรักในตัวเราแล้ว ดังนั้นเจอหน้าไม่ต้องมาทัก แม้ตายจากกันไม่ต้องมาเผาผี’
ตอนนั้นพิมพกานต์โกรธบิดามาก แม้อีกฝ่ายจะเฝ้าอธิบายและพูดพร่ำให้ฟังว่าไม่ได้ตั้งใจแต่เป็นเพราะความเมา ซึ่งเธอไม่ฟังเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น ขอย้ายโรงเรียนไปเรียนต่อในกรุงเทพฯ บวกกับตอนนั้นมีเหตุบางอย่างเกิดขึ้นเสริมเข้ามาเป็นแรงผลักดันด้วย ทำให้ตัดสินใจง่ายยิ่งขึ้น
“น้องแพง”
เสียงเรียกของน้าสาวทำให้คนที่ตกอยู่ในห้วงความคิดถึงเรื่องเก่าๆ สะดุ้งเฮือก
“ว่าไงจ๊ะน้าเพ็ญ”
“ทำไมเงียบไป ยังไม่หายโกรธพ่ออีกหรือ”
“เรื่องโกรธน่ะหายแล้วจ้ะ” พิมพกานต์ตอบตามความจริง ตอนแรกยอมรับว่าโกรธบิดามาก แต่ความรู้สึกดังกล่าวค่อยๆ จางลง อาจเป็นเพราะเมื่อเธอเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจึงเข้าใจชีวิตมากขึ้น เพราะแม้บิดาจะมีภรรยาใหม่และย้ายไปอยู่จังหวัดใกล้เคียงก็ยังไม่เคยลืมลูกสาวอย่างเธอ คอยหมั่นโทร. หาอยู่เสมอไม่ต่างจากมารดา คอนโดที่พักในปัจจุบันบิดาก็เป็นฝ่ายออกเงินซื้อให้ ส่วนรถคันหรูนั่นมารดาเป็นคนซื้อ แต่ความรู้สึกน้อยใจบวกแง่งอนยังคงหลงเหลืออยู่ไม่เสื่อมคลาย ทั้งน้อยใจแทนผู้เป็นแม่และจากความรู้สึกของตัวเองด้วย
“พูดอย่างนี้แสดงว่าหายโกรธอย่างเดียวละสิ” คนเป็นน้าสาวคาดเดาอย่างเข้าใจความรู้สึก “พี่พิมพ์สิ รายนั้นโกรธแรงเกลียดแรง บางครั้งน้านึกสงสารพี่พัฒน์อยู่เหมือนกัน เพราะแม่เราน่ะใจเด็ดนัก เจอกันจังๆ นอกจากไม่ทักทาย ยังมองผ่านยังกับพ่อเราเป็นอากาศธาตุ”
ทำไมพิมพกานต์จะไม่รู้ว่าผู้เป็นแม่นั้นใจเด็ดและใจแข็งเพียงใด
“น้าได้ข่าวจากป้าจี่ว่าพ่อน้องแพงจะย้ายกลับมาอยู่ใกล้บ้าน รับตำแหน่งรองเสนาธิการป้องกันชายแดนด้านจันทบุรีและตราดเดือนหน้า” คนเป็นน้าบอก
ป้าจี่ที่พูดถึงคือนางลิ้นจี่ผู้เป็นย่าของพิมพกานต์
“พ่อบอกกับแพงเหมือนกันจ้ะ”