หนิงเหมยเดินไปยกหีบไม้กล่องนั้นขึ้นมาเปิดดูอีกครั้ง ด้านในมีภาพถ่ายเก่า ๆ มากมายในอดีตเมื่อ 40-50 ปีก่อน ทั้งยังมีงานปักผ้าที่ฝีเข็มประณีตอีกหลายชิ้น แต่มีกล่องไม้ที่สลักลวดลายสวยงามขนาดเท่าฝ่ามืออยู่หนึ่งกล่อง หนิงเหมยจึงหยิบกล่องนั้นมาเปิดดู พบว่าด้านในเป็นกำไลหยกเนื้อดี พร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีข้อความเขียนไว้ว่า...
"กำไลวงนี้คือกำไลมิติ ก่อนจะเดินทางไปที่นั่น...ให้เตรียมสิ่งของให้พร้อมข้าวปลาอาหาร ของใช้ น้ำดื่ม เตรียมไปอย่าให้ขาด ยุคนั้นสิ่งของซื้อหายากลำบาก วิธีใช้มิตินี้ เพียงแค่สวมกำไลหยกไว้ ใช้มือสัมผัสสิ่งของแล้วพูดคำว่าเก็บ ของทุกอย่างที่ถูกเก็บเข้ามิติ ไม่ว่านานแค่ไหนก็จะคงสภาพสดใหม่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เมื่อเจ้าได้อ่านจดหมายฉบับนี้แล้ว แสดงว่าเหลือเวลาไม่มาก รีบหาข้อมูลในการเตรียมของก่อนที่การเดินทางจะมาถึง"
จากนั้นเป็นต้นมาหนิมเหมยก็ได้นำกำไลมาวางไว้บนตัวเตียงนอนของเธอ ทุกค่ำคืนเธอได้แต่ฝันเห็นสามีกับลูกน้อยของเธอที่มีชะตากรรมน่ารันทด ท่ามกลางผู้คนรอบข้างที่คอยเอาเปรียบ หญิงสาวที่หน้าตาเหมือนเธอ หล่อนไม่คิดแม้แต่จะดูแลลูกน้อย วัน ๆ เอาแต่ตั้งท่าหาทางเอาใจชายที่ชอบ
กลับมาที่ปัจจุบัน
"นั่นคืออดีตของเจ้า"
หนิงเหมยที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่บนเตียงต้องตกใจไม่น้อยเมื่อได้ยินเสียงของใครบางคนพูดขึ้น เธอรีบเอื้อมมือไปเปิดไฟให้ส่องสว่างไปทั่วห้อง แต่ก็ไม่พบว่ามีใครอยู่ในนั้นนอกจากเธอ ขณะที่หนิงเหมยกำลังคิดว่าตัวเองคงหูฝาดไปแต่...
"เราผู้เฒ่าคือผู้ที่มาเพื่อมอบโอกาสให้กับเจ้า ไม่ต้องมองหาว่าเราอยู่ที่ใด แต่เจ้าจงตั้งใจฟังสิ่งที่เรากำลังจะบอก"
หญิงสาวร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว เหงื่อเม็ดเล็กเริ่มผุดขึ้นตามกรอบหน้าอีกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอต้องพานพบกับเรื่องเหนือธรรมชาติ
"..."
"ที่เจ้าต้องสูญเสียพวกเขาทั้งสองไป เป็นเพราะกรรมเก่าที่เจ้าเคยทำเอาไว้ ชาติที่แล้วเจ้าทอดทิ้งสองพ่อลูกอย่างไม่ไยดี ยังไม่พ้นหน้าหนาวปีนั้นสองคนพ่อลูกก็ต้องแข็งตายในกระท่อมน้อยอย่างน่าอนาถ ต่อให้ชาตินี้เจ้าหวงแหนเขามากเพียงใดก็ไม่อาจอยู่เคียงคู่กันได้"
สิ่งที่หนิงเหมยได้ยินทำให้น้ำตาของเธอไหลพรากออกมาอีกครั้ง ผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอเองอย่างนั้นเหรอ ทำไมเธอถึงชั่วช้าทำร้ายลูกกับสามีได้ถึงเพียงนี้
"ฮื้อออ ขอโทษ ฉันขอโทษพี่อี้เฉิน ฮึก ฮื้ออ แม่ขอโทษอันอัน แม่ไม่ได้ต้องการให้มันเป็นแบบนี้ ฮื้ออ แม่จะตามหนูกับพ่อไปเดี๋ยวนี้เลย ฮึก รอแม่ก่อนนะลูก"
ลิ้นชักข้างเตียงนอนถูกเปิดออกอีกครั้ง หนิงเหมยหยิบกระปุกยานอนหลับขึ้นมาหมายจะใช้มันปลิดชีวิตตัวเองให้ตกตายตามลูกและสามีไป
"ช้าก่อน! หากเจ้าทำเช่นนั้นก็รังแต่จะทำให้เจ้ากับคนที่เจ้ารักต้องห่างไกลกันออกไปเรื่อย ๆ การฆ่าตัวตายเป็นบาปมหันต์ ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกหลายชาติกว่าจะหลุดพ้น ขอโทษไม่สู้แก้ไข"
"มะ..หมายความว่ายังไงคะ หนูยังมีโอกาสให้แก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้นเหรอคะ เป็นความจริงรึเปล่า!"
หนิงเหมยถามขึ้นอย่างมีความหวัง ขณะเดียวกันยาในมือของเธอก็ถูกปล่อยทิ้งโดยไม่เหลียวแล ตอนนี้ใจของเธอจดจ่ออยู่กับคำตอบจากเสียงของผู้เฒ่านิรนามที่ไร้ตัวตนให้มองเห็น
"เป็นความจริงหรือไม่ เพียงแค่เจ้าสวมใส่กำไลหยกที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของเจ้าก็สามารถเป็นคำตอบให้กับเจ้าได้แล้ว จำเอาไว้ว่าเจ้ามีเวลาเพียง 2 วันเท่านั้นก่อนที่เราผู้เฒ่าจะส่งเจ้ากลับไปยังอดีตเพื่อแก้ไขทุกอย่าง"
"2 วัน! แล้วหนูต้องทำยังไงกับที่นี่ หนูต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง ได้โปรดช่วยบอกหนูหน่อย"
เมื่อความหวังอยู่ตรงหน้ามีหรือที่หนิงเหมยจะไม่รับ เป็นเรื่องจริงหรือไม่เธอค่อยตรวจสอบอีกครั้งก็รู้แล้ว
"ตัวตนของเจ้าจะเลือนหายไปจากกาลเวลานี้ เตรียมเสบียงอาหารตามที่จดหมายฉบับนั้นบอกเอาไว้ ในความฝันเจ้าคงพอจะรู้ว่าบ้านเมืองในตอนนั้นเป็นยุคไหน"
"..."
"ความจำของร่างเดิมจะอยู่ในหัวของเจ้าทันทีที่เจ้าไปถึง บ้านหลังนี้และข้าวของของเจ้าจะถูกเก็บเข้ามิติเพื่อให้เจ้านำไปใช้ในการสร้างอาชีพเมื่อไปอยู่ที่นั่น รถของเจ้าสามารถนำออกไปใช้ได้สภาพของมันจะปรับเปลี่ยนไปตามลากเวลา พร้อมเมื่อไหร่ให้เรียกหาเราผู้เฒ่าได้ตลอด เจ้าจัดการทุกอย่างได้เร็วเพียงใด พวกเขาก็หลุดพ้นจากวิบากกรรมไวขึ้นเพียงนั้น"
"หนูเข้าใจแล้วค่ะ"
อยู่ ๆ ไฟในห้องนอนของเธอก็กะพริบ 3 ครั้ง จากนั้นทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ หนิงเหมยหันไปมองที่นาฬิกา แต่เวลายังอยู่ที่ 03.00 น. เท่าเดิม ราวกับว่าทุกสิ่งรอบตัวเธอ รวมไปถึงเวลามันหยุดลง และพึ่งกลับมาเดินตามปกติอีกครั้ง
"พี่อี้เฉิน อันอัน รอแม่ก่อนนะลูก แม่จะรีบไปหาหนูกับพ่อให้เร็วที่สุด"
ตุ๊กตาตัวน้อยที่ใส่ชุดเด็กอ่อนของหนิงอันถูกหยิบขึ้นมากอดเอาไว้อย่างหวงแหน แต่ละวันหลังจากที่หนิงเหมยสูญเสียทั้งสองไป เธอต้องเอาเสื้อผ้าของลูกกับสามีมานอนกอด กลิ่นกายที่คุ้นเคยทำให้ความเครียดคลายลง เธอจึงข่มตาหลับลงได้ง่ายกว่าการใช้ยานอนหลับในจำนวนมาก
"กำไลหยก!"
ร่างระหงรีบหันไปหยิบกล่องกำไลหยกที่วางอยู่หัวเตียงออกมาสวมใส่ เธอลองทำตามขั้นตอนที่คู่มือบอกการทดลองเดินไปเก็บเก้าอี้ที่อยู่ตรงโต๊ะเครื่องแป้งเข้าไปในมิติ ปรากฏว่ามันหายไปอย่างที่คู่มือบอกไว้จริง ๆ
"โอ๊ะ! หายไปแล้ว"
จากนั้นเธอก็ลงเอาเก้าอี้กลับออกมาอีกครั้ง พร้อมกับเข้าไปดูในมิติตามที่คู่มือในกล่องบอกเอาไว้ ด้านในมีพื้นที่กว้างใหญ่ ไม่ว่าสิ่งของอะไรก็ตามที่เก็บเข้าไป หากนำออกมาใช้ วันต่อไปมันจะผุดขึ้นมาให้เช่นเดิม เมื่อแน่ใจแล้วว่าเรื่องทั้งหมดเธอไม่ได้คิดไปเอง
หนิงเหมยจึงหยิบแล็ปท็อปของเธอออกมาหาข้อมูลเกี่ยวกับยุค แปลงนารวม หรือ คอมมูน ตามที่เธอได้เห็นในความฝัน ได้เรื่องว่าเป็นช่วงเวลาปี ค.ศ.1970-1984 ที่ชาวบ้านรวมไปถึงครูอาจารย์และนักศึกษา ที่เรียกว่าเหล่ายุวปัญญาชน ถูกเกณฑ์ไปทำงานที่แปลงนารวม เพื่อส่วนแบ่งอาหารและคูปองที่เป็นรายได้หลังของทุกครัวเรือนในแต่ละปี
"ข้าวปลาอาหารหายาก แม้ช่วงหลังจะมีการค้าเสรี แต่การหาของมาขายก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี งั้นเราคงต้องเตรียมของกินไปเยอะหน่อย เผื่อจะขายทำทุนตั้งหลักใหม่อีกครั้ง"
แล็ปท็อปถูกวางลง พร้อมกับสมุดบัญชีธนาคารที่ถูกนำมาสำรวจเงินเก็บ และเงินที่ได้จากประกันอุบัติเหตุของสามีที่เพิ่งจากไป รวม ๆ แล้วหนิงเหมยมีเงินอยู่ 3 ล้านกว่าหยวน
"คิดว่าพวกเค้าไม่น่าจะมีเงินติดตัวสักเท่าไหร่ พรุ่งนี้คงต้องหาทางติดต่อร้านรับซื้อธนบัตรเก่าเป็นที่แรก อย่างน้อยมีเงินในยุคนั้นติดตัวไปสักหน่อยก็คงดีกว่าไม่มีเลย"
กระดาษ A4 แผ่นใหญ่ ถูกจดตารางไว้อย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้ลืมว่าเธอต้องไปที่ไหนบ้าง ที่แรกที่เธอจะไปในตอน 6 โมงเช้าก็คือห้างค้าส่งรายใหญ่ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ สายมาสักหน่อยเธอก็ตั้งใจจะไปร้านรับซื้อธนบัตรเก่าในใจกลางเมือง
"อันอัน พี่อี้เฉิน หนูจะจัดการทุกอย่างให้เสร็จภายในวันนี้ พวกเราจะได้เจอกันเร็ว ๆ ดีไหม"
แค่คิดว่าจะได้เจอบุคคลอันเป็นที่รักอีกครั้งก็ทำให้หนิงเหยมหุบยิ้มแทบไม่ลง เธอรักและหวงแหนพวกเขามากแค่ไหนคนรอบข้างย่อมรู้ดี กระนั้นเธอก็อดที่จะเกลียดตัวเองในอดีตไม่ได้ที่ทำตัวไม่รักดี มีคนดี ๆ อยู่ข้าง ๆ ยังไม่รู้จักรักษา
ใบหน้ามนหันมองดูนาฬิกาที่อยู่ข้างกำแพงห้องอีกครั้ง มันบ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลา 03.30 น. หนิงเหมยรีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกไปหาซื้อของตามร้านสะดวกซื้อ เพราะตอนนี้เธอตื่นเต้นจนไม่สามารถข่มตาหลับได้
"ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ล่ะ ไว้ค่อยนอนตอนตายก็แล้วกัน"
เธอใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ขับรถออกจากบ้านไปตระเวนเลือกซื้อของตามร้านสะดวกซื้อทุกสาขาที่อยู่ในละแวกบ้าน จากนั้นก็เก็บเข้ามิติเพื่อจะได้มีพื้นที่ว่างซื้อของในร้านถัดไป
กระทั่งถึงช่วงรุ่งเช้าที่มีชาวบ้านออกมาขายอาหารเช้า หนิงเหมยก็จอดรถซื้อทุกอย่างที่เปิดขาย ไม่ว่าจะเป็น น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ซาลาเปา เซาปิ่งไส้ต่าง ๆ รวมไปถึงโจ๊กและข้าวต้มอีกหลายอย่าง ก่อนจะเก็บเข้ามิติทันที
จากนั้นเธอก็มุ่งหน้าไปยังห้างค้าส่งต่อ สินค้าหลัก ๆ ที่หนิงเหมยซื้อก็เป็นพวกของสด เนื้อหมู เนื้อวัว ไก่ เป็ด ปลา กุ้ง ปลาหมึก รวมไปถึงของแช่แข็งอีกหลายอย่าง ตามด้วยข้าวสารจ้าว และข้าวสารเหนียว เครื่องปรุง น้ำ นม ผัก ผลไม้ ของใช้ โต๊ะพับ เก้าอี้ เครื่องครัว ตะกร้าแลกกะละมังต่าง ๆ รวมไปถึงของใช้ประจำวันของทั้งชายและหญิง เครื่องนอน และเครื่องเขียน เรียกได้ว่ามีอะไรขวางหน้าเธอคว้ามาเผื่อไว้ก่อนทั้งหมด
ทุกอย่างจะถูกจัดส่งไปที่หน้าบ้านของเธอในช่วงบ่าย หนิงเหมยเพียงแค่จ่ายเงินแล้วไปรอตรวจเช็กของที่บ้านได้เลย เมื่อเสร็จธุระที่ห้างค้าส่งในช่วง 10 โมงเช้า หนิงเหมยจึงมุ่งหน้าเข้าไปใจกลางเมืองปักกิ่ง ที่เป็นแหล่งซื้อขายของเก่า รวมไปถึงธนบัตรที่ระลึกต่าง ๆ ด้วย