“ไร้สาระ” เป็นประโยคติดปากของรติรส เมื่อถูกถามเกี่ยวกับความรัก หญิงสาวที่บ้างาน ในหัวของเธอมีแต่เรื่องงาน เงิน และชีวิตที่สุขสบายของตนเท่านั้น
“เพื่อนแต่งงานกันหมดแล้วนะ เหลือแกคนเดียว” ว่าน ว่าที่เจ้าสาวคนต่อไปของกลุ่มพูดขึ้นขณะที่ยื่นซองใส่การ์ดเชิญงานแต่งงานของตนเองให้กับเพื่อนสนิท
“ไม่เอาด้วยหรอก แค่นึกถึงตอนที่ต้องทำกับข้าวเอาใจ หรือทำงานบ้านโดยมีผู้ชายกระดิกเท้านั่งสบายๆ ฉันก็แหวะแล้ว”
“แกก็หาคนรวยๆ สิ แกจะได้ไม่ต้องเหนื่อยหาเงิน แล้วมีคนรับใช้ทำให้ทุกอย่าง ชี้นิ้วสั่งเป็นคุณนาย สบายไปทั้งชาติ” ว่านพูดแล้วพยักพเยิดไปทางจินเจตน์ เพื่อนร่วมรุ่นอีกคนที่ยังโสดอยู่
เขาเป็นชายร่างกำยำ ไม่อ้วนแต่ลงพุงหน่อยๆ เหมือนคนไม่ค่อยออกกำลังกาย ใส่แว่นตากรอบวงกลม ทรงผมปิดหน้าผากเหมือนคนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง และบ้านของเขามีฐานะร่ำรวย
“พอเลย ” รติรสบอกเพื่อนสาวแล้วหันไปถามจินเจตน์ที่เอาแต่กินไม่สนใจอะไร
“ว่าแต่แกเถอะ รีบหาแฟนได้แล้ว ฉันขี้เกียจมานั่งโดนเพื่อนๆ ยุให้ฉันคบกับแกทุกปี”
“ไม่เอา ผู้หญิงงี่เง่า ขี้เกียจเอาใจ” เขาพูดขึ้นมาแล้วก้มหน้าก้มตาตั้งใจทานอาหารตรงหน้าต่อ
“พวกแกสองคนนี้นะ ไม่ศรัทธาในความรัก สักวันพระเจ้าจะลงโทษให้พวกแกได้กันเองจริงๆ” ว่านพูดออกมาทำให้เพื่อนๆ คนอื่นๆ ปรบมืออย่างเห็นด้วย
“ว่าแต่ธีมงานแต่งเป็นสีอะไร หรือว่ากำหนดให้เป็นธีมแบบไหน” เพื่อนอีกคนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ถามขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
“ฉันว่าจะให้เป็นธีมสีขาว-น้ำเงิน แต่งชุดอะไรมาก็ได้ พี่บอยเขาชอบสีน้ำเงิน”
จินเจตน์มองดูเพื่อนผู้หญิงคุยกัน สายตาเขาจับจ้องที่ใบหน้าของรติรสไม่วางตา
รติรสรู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมาที่เธอจึงหันไปดู เขาจึงรีบมองไปยังเพื่อนผู้ชายอีกคน แล้วยกแก้วขึ้นชนกัน พูดคุยถึงเรื่องทั่วไปเพื่อกลบเกลื่อน เธอจึงหันไปคุยกับเพื่อนๆ คนอื่นต่อ โดยที่เขาเองก็ยังลอบมองเธออยู่บ่อยครั้ง
หลังจากงานเลี้ยงเลิกรา ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับ จินเจตน์เดินไปที่รถของเขาพร้อมๆ กับรติรสที่จอดรถไว้ข้างกัน
“เออ แกเมามากแล้วนะ ขับไหวเหรอ” เขาถามเธอเมื่อเห็นแก้มแดงๆ นั่น
“ไหวสิ แค่นี้เอง”
“แต่ข้างหน้ามีด่านนะ ฉันพึ่งเช็กมาเมื่อกี๊” เขาบอกแล้วยกโทรศัพท์มือถือให้เธอดู
“แล้วแกกลับยังไง” รติรสถามอย่างเป็นกังวล
“เรียกคนที่บ้านมาขับรถกลับให้” เขาพูดแล้วยืนพิงรถด้วยท่าทางสบายๆ
“แล้วพวกเพื่อนๆ เราล่ะ ทำไมแกไม่รีบเตือนพวกนั้น” รติรสพูดแล้วทำท่าจะหยิบโทรศัพท์มาโทรบอกทุกคน
“พวกนั้นไปอีกทาง แต่เส้นนั้นมีเราสองคนที่ผ่าน”
“งั้นจอดรถนอนจนตำรวจเลิกตั้งด่านแล้วค่อยกลับบ้านก็ได้” รติรสพูดอย่างไม่สนใจ
“งั้นกลับกับฉันสิ รถจอดไว้นี่ พรุ่งนี้เช้าค่อยมาเอา”
รติรสฟังข้อเสนอของเขาแล้วพยักหน้าตกลง ดีกว่าโดนจับขังคุก ไปขึ้นศาลเสียค่าปรับเป็นไหนๆ
“อืม งั้นขอติดรถไปลงบ้านฉันก็แล้วกัน” เธอบอกเขาแล้วยืนพิงที่รถของตนเองรอรถที่บ้านของเขามารับ
“ไม่อยากแต่งงานเหรอ” เขาถามเธอ ต่างคนต่างมองไปยังถนนเบื้องหน้า
“ไม่ล่ะ ฉันไม่ชอบที่จะเอาใจคนอื่น ไม่อยากแบ่งเวลาของตัวเองให้ใคร ไม่อยากทะเลาะกันเพราะเรื่องของกิน ไม่อยากโดนบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ และไม่อยากตามระแวงใคร แล้วแกล่ะ” เธอถามเขากลับ
“ฉันรวย ไม่ชอบคนเข้าหาเพราะเงิน มากกว่าตัวตนของฉัน” เขาพูดแล้วถอนหายใจออกมาได้แต่นึกในใจไม่ได้พูดออกมาให้เธอรู้เหตุผลอีกข้อ ‘และคนที่ฉันชอบ เขาไม่ชอบฉันไงล่ะรส ก็แกนั่นแหละ’
“ฉันว่าเราสองคนต้องจับมือกันโสดไปอีกหลายปี”
“ใครแต่งก่อนแพ้นะ” จินเจตน์พูดขึ้นให้เป็นเรื่องน่าขัน
“ฉันไม่มีวันแพ้แกแน่” รติรสพูดแล้วหัวเราะอย่างชอบใจ
เธอมั่นใจว่าเธอจะโสดไปตลอดชีวิต เพราะที่ผ่านมาเธอมีความสุขกับชีวิตโสดมาตลอด และมองเห็นปัญหาของคนมีคู่ที่ทะเลาะกันก็ขยาดการมีความรัก
**********************
ภาพตัดมาในตอนเช้าทั้งคู่ตื่นขึ้นมาในสภาพที่เปลือยเปล่าในห้องนอนของรติรส
เธอที่เป็นฝ่ายตื่นก่อนและลืมตาขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองกำลังนอนกอดใครสักคนอยู่ และพอเงยหน้าขึ้นคนคนนั้นก็คือจินเจตน์
รติรสตกใจเธอขยับตัวออกจากเขาทำให้เขาตื่นขึ้นมาแล้วหันไปมองเธอด้วยท่าทางตกใจไม่ต่างกันที่ทั้งคู่อยู่ในสภาพนี้
เธอดึงผ้าห่มมาห่อร่าง รีบเข้าห้องน้ำไปพร้อมกับผ้าห่ม ก่อนจะออกมาด้วยชุดคลุมอาบน้ำ ทำให้เขาคว้าเสื้อของตนเองที่ตกอยู่ข้างเตียงมาปิดของสงวนเอาไว้ นั่งมองเธออย่างงงงวย
“แกทำอะไรฉัน” เธอร้องถามขึ้นมา
“ฉันจะไปทำอะไรแก จะบ้าหรือยังไง เราก็เมากันทั้งคู่”
“เมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้น ฉันจำได้ว่าเราคุยกัน ตอนนั้นคนที่บ้านแกมาถึงแล้วเราก็ไปนั่งคุยกันในรถของแก”
“พอผ่านด่านตรวจฉันเลยให้คนขับรถฉันกลับไปกับรถอีกคัน ฉันจะขับกลับเองแต่แกชวนคุย เราเลยขึ้นมานั่งดื่มกันบนห้องแก” เขาพูดต่อจากเธอเท่าที่นึกได้
“หลังจากนั้น เราก็คุยกันเรื่องทั่วๆ ไป แล้วฉันก็... ฉัน..”
รติรสตาโตเมื่อเธอนึกเรื่องราวของเมื่อคืนออก เธอคือฝ่ายเริ่มและรบเร้าให้เขาทำเธอ ตอนนี้เธอไม่รู้จะมุดหน้าไปไว้ที่ไหน เมื่อทุกอย่างเธอเป็นฝ่ายขอร้องให้เขาทำ
จินเจตน์เองที่พอจะนึกเหตุการณ์ออก ว่าเมื่อคืนเธอรบเร้าให้เขาลองมีอะไรกับเธอ เพื่อยืนยันว่าเซ็กส์มันไม่ได้มีผลต่อการใช้ชีวิตของเธอ แต่ว่าเธอเมาหลับไปตอนที่กำลังเล้าโลมกันอยู่ เขาจึงหยุดการกระทำลงไม่ได้เอาเปรียบเธอ
เมื่อนึกได้ดังนั้น เขาก็รีบฉวยโอกาสนี้ทันที “รส ฉันจะรับผิดชอบแกเอง”
“เฮ้ย ไม่ต้อง คือฉัน..”
“แกเป็นผู้หญิงนะ แล้วแกก็เป็นฝ่ายเสียหาย แม้ว่าแกจะเป็นฝ่ายเริ่มก็ตาม” เขาพูดออกมาตรงๆ
รติรสเดินไปตีที่ต้นแขนของเขารัวๆ เพราะเขาพูดให้เธออับอาย “นี่แน่ะ พูดออกมาทำไม”
เขาคว้าข้อมือเธอไว้ แล้วดึงมากอดบนตักให้เธอหยุดทุบตีเขาเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอาย
“ฟังฉันนะ ฉันจะรับผิดชอบแกเอง” เขาพูดแล้วมองใบหน้ารั้นนั้นอย่างจริงจัง
รติรสสบตาเพื่อนร่วมรุ่น ยามเขาไม่ใส่แว่นนั้นดูดีกว่าที่เธอคิด แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เธอจะยอมรับข้อเสนอของเขา
“ไม่ต้อง ฉันบอกแล้วไง ฉันไม่อยากมีพันธะ”
“งั้นแกต้องรับผิดชอบฉัน เพราะแกเป็นคนแรกของฉัน อย่าได้คิดฟันแล้วทิ้งเชียว” จินเจตน์พูดแล้วยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์อย่างที่เขาไม่เคยแสดงให้เธอเห็นมาก่อน
“แกเป็นผู้ชาย เสียหายเมื่อไหร่กันล่ะ” เธอแหวใส่เขา
“ฉันก็ถือเรื่องนี้นะ บ้านฉันถือเรื่องนี้มาแต่สมัยไหนแล้ว”
รติรสดันตัวออกจากเขาเพราะตอนนี้อีกฝ่ายไม่ได้สวมใส่อะไรเอาไว้ แต่ว่าจินเจตน์ไม่ยอมปล่อยเธอ เขากอดเธอเอาไว้ให้เธอนั่งบนตักเขาที่มันมีเจตน้อยลุกชูใต้เสื้อที่เขาปิดบังเอาไว้
“เออ ลองคบกันก่อนก็ได้ แต่ปล่อยฉันก่อน” เธอพูดเสียงดัง หน้าแดงเรื่อเมื่อสัมผัสได้ถุงความเป็นชายที่อยู่ภายใต้ผ้าผืนนั้น
เขาปล่อยเธอให้เป็นอิสระแล้วลุกขึ้นใส่เสื้อผ้า โดยที่เธอหันหลังให้กับเขาอยู่
สักพักเขาก็เดินมากอดเธอจากด้านหลังแล้วหอมแก้มเธอ ทำให้รติรสทำตัวไม่ถูกเมื่อถูกเขากระทำเช่นนี้
“อย่าพึ่งบอกเรื่องนี้กับใครนะ” เธอบอกเขาเสียงเบา
“แกอายเหรอที่คบกันฉัน” จินเจตน์ถามอย่างใจหาย
“เปล่านะ ฉันอายที่เคยประกาศว่าจะไม่มีแฟน แล้วอยู่ๆ ถ้าบอกเพื่อนว่าคบกัน พวกมันก็ต้องรู้สิ ว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้น” เธอบอกเขาตามตรง
“เออ ไม่เป็นไร ฉันจะจีบแกเอง เราจะได้ดูใจกันไปด้วย ดีไหม” เขาถามเธอเสียงนุ่ม
“แล้วแต่แก ฉันคิดอะไรไม่ออกแล้ว” เธอพูดเสียงเบา แล้วดันตัวออกจากเขา
“เดี๋ยวแกไปส่งฉันเอารถที่ร้านอาหารด้วยนะ”
จินเจตน์มองตามเธอเดินเข้าห้องน้ำไป เขาไม่รู้ว่าเขาเห็นแก่ตัวมากไปหรือเปล่าที่หลอกให้เธอเข้าใจไปอย่างนั้น เพื่อมัดมือชกให้เธอลองคบหากับเขา
‘ฉันขอโทษนะรส แต่มันเป็นโอกาสเดียวที่ทำให้ฉันสามารถใกล้ชิดกับแกได้แบบนี้’
**********************
หลังจากวันนั้นจินเจตน์ก็ตามจีบรติรสอย่างเปิดเผยทำให้เพื่อนๆ นั้นเชียร์กันให้เธอใจอ่อน แต่เธอตกลงกับเขาว่ายังไม่ได้ใจอ่อนในตอนนี้ เพราะมันจะดูง่ายเกินไป
เขาก็ตามใจและตามจีบเธอ เอาใจเธอสารพัดไม่ว่าจะเป็น การขับรถไปรับเธอไปทานอาหารกลางวันด้วยกัน ซื้อของไปฝากเธอทุกครั้งที่เจอกัน รวมไปถึงบอกว่าเขารู้สึกอย่างไรกับเธอในห้องแช็ตกลุ่มกับเพื่อนๆ ทำให้ทุกคนลุ้นคู่นี้กันมาก
ในเย็นวันหนึ่ง จินเจตน์และรติรสนั่งทานข้าวอยู่ด้วยกันที่ร้านอาหาร ต่างคนต่างส่งข้อความคุยกับเพื่อนๆ ในแช็ตกลุ่ม แล้วเธอทำเป็นแบ่งรับแบ่งสู้กับเรื่องที่เพื่อนๆ เชียร์ให้เธอใจอ่อนกับจินเจตน์ ในขณะที่เขาก็ป้อนคำหวานหยอดลงไป แล้วทั้งคู่ก็หันมาสบตากันหัวเราะให้แก่กันกับละครฉากใหญ่ที่เขาลงทุนจีบเธอเผื่อให้เธอไม่ต้องขายหน้ากับเพื่อน
“ว่าแต่วันอาทิตย์นี้ฉันจะพาเธอไปทานข้าวที่ห้างนะ” พวกเขาเปลี่ยนสรรพนามเรียกกันเป็นเธอกับฉัน อย่างที่รติรสเป็นฝ่ายขอ
“อืม เอาสิ ไปทานข้าวด้วยกันเผื่อมีพวกเพื่อนๆ มาเห็นก็จะได้มีคนบอกว่าฉันใจอ่อนกับเธอแล้ว จะได้เลิกเล่นละครสักที”
สิ่งที่เธอพูดเป็นนัยเหมือนว่าอยากลองคบกับเขาอย่างจริงจัง ทำให้เขายิ้มกว้างจนเธอต้องอมยิ้มตาม
จินเจตน์มาขลุกอยู่กับเธอแทบทุกคืนจนเธอนั้นต้องไล่ให้เขากลับไปนอนที่บ้านตัวเองบ้าง แต่มีหรือว่าชายหนุ่มที่แอบรักเธอมานานหลายปีจะยอมกลับไปง่ายๆ แม้ไม่ได้ล่วงเกินเธอเพราะรติรสยังไม่พร้อม แต่แค่ได้อยู่ใกล้เธอเขาก็มีความสุขแล้ว
เมื่อถึงวันอาทิตย์ที่ทั้งคู่ไปทานอาหารด้วยกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่อยู่ในห้างสรรพสินค้า จินเจตน์ที่รู้ว่ารติรสไม่ใช่คนที่จะอยากเอาใจใคร เขาจึงเป็นฝ่ายให้เธอเลือกเมนูทั้งหมด
แต่รติรสก็เลือกเมนูของตัวเองเพียงแค่สองเมนูแล้วหันไปถามเขาเพื่อให้เขาเลือกเมนูที่เขาชอบบ้าง
“เธอเลือกที่เธอชอบมาเถอะฉันกินอะไรก็ได้ไม่เรื่องมาก”
“ฉันรู้ว่าเธออยากตามใจฉัน แต่ฉันก็ไม่ได้อยากเอาเปรียบเธอขนาดนั้น ฉันเลือกที่ฉันชอบสองอย่างเธอก็เลือกที่ฉันที่เธอชอบมาสองอย่าง เราต่างคนจะได้เรียนรู้กันไปว่าอีกคนหนึ่งชอบทานอะไร อย่างนั้นจะไม่ดีกว่าเหรอ” เธอบอกเหตุผลกับเขา ให้เขารู้ว่าการทดลองคบหากันครั้งนี้นั้นเธอจริงจังกับมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
จินเจตน์ยิ้มอย่างพอใจเขาจึงทำตามที่เธอบอก เลือกเมนูอาหารที่ตนชื่นชอบมาสองเมนูแล้วยืมมือไปกุมมือเธอเบาๆ
“ขอบใจนะที่เธอจริงจังกับการคบหากับฉันในครั้งนี้”
“ก็แน่นอนอยู่แล้วสิ ฉันพูดตรงๆ นะว่าฉันเป็นคนที่ถือในเรื่องของครั้งแรกและในเมื่อเธอเป็นคนแรกของฉัน ฉันก็ไม่อยากมีคนอื่นอีก มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน”
“แล้วเธอมีอะไรที่อยากให้ฉันเปลี่ยนแปลงอีกไหม ถ้าเธอคบกับฉันแล้ว ฉันทำตัวอะไรไม่ดีก็บอกฉันได้นะ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว การพูด ทรงผม หรือว่าอะไรก็ตาม”
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกเจต เธอเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นแหละ อย่าใส่หน้ากากเข้าหากันเลย เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้กันและกันเห็นจะดีกว่า ฉันไม่อยากให้เธอดีกับฉันแค่ตอนต้นแล้วตอนท้ายเธอก็กลับไปเป็นอย่างที่เธอเป็น มันจะทำให้ฉันเสียความรู้สึกเปล่าๆ” เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
ตลอดเวลาเกือบสองสัปดาห์ที่เขาตามจีบเธอ มันทำให้เธอรู้สึกว่า การมีใครสักคนมาอยู่ในชีวิตมันก็รู้สึกดีไม่น้อย
“แล้วถ้าฉันเองอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเธอล่ะ ฉันรู้นะว่าการแต่งตัวเชยๆ ของฉันมันอาจทำให้เธอรู้สึกว่าอาย ถ้าต้องคุยกับฉัน”
“โธ่ เจต ถ้าฉันจะอายเพราะควงกับเธอ ฉันไม่มานั่งทานข้าวที่ห้างแบบนี้หรอก อย่าคิดมากไปเลย ถ้าเธออยากเปลี่ยนแปลงตัวเองจริงๆ ก็ควรเปลี่ยนเพราะเธออยากเปลี่ยนให้ตัวเองดีขึ้น ไม่ใช่มาเปลี่ยนแปลงเพราะฉัน” เธอพูดอย่างนั้นมันยิ่งทำให้เขายิ่งประทับใจในตัวของเธอ เพราะสิ่งที่เธอพูดนั้นล้วนเกิดจากความจริงใจไม่ได้เสแสร้งและการที่เขากับเธอคบมาก่อนในฐานะเพื่อนมันทำให้ทั้งคู่รู้จักนิสัยใจคอกันดีว่าเป็นอย่างไร
จากตอนแรกที่จริงๆ คิดว่าเป็นเขาฝ่ายเดียวที่รู้สึกจริงจังกับความสัมพันธ์ครั้งนี้และเป็นฝ่ายอยากคบหากับเธอ เพราะเธอตกกระไดพลอยโจนรับปากเขา
แต่ไม่คิดว่าพอมาได้ยินเธอพูดอย่างนี้และแสดงออกถึงความจริงจังในการคบหากัน มันก็ทำให้เขารู้สึกว่าคิดไม่ผิดที่เลือกรักเธอ จนไม่กล้าบอกความจริงที่เกิดขึ้นในคืนนั้นเพราะกลัวว่าเธอจะโกรธเขา
**********************