Chapter 1 ท่อนเนื้อที่เหี่ยวแห้ง
Chapter 1 ท่อนเนื้อที่เหี่ยวแห้ง
“ดื่มอีกจอกสิเจ้าคะนายท่านเจ้าขา”
เสียงหวานเอื้อนเอ่ยพร้อมกับมือเล็กเรียวกรีดกรายที่กำลังรินสุราใส่จอกดินเผาอย่างชำนาญ ขยิบตาเล็กน้อยแล้วส่งจอกให้ชายหนุ่มรูปงามด้วยจริตจะก้านออดอ้อนเอาใจ จากนั้นนางจึงค่อยขยับเรือนร่างอวบอัดเต็มไปด้วยส่วนโค้งส่วนเว้าของอิสตรีเข้าหา แนบใบหน้าซบลงบนต้นแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเอาไว้ข้างหนึ่งแล้วถูไถเบียดหน้าอกทรงโตลงบนต้นแขนกำยำอย่างมีจริตมารยา
“สุราที่นี่ช่างเลิศรสนัก ยิ่งเมื่อได้ดื่มโดยมีหญิงงามเคียงข้างเช่นนี้ ยิ่งทำให้สุรารสชาติหวานนุ่มลิ้น”
เฉินฮ่านหลานแย้มยิ้มจนตาเล็กหยีอย่างบุรุษเจ้าสำราญ ใบหน้าขาวนวลราวกับอิสตรีแดงระเรื่อไปด้วยฤทธิ์น้ำเมาที่ไหลซ่านไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย เขายกจอกขึ้นสูงแล้วเทสุรากรอกปากจนหมดไม่เหลือสักหยดราวกับกระหาย
คณิกาสาวรีบปรบมือเอาอกเอาใจ ก่อนจะรินสุราให้จอกแล้วจอกเล่า
“นายท่านช่างคอแข็งนัก สุราหมดไปหลายไหแล้วแต่นายท่านยังไม่มีทีท่าว่าจะเมาสักนิด ข้าน้อยขอนับถือเจ้าค่ะ”
จางหลิงเสียเอ่ยชมทว่าวูบหนึ่งสีหน้าของนางกลับเต็มไปด้วยความวิตกกังวล หลายครั้งที่นางเหลือบตามองออกไปยังระเบียงห้อง ก่อนจะลอบผ่อนลมหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าคล้ายมีบางอย่างอยู่ในใจ
ฮ่า ฮ่า ฮ่า
เฉินฮ่านหลานหัวเราะร่วนคล้ายถูกอกถูกใจ ก่อนจะหยัดกายขึ้นยืนด้วยท่าทางโอนเอน เซไปทางซ้าย เซไปทางขวา
“คนอย่างข้าเฉินฮ่านหลาน ร่ำสุราได้ข้ามวันข้ามคืนไม่เคยรู้จักคำว่ามาววว”
พูดโอ้อวดได้เพียงเท่านั้น ร่างสูงก็ทิ้งตัวลงบนฟูกนอนอย่างสิ้นสติสมประดี พร้อมกับเสียงกรนที่ดังสนั่นออกมาราวกับเสียงดนตรีที่เสียดแทงแก้วหู
“เฮ้อ! กว่าจะหลับได้”
คณิกาสาวยกมือขึ้นทาบที่กลางอกแล้วถอนหายใจออกทางปาก ก่อนจะหันหน้าไปทางระเบียงเพื่อส่งสัญญาณให้กับใครบางคน พลันร่างที่แอบอยู่ริมระเบียงมาหลายชั่วยามก็ค่อยๆ ปีนป่ายเข้ามาจากทางหน้าต่างอย่างเงียบเฉียบ
นางรอเวลา...
เวลาที่สุราจอกสุดท้ายจะถูกกลืนหายลงไปในลำคอ ฤทธิ์สุราจะทำให้คนตัวโตไม่หลับลึกจนเกินไป แต่จะมึนเมาคล้ายอยู่ในห้วงแห่งความฝันคาบเกี่ยวกับความเป็นจริง กึ่งหลับกึ่งตื่น เหมาะแก่การกลืนกินปราณชีวิต
การกลืนปราณชีวิตในครั้งแรกนั้นสำคัญที่สุด ต้องให้ผู้ที่ถูกกลืนกินไร้สติสัมปชัญญะเพราะช่วงเวลาเช่นนี้จะทำให้ปราณมีความผันผวนและเข้มข้นสูง เมื่อถูกสูบออกมาพร้อมกับสายน้ำแห่งชาติพันธุ์ก็จะยิ่งได้ปราณที่แข็งแกร่งที่สุด
หรือที่เรียกกันว่า ‘หัวเชื้อ’
ทว่าการสูบปราณในครั้งต่อๆ ไป ไม่จำเป็นต้องให้เหยื่ออยู่ในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นอีกต่อไป แต่สามารถสูบปราณผ่านทางการปลดปล่อยสายน้ำแห่งชาติพันธุ์ได้เลยจนครบเจ็ดครั้ง
นี่คือหนึ่งในศาสตร์มืดของพรรคมารที่ถูกส่งต่อกันมาหลายต่อหลายรุ่น ทำให้ผู้ที่ได้รับปราณทั้งเจ็ดราตรีมีอายุยืนยาวและมีพละกำลังที่แข็งแรงกว่ามนุษย์โดยทั่วไป
“เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“นี่คือค่าตอบแทนของเจ้า อย่าลืมว่าเรื่องนี้เป็นความลับ ห้ามแพร่งพรายเด็ดขาด”
สาวในชุดดำอำพรางกายปกปิดใบหน้ามิดชิด เห็นเพียงดวงตากลมโตแวววาวราวกับดวงตาของแม่เสือสาวเอ่ยกำชับด้วยน้ำเสียงเครียดขรึม ก่อนจะยื่นห่อผ้าเล็กๆ ให้คณิกาสาว
“อันที่จริงท่านไม่ต้องลำบาก ข้ายินดีทำให้ท่านโดยไม่ต้องมีของตอบแทนเหล่านี้”
“รับไปเถอะ ข้าอยากให้”
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ ท่านมีบุญคุณและเมตตาข้าเสมอมา บุญคุณเหล่านี้ข้าน้อยจางหลิงเสียไม่มีวันลืม”
คณิกาสาวโน้มกายค้อมศีรษะลงด้วยความเคารพก่อนจะรับสินน้ำใจจากผู้มีพระคุณที่ครั้งหนึ่งเคยช่วยชีวิตนางเอาไว้จากการถูกบิดาเลี้ยงบังคับขายให้เป็นทาสชั้นต่ำในเหมืองใต้ดินอันโหดร้าย แม้ว่าท้ายที่สุดนางจะเลือกทางเดินคาวโลกีย์ ใช้ความงามหาเงินเลี้ยงตัว แต่นั่นก็เป็น
นสิ่งที่นางเลือกเอง หาใช่ถูกบังคับขืนใจ
“ได้โปรดวางใจว่า ข้าน้อยจางหลิงเสียไม่มีทางแพร่งพรายเรื่องนี้เป็นอันขาด มาเถอะเจ้าค่ะ รีบเปลี่ยนชุดปลอมตัวเป็นข้าเถิด เดี๋ยวถ้ามีใครผ่านไปมาจะได้ไม่สงสัย”
“อื้อ...”
ผู้มาใหม่พยักหน้าน้อยๆ นางจำต้องปลอมตัวเป็นหลิงเสีย เพื่อให้ชายที่เมามายไม่ได้สติผู้นี้เข้าใจผิดคิดว่าได้หลับนอนกับหญิงคณิกา หาใช่ ‘หวงซูเยี่ยน’ ซึ่งเป็นหนึ่งในนักฆ่าหญิง อีกทั้งยังเป็นบุตรบุญธรรมที่ได้รับความโปรดปรานจากประมุขของพรรคมารอีกด้วย
คณิกาสาวรีบหยิบเสื้อผ้าส่งให้ซูเยี่ยนผลัดเปลี่ยน อาภรณ์สีแดงเลือดนกตัดกับผิวขาวราวกับหิมะส่งผลให้นักฆ่าแห่งพรรคมารกลายเป็นสตรีร่างอรชรราวกับจะล่มเมือง หลิงเสียถึงกับมองผู้มีพระคุณตาไม่กะพริบด้วยความชื่นชม ก่อนจะรีบดันอีกฝ่ายให้นั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ทำการจัดแต่งเกล้ามวยผมแล้วประดับด้วยปิ่นมุขเปลือกหอยสีขาวแวววับ ผัดแป้งลงบนใบหน้าจนนวลเนียน จากนั้นจึงทาปากด้วยชาดแดงเข้ม
“ช่างงดงามนัก หญิงคณิกาที่ว่างามที่สุด ราคาค่าตัวแพงที่สุดในหอเหม่ยเซียนก็ไม่อาจสู้ท่านได้”
“ข้าไม่ยินดีกับคำชมนั้นหรอกนะ ความงามนี้ไม่เคยมีประโยชน์สำหรับข้า รังแต่จะเป็นภัยเสียด้วยซ้ำไป”
หวงซูเยี่ยนมองตนเองในกระจกเงาด้วยใบหน้าเฉยเมยราวกับไร้ความรู้สึก นานเท่าไหร่แล้วที่นางไม่ได้ส่องกระจกหรือแม้แต่ผัดหน้าขาวอย่างหญิงสาวคนอื่นๆ
นางจำได้ดีว่าครั้งสุดท้ายที่นางส่องกระจก นางถูกประมุขแห่งพรรคมารตบตีแล้วทุบกระจกบานนั้นจนแตกกระจาย
‘รักจะอยู่กับข้าที่พรรคมารแห่งนี้ มือต้องกรำดาบ ตัวต้องเปื้อนเลือด อย่าริทำตัวเป็นดั่งหูผีอิงอู่[1] ที่วันๆ เอาแต่ส่องกระจกชื่นชมความงามของตนเองจนอาจนำภัยร้ายมาสู่ตัวเจ้า’
นับตั้งแต่นั้นนางก็ไม่เคยส่องกระจกอีกเลย มีบ้างที่เห็นเงาตนเองสะท้อนจากผืนน้ำ แต่ก็หาได้ใส่ใจกับความงามที่ใครๆ ต่างชื่นชมยินดี
[1] นกหงส์หยก