"เสี่ยวอัน ลูกพ่ออย่าร้องนะลูกนะ เดี๋ยวแม่ก็ตื่น"
โจวอี้เฉินวางลูกน้อยไว้ข้างภรรยาเบา ๆ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของลู่หนิงเหมยที่หลับใหลอย่างสงบ โดยไม่รู้เลยว่าหล่อนแทบจะไม่มีลมหายใจแล้ว เสียงหัวใจของเขาเต้นรัวราวกับจะทะลุออกมาจากอก เขาอยากจะเอื้อมมือไปลูบผมภรรยาเบา ๆ แต่ก็กลัวว่าจะปลุกเธอให้ตื่น หากเป็นเช่นนั้นไม่วายจะส่งผลต่อลูกน้อย 3 เดือนของเขาเป็นแน่
"ขอโทษนะที่ทำให้เธอต้องมาลำบากขนาดนี้"
น้ำเสียงของโจวอี้เฉินสั่นเครือเมื่อมองเห็นใบหน้ารูปไข่ของเมียรัก เธอเป็นคนที่เขาแอบรักมานาน แต่เขาเป็นเพียงความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัยสำหรับเธอ เพราะชายคนเดียวที่อยู่ใจของเธอคือ หวงหลี่จิ้ง น้องชายต่างมารดาของเขา
"ไอ้ตัวไร้ประโยชน์ แกคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้ชักช้าขนาดนี้! ไม่เห็นรึไงว่าชาวบ้านเค้าไปลงงานกันหมดแล้ว"
นางหวงกุ้ยฮวาเดินออกมาจากบ้านด้วยท่าทางหงุดหงิดพร้อมกันคนในครอบครัว ใบหน้าของนางแดงก่ำราวกับมะเขือเทศ ก่อนจะชี้เข้าไปในบ้านหลังเล็กของโจวอี้เฉินที่อยู่ในที่ดินของนาง
"มาแล้วครับ พอดีผมเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกเพิ่งเสร็จ"
โจวอี้เฉินจัดอยู่ในชายหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาไม่เป็นสองรองใคร ด้วยบุคลิกและความขยันขันแข็งทำให้เขากลายเป็นที่รักของพวกผู้ใหญ่ในคอมมูน แต่ด้วยความโดดเด่นที่เกินหน้าเกินตา หวงหลี่จิ้ง ลูกชายคนโตของนางหวงกุ้ยฮวา หรือน้องชายต่างมารดาของเขา
นั่นจึงทำให้เขาถูกนางหวงกุ้ยฮวาจ้องเล่นงานเสมอมา ด้วยว่าโจวอี้เฉินเป็นลูกชายของโจวจื่อรั่วกับภรรยาเก่าที่เสียชีวิตไปแล้ว ตอนนี้โจวจื่อรั่วมาแต่งงานกับนางหวงกุ้ยฮวา โดยการแต่งเข้าบ้านหวงและเปลี่ยนมาใช้แซ่หวงตามภรรยา จากนั้นก็มีลูกด้วยกันถึง 2 คน
"แล้วยังไง ฉันต้องเห็นใจแกอย่างนั้นเหรอ ดูอย่างเยว่เผิงภรรยาของหลี่จิ้งสิ เรื่องในบ้านเธอไม่เคยขาดตกบกพร่อง เป็นบุญของลูกฉันจริง ๆ ที่ไม่ได้นังผู้หญิงหยำฉ่าคนนั้นมาเป็นภรรยา แต่จะว่าไปนังนั่นก็เหมาะกับแกดีแล้วแหละ"
"พอเถอะ"
หวงจื่อรั่วนึกสงสารลูกชายจึงได้ปรามภรรยาเอาไว้ แต่มีหรือที่นางหวงกุ้ยฮวาจะยอม
"หุบปากไปเลยตาเฒ่า! ถ้าแกคิดจะถือหางมันก็ย้ายออกไปอยู่ด้วยกัน ขนกันออกไปจากที่ดินของฉันให้หมด ฉันก็ไม่อยากเลี้ยงลูกกาฝากเหมือนกัน หนักแผ่นดิน นี่มันเวรกรรมอะไรของฉัน โอ๊ยน่าสงสารฉันจริง ๆ"
หลังจากได้ระบายอารมณ์ออกมาจนพอใจนางหวงกุ้ยฮวาก็เดินนำหน้าทุกคนไปที่แปลงนารวมเพื่อลงชื่อเข้าทำงาน โดยมีผู้เป็นสามีเดินเคียงข้างและหวงหลี่จิ้งลูกชายคนโต พร้อมกับหวงหลี่เวยลูกสาวคนเล็กเดินตามไปติด ๆ
ทางด้านโจวอี้เฉินที่รองรับอารมณ์ของนางเสร็จก็รีบเดินตามทุกคนไปด้วยความเคยชิน ไม่วายที่เขาจะหันกลับมามองที่บ้านหลังเล็กด้วยความเป็นห่วง แววตาของเขาเศร้าหมอง แฝงไปด้วยความเจ็บปวดและเก็บกด
พ่อของเขาแต่งงานและเข้ามาอยู่กับนางหวงกุ้ยฮวาตั้งแต่เขาอายุ 8 ปี จนตอนนี้ผ่านไป 20 ปี ความเกลียดชังที่นางหวงกุ้ยฮวามีต่อเขาไม่เคยลดน้อยลงเลย รังแต่จะเพิ่มทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระทั่งน้องทั้ง 2 คนก็พลอยเกลียดชังเขาตามไปด้วย
นางหวงกุ้ยฮวามองโจวอี้เฉินเป็นอุปสรรคขัดขวางความสุขของนาง ตั้งแต่สองพ่อลูกเข้ามาอยู่ในบ้านของนาง นางก็เริ่มใช้งานโจวอี้เฉินไม่ต่างจากคนใช้ ทำงานทุกอย่างตั้งแต่เช้ายันค่ำ ไม่เว้นแม้กระทั่งให้เด็กชายฝ่าลมหนาวขึ้นเขาไปขนฝืนมาไว้ใช้ในบ้าน
ยิ่งพอนางตั้งท้องลูกของหวงจื่อรั่ว เขายิ่งไม่กล้าขัดใจนาง โจวอี้เฉินได้แต่ทนให้แม่เลี้ยงกดขี่กลั่นแกล้งและหาเรื่องทุบตีอยู่เสมอ จนเขาเริ่มกลายเป็นเด็กที่พูดน้อยและเก็บกดเหมือนคนมีปมด้อย แววตาเศร้าหมองหมดสิ้นความฝันและความหวัง
กระทั่งนางหวงกุ้ยฮวาคลอดลูกออกมา มีครั้งหนึ่งที่ทารกน้อยร้องไห้ แต่โจวอี้เฉินบังเอิญเดินมาเห็นพอดี เขาจึงตั้งใจจะเดินเข้าไปปลอบน้องแต่ยังไม่ทันถึงตัวน้องแม่เลี้ยงก็มาเห็นเสียก่อน และกล่าวหาว่าเขาทำร้ายน้อง พร้อมกับลงมือทุบตีเขาจนหัวแตก แม้แต่ผู้เป็นพ่อก็ไม่เชื่อในคำพูดของลูกชายตัวเอง
และเหตุการณ์ก็วนเวียนอยู่แบบนั้นเสมอมา กระทั่งเมื่อปีก่อน
ลู่หนิงเหมยเป็นหญิงสาวหมู่บ้านข้าง ๆ หล่อนแอบชอบหวงหลี่จิ้งมานาน จึงเข้าหาหวงหลี่เวยเพื่อขอให้ช่วยเปิดทางให้หล่อนได้เป็นสะใภ้บ้านหวง แต่คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด
หวงหลี่เวยเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ผู้เป็นแม่ฟัง ซึ่งนางหวงกุ้ยฮวาก็มีสะใภ้ที่หมายตาต้องใจเอาไว้อยู่แล้ว ซึ่งก็คือ เกาเยว่เผิง สหายสนิทของหลี่เวยลูกสาวคนเล็กของนาง แต่ในเมื่อลู่หนิงเหมยมีของติดไม้ติดมือมาให้ตลอด นางจึงให้ลูกสาวทำทีว่าจะช่วยเหลือหล่อน พร้อมกับนัดหมายให้ลู่หนิงเหมยไปหาที่กระท่อมท้ายหมู่บ้าน
นางหวงกุ้ยฮวารู้อยู่แล้วว่าฐานะทางบ้านของลู่หนิงเหมยย่ำแย่ขนาดไหน นางจึงตั้งใจจัดฉากวางยาลูกเลี้ยงกับลู่หนิงเหมยให้ได้เสียกันในวันที่นัดหมาย แน่ล่ะ แค่ลูกเลี้ยงนางไม่มีวันยอมให้โจวอี้เฉินได้ดีไปกว่าลูกชายของนางแน่ ๆ
เหตุการณ์นั้นทำให้ชาวบ้านนำไปพูดกันสนุกปากยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง นางหวงกุ้ยฮวาจึงให้สามีไปสู่ขอลู่หนิงเหมยให้ลูกชายของเขา โดยไม่มีสินสอดแม้แต่เหมาเดียว พร้อมกับให้ทั้งสองแยกออกไปอยู่กระท่อมหลังเล็กปลายที่ดินบ้านหวง เพราะกลัวว่าลู่หนิงเหมยจะมายุ่งกับหวงหลี่จิ้งอีก
สิ่งที่ทำให้ลู่หนิงเหมยแค้นมากก็คือวันที่เธอต้องแต่งให้โจวอี้เฉิน เป็นวันเดียวกันกับที่นางหวงกุ้ยฮวาจัดงานแต่งให้หวงหลี่จิ้งกับเกาเยว่เผิงสะใภ้ในดวงใจของนาง ความอัปยศนั้นทำให้ลู่หนิงเหมยเอาความโกรธมาลงที่สามีของหล่อน โดยไม่รู้เลยว่าเขาหลงรักหล่อนมานานแค่ไหน
พอเวลาผ่านไป ลู่หนิงเหมยก็ยังไม่ยินยอมต่อโชคชะตา หล่อนหาอาหารดี ๆ มาได้เป็นต้องนำไปให้หวงหลี่จิ้งกินเป็นคนแรก โดยไม่สนใจว่าสามีของตัวเองจะได้กินอะไร ทางด้านโจวอี้เฉินก็ได้แต่ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปเงียบ ๆ ด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง
แต่แล้วความหวังที่กำลังจะเลือนลับหายไปก็เจิดจรัสขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อหนูน้อย โจวลี่อัน ลืมตามาดูโลก แม้จะมีเพียงเขาคนเดียวที่ดีใจ เท่านั้นก็มากพอแล้วในชีวิตที่อัปยศบนโลกใบนี้
เฮือก!
"ฮึก! สิ้นคิด เธอเป็นผู้หญิงที่สิ้นคิดและโง่งมที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็น"
ลู่หนิงเหมย หญิงสาวในศตวรรษที่ 21 เธอสะดุ้งตื่นกลางดึกท่ามกลางเหงื่อมากมายที่ผุดขึ้นตามกรอบหน้า ยังไม่รวมกับน้ำสีใสที่ไหลอาบแก้มของเธออย่างห้ามไม่ได้
เธอเพิ่งสูญเสียสามีกับลูกน้อยวัย 3 เดือนไปได้ไม่นาน เพิ่งผ่านงานฌาปนกิจได้ยังไม่ถึงเดือนเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ข้าวของเครื่องใช้ของเด็กอ่อน รวมไปถึงสิ่งของของผู้เป็นสามียังคงอยู่ประจำที่และพร้อมใช้งานเสมอ
กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของลูกน้อยยังติดตรึงและอบอวลอยู่ในห้องนอนของเธอไม่จางหาย ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็มีแต่ภาพของสามีที่อุ้มลูกกล่อมให้หนูน้อยนอนหลับ ทำไมฟ้าต้องพรากพวกเขาไปจากเธอเร็วขนาดนั้น
ย้อนกลับไปในวันที่สูญเสีย วันนั้นลูกของเธอไข้ขึ้นสูง ลู่หนิงเหมยกับสามีจึงพาลูกไปหาหมอที่โรงพยาบาล ระหว่างทางมีรถวิ่งฝ่าไฟแดงสวนมาด้วยความเร็วสูง บทสรุปคือรถทั้งสองคันประสานงากัน ลูกกับสามีของเธอเสียชีวิตคาที่ กว่าหนิงเหมยจะฟื้นขึ้นมาก็เกือบ 1 สัปดาห์
เพียงแค่เธอได้ยินว่าลูกกับสามีของเธอจากไปแล้ว มันก็ไม่ต่างจากโลกทั้งใบถล่มลงตรงหน้าเธอ หนิงเหมยหมดสติครั้งแล้วครั้งเล่า กว่าจะเข้มแข็งและฝืนสังขารไปส่งคนอันเป็นที่รักของเธอเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นเธอก็กลายเป็นคนซึมเศร้าและไม่สามารถทำงานปักผ้าที่เธอรักได้อีกต่อไป
เธอได้แต่ตั้งคำถามกับคนบนฟ้าว่า "ทำไมถึงไม่เอาเธอไปพร้อมกับลูกและสามีด้วยเลย ทำไมต้องให้เธอทนทุกข์ทรมานอยู่คนเดียว" อยู่ ๆ วันหนึ่งขณะกำลังนั่งเหม่อลอย หนิงเหมยได้นึกถึงหีบไม้ที่ถูกส่งต่อจากแม่และยายของเธอที่ล่วงลับไปแล้ว
หนิงเหมยเดินไปยกหีบไม้กล่องนั้นขึ้นมาเปิดดูอีกครั้ง ด้านในมีภาพถ่ายเก่า ๆ มากมายในอดีตเมื่อ 40-50 ปีก่อน ทั้งยังมีงานปักผ้าที่ฝีเข็มประณีตอีกหลายชิ้น แต่มีกล่องไม้ที่สลักลวดลายสวยงามขนาดเท่าฝ่ามืออยู่หนึ่งกล่อง หนิงเหมยจึงหยิบกล่องนั้นมาเปิดดู พบว่าด้านในเป็นกำไลหยกเนื้อดี พร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีข้อความเขียนไว้ว่า...
เป็นกำลังใจให้พี่อี้เฉินกันด้วยนะคะ ลูกเขยคนนี้น่าสงสารมาก