บทที่ 7
ดวงตากลมโตปรือตาขึ้นอย่างเหนื่อยล้า เธอไม่รู้ว่าเวลานี้กี่โมงแล้ว แต่พอเห็นแสงอาทิตย์ที่มุมขอบหน้าต่าง หลงเหยียนทะลึ่งพรวดขึ้นจากเตียงนุ่มในทันที
“ตาย ตายแน่ ๆ กี่โมงแล้วเนี่ย” เธอบ่นอุบอิบรีบลุกขึ้นจากเตียงดูดวิญญาณในทันที ร่างกายเธอช่วงนี้เป็นอะไร พอได้อยู่นิ่ง ๆ ก็จะหลับเป็นตายตลอด เพราะแบบนี้อย่างไรล่ะถึงได้ถูกช่างทำผมทำสีผมสีประหลาดนี้ให้โดยไม่รู้ตัว หลงเหยียนทำได้เพียงส่ายหัวให้กับความขี้เซาของตัวเองช่วงนี้
“ตื่นแล้วหรือคะ”
เสียงคุ้นหูดังมาจากด้านหลัง หลงเหยียนหันกลับไปส่งยิ้มอย่างสำนึกผิดให้
“ขอโทษด้วยนะคะ ฉันหลับเพลินไปจริง ๆ” ด้วยรู้ว่างานเลี้ยงป่านนี้คงจบแล้ว ก็แน่ล่ะงานเลี้ยงถึงแค่เที่ยงคืนแต่นี่มันเช้าแล้ว หลงเหยียนนะหลงเหยียน
“ดิฉันเข้ามาดูคุณเมื่อคืนเรือจอดเทียบฝั่งเมื่อคืน แต่เห็นกำลังหลับสบาย คุณหวงเลยไม่ให้ปลุกค่ะ” บอดีการ์ดสาวบอก
“แล้วตอนนี้…”
“เรือจอดอยู่ที่ท่าค่ะ คุณหวงให้ดิฉันไปส่งคุณที่ที่พัก นี่ค่ะ” บอดีการ์ดสาวยื่นกล่องใบใหญ่ส่งให้
“อะไรคะ” แม้จะสงสัยแต่ก็ยื่นมือไปรับมา
“ชุดที่คุณหลงใส่เมื่อคืนค่ะ ดิฉันส่งให้คนซักอบรีดใส่กล่องเอาไว้ให้ ดูแล้วน่าจะเป็นชุดราคาแพง ทิ้งเอาไว้แบบนี้คงไม่ดี”
หลงเหยียนรับกล่องชุดมาด้วยความสงสัยและสับสน แม้จะมีความรู้สึกอิ่มเอิบหลังจากนอนเต็มอิ่ม แต่คำถามเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนยังคงวนเวียนในหัว เธอยังไม่สามารถนึกออกได้เลยว่า ตอนไหนที่เธอเปลี่ยนเป็นชุดราคาแพงนี้ และที่สำคัญกว่านั้น ชุดนี้เป็นของใครและมาจากไหน
“ขอบคุณมากนะคะ” หลงเหยียนกล่าวพร้อมส่งยิ้มให้บอดีการ์ดสาว แม้จะยังรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง
บอดีการ์ดสาวพยักหน้าและยิ้มตอบอย่างสุภาพ “ดิฉันจะเตรียมรถไปส่งคุณที่ที่พักนะคะ ถ้าคุณพร้อมแล้ว เราจะออกเดินทางได้เลย รถเตรียมพร้อมรอที่ท่าแล้ว”
หลงเหยียนรู้สึกขอบคุณกับการดูแลที่ได้รับ แม้จะยังมีหลายเรื่องที่ต้องเคลียร์ แต่ตอนนี้เธอรู้ว่าคงต้องใช้เวลาสักพักในการทำความเข้าใจกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
“ค่ะ ฉันขอเวลาเตรียมตัวสักครู่นะคะ” หลงเหยียนตอบ ก่อนที่จะหันไปจัดการกับตัวเอง เธอยังต้องคิดต่อว่าจะทำอย่างไรกับชุดในกล่องนี้และความรู้สึกที่ยังคงค้างคาในใจ
ในระหว่างที่เดินมาถึงกราบเรือ ร่างคุ้นตาที่สะพานเรือทำเอาหลงเหยียนต้องหยุดดู ภาพสองร่างที่เดินกอดแขนกัน ในจังหวะที่ฝ่ายหญิงเขย่งเท้าเพื่อหอมแก้มฝ่ายชาย ทำเอาน้ำตาหลงเหยียนคลอเบ้า
หลงเหยียนรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบเมื่อเห็นภาพว่านหนิงกับชายหนุ่มคนนั้นกำลังเดินกอดแขนกันอย่างสนิทสนม ราวกับทั้งโลกนี้มีเพียงสองคน น้ำตาของเธอไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่เพราะเธอรู้สึกอะไรกับชายหนุ่ม แต่เป็นเพราะคนที่หักหลังเธอคือว่านหนิง คนที่เธอเคยคิดว่าเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุด
ความทรงจำที่เคยมีร่วมกันผุดขึ้นมาในหัว หลงเหยียนคิดถึงเวลาที่ทั้งสองคนเคยผ่านอะไรด้วยกันมา ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การสอบ หรือการออกไซต์งาน
ทุกครั้งที่เธอเหนื่อยล้าหรือหลงลืมเวลาจากการทำงาน ว่านหนิงมักจะอยู่ข้าง ๆ เสมอ ช่วยหาอะไรมากินหรือปลอบโยนเธอในยามที่เธอต้องการใครสักคน
แต่ตอนนี้ ภาพของว่านหนิงในสายตาของหลงเหยียนกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ความไว้ใจและความรู้สึกที่เธอเคยมีต่อเพื่อนคนนี้กลับถูกทำลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี ความเสียใจที่ถาโถมเข้ามาทำให้หลงเหยียนรู้สึกเหมือนถูกหักหลังจากคนที่เธอรักและไว้ใจมากที่สุด
เธอยืนมองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยายามหายใจลึก ๆ เพื่อสะกดความรู้สึกและน้ำตาให้หยุดไหล แม้ใจจะรู้สึกหนักอึ้งแค่ไหนก็ตาม
หลงเหยียนพยายามควบคุมความรู้สึกที่รุนแรงอยู่ในใจ ขณะที่เธอยืนอยู่ตรงนั้น น้ำตายังคงไหลเงียบ ๆ ในขณะที่เธอพยายามตั้งสติ ความเจ็บปวดจากการหักหลังที่ไม่คาดคิดทำให้เธอรู้สึกสับสนและอ่อนแอ เธอรู้ว่าไม่สามารถยืนอยู่ตรงนี้ได้นานไปกว่านี้แล้ว
แม้ใจจะหนักอึ้ง แต่หลงเหยียนก็พยายามรวบรวมความเข้มแข็งที่เหลืออยู่ เธอสูดหายใจลึก พยายามกลั้นน้ำตาที่เหลืออยู่ไม่ให้ไหลออกมาอีก ทุกย่างก้าวที่เธอเดินรู้สึกเหมือนว่าหัวใจของเธอกำลังแตกสลาย แต่เธอก็พยายามก้าวเดินต่อไป เพราะรู้ดีว่าเธอต้องเข้มแข็งและผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปให้ได้ แม้จะยากลำบากเพียงใดก็ตาม
เธอไม่ได้เสียดายฝ่ายชายแต่เสียดายมิตรภาพที่กำลังจะขาดสะบั้นลงต่างหาก
“คุณหวงแจ้งว่า ไว้จะไปหาที่ไซต์งานค่ะ เหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง”
เสียงบอดีการ์ดสาวดึงหลงเหยียนกลับมา
“อะไรหรือคะ” เธอมั่นใจว่าทุกขั้นตอนการทำงาน เธอทำตรงตามมาตรฐานสากลทุกอย่าง ทุกการหยิบจับวัตถุเก่าแก่มีขั้นตอนและรัดกุม แต่แล้วเธอก็นึกได้ว่าสร้อยเส้นที่เธอหยิบติดมือมา “หรือจะเป็นจี้หยกนั่น” เธอพึมพำกับตนเอง
ความคิดของหลงเหยียนว้าวุ่นอยู่กับความกังวล เธอนึกถึงสร้อยเส้นนั้นที่เธอหยิบติดมือมา สร้อยที่อาจเป็นสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมดนี้ ทั้งเรื่องที่เธอถูกบังคับให้ไปอยู่บนเรือหรู และเรื่องที่ว่านหนิงได้รับโอกาสที่ควรจะเป็นของเธอ
เธอพยายามนึกย้อนกลับไปว่าทำไมถึงมีสร้อยเส้นนั้นอยู่กับเธอ จำได้ว่าเธอแค่หยิบมันมาดูเพราะเป็นวัตถุที่สำคัญ และไม่คิดว่าจะพกติดตัวมาจนถึงเรือด้วยซ้ำ แต่ว่าตอนนี้มันหายไปไหนล่ะหรือเธอจะทำมันตกทะเลไปแล้ว
เสียงบอดีการ์ดสาวยังคงพูดต่อ แต่หลงเหยียนแทบไม่ได้ฟังเพราะกำลังคิดหาทางออกจากสถานการณ์นี้ ความกังวลเกี่ยวกับสร้อยเส้นนั้นยิ่งทำให้ความกังวลเกี่ยวกับงานของเธอหนักขึ้น ความรู้สึกเหมือนถูกกดดันจากทุกทิศทาง ทั้งจากเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว และการถูกหักหลังจากคนที่เธอเคยไว้วางใจ
หลงเหยียนรู้สึกท้อแท้และเหนื่อยล้า แต่เธอก็รู้ดีว่าการยอมแพ้ไม่ใช่ทางออก เธอต้องหาคำตอบเกี่ยวกับสร้อยนั้นให้ได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะพังทลายลงไปมากกว่านี้ และเธอต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเจอหวงต้าลู่ที่ไซต์งาน ซึ่งอาจเป็นโอกาสสุดท้ายในการแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด
ถูกแย่งผลงาน ถูกเพื่อนรักหักหลัง แล้วยังต้องถูกไล่ออกจากงาน
จะมีอะไรแย่กว่านี้อีกไหมชีวิตของหลงเหยียน