ตอนที่ 3 ข้อตกลง
หลังจากที่เราสองคนได้เครื่องดื่มมาแล้ว บรรยากาศในร้านอาหารกลับอบอวลไปด้วยความอึดอัดอีกครั้ง
ผู้ชายที่นั่งนิ่งอยู่ตรงหน้าภายใต้กรอบหน้าคมที่เรียบเฉย ราวกับไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรกับการนัดบอดครั้งนี้ ฉันเริ่มไม่แน่ใจว่าที่เขาพูดน้อยเป็นเพราะเขาพูดไม่เก่ง หรือว่าเขาคงไม่ได้เต็มใจกับการนัดบอดครั้งนี้
เดาว่า...คงเป็นอย่างหลังนะแหละ ช่างมันเถอะ เพราะฉันก็เหมือนกัน
“คือขอโทษครับผมแค่พูดไม่เก่ง” เขาเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน แต่อย่างกับเขารู้ความคิดของฉันเลยว่าฉันกำลังคิดอะไร
งั้นถ้าเขาพูดไม่เก่งหมายความว่าฉันต้องหาเรื่องคุยกับเขาใช่ไหมเนี้ย
“อ่อคะ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันแค่นึกว่าคุณคงอึดอัดการดูตัวในครั้งนี้เพราะฉันเองก็เหมือนกัน” โอ๊ะ...ฉันพูดตรงเกินไปไหมเนี่ย เรียวคิ้วหนาของเขาดูขมวดขึ้นเล็กน้อยทันทีที่ฉันแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา
“คุณไม่เต็มใจ?”
“แล้วคุณเต็มใจเหรอคะ?” ฉันไม่ตอบแต่เป็นฝ่ายถามเขากลับ ฉันว่าประโยคแรกฉันก็พูดค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้วนะ ว่าอึดอัด
ดูเขาเหมือนใช้เวลาครุ่นคิดกับคำตอบนานไปหน่อย ทำให้ฉันต้องพูดแทรกขึ้นมาอีกครั้ง
“แต่...ยังไงเราสองคนก็ต้องแต่งงานกันอยู่ดีใช่ไหมคะ ต่อให้คุณไม่ชอบฉัน หรือฉันไม่ชอบคุณ ยังไงผู้ใหญ่ก็ให้เราสองคนแต่งงานกันอยู่ดี”
“ครับ” เขาตอบโคตรสั้นและนั่นยิ่งทำให้ฉันอึดอัดเพราะเหมือนเป็นการตอกย้ำกลาย ๆ ว่าเขาเองก็ไม่ได้เต็มใจในการนัดบอดเพื่อแต่งงานครั้งนี้ และเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศที่สุดแสนจะกระอักกระอ่วนฉันเลยพยายามชวนเขาคุยเรื่องอื่น
“ว่าแต่ คุณทำงานเหรออะไรคะ” ฉันบ้ามากที่ถามคำถามนี้ออกไป ซึ่งที่จริงฉันควรจะอ่านประวัติคู่นัดบอดจากเมล์ที่ส่งเข้ามาตั้งแต่เมื่อคืน และแน่นอนฉันว่าเขาต้องรู้แน่ว่าฉันไม่ได้เปิดอ่านมันเลย
“ผมทำอยู่บริษัทรถยนต์ TK”
“โห บริษัทนำเข้ารถยนต์ชื่อดังด้วย คุณทำงานเป็นเซลล์หรือคะ งั้นเอาไว้ถ้าฉันมีเพื่อนคนไหนสนใจจะออกรถ ฉันจะแนะนำไปให้” ก็ถ้าดูจากการแต่งตัวฉันคิดเป็นอื่นไปไม่ได้เลย เขาใส่แค่เสื้อเชิ้ตสีขาวธรรมดาไม่ได้ใส่สูทอย่างผู้บริหารระดับสูงหรือระดับเมเนเจอร์ เพราะงั้นเขาก็คงเป็นเซลล์นะแหละคงไม่ใช่ช่างซ่อมในอู่รถหรอกมั๊ง หุ่นสูง ๆ ผิวขาว ๆ ดูเจ้าสำอางมันทำให้ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าเดาไม่ผิด
“ถ้าคุณมีเพื่อนสนใจจะออกรถจริงก็ติดต่อมาได้เลยครับ ผมยินดี”
“ได้เลยค่ะ ว่าแต่คุณมีนามบัตรไหมล่ะ เผื่อมีเพื่อนสนใจออกรถ ฉันจะได้ให้ติดต่อคุณไป”
“เออ...พอดีนามบัตรของผมน่าจะติดไปกับเสื้ออีกตัว”
“ไม่ได้นะคะ ทีหลังต้องพกไว้ตลอด คุณเป็นเซลล์และนามบัตรเป็นสิ่งสำคัญ” ฉันเผลอตำหนิเล็กน้อยเพราะแทนที่มานัดบอดแบบนี้เขาควรจะเตรียมความพร้อมให้มากกว่านี้ แต่พอรู้ตัวว่าหลุดพูดอะไรออกไปก็ถึงกับเม้มปากสำนึกผิด
“ขอโทษด้วยนะครับ”
“มะ ไม่เป็นไรค่ะ คนเราลืมกันได้แหละ” ฉันหัวเราะแหะ แหะ แก้เก้อก่อนจะพยายามชวนคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป
Talk ภีมม์
ผมรู้ว่าเธอคู่นัดบอดของผม ไม่ได้เปิดอ่านประวัติของผมจากเมล์ที่ส่งไปให้เลย ไม่เหมือนกับผมที่อ่านข้อมูลของเธอไปมานับสิบรอบ ผมว่าเธออาจจะผิดหวังเล็กน้อยที่ผมไม่ได้แต่งตัวสุภาพอย่างที่คนนัดบอดทั่วไปแต่งมา และตอนนี้เธออาจจะผิดหวังเล็กน้อยที่คิดว่าคู่นัดบอดอย่างผมเป็นแค่เซลล์ขายรถธรรมดา
เธอคือใบเฟิร์น ลูกสาวคนเดียวของเพื่อนสนิทคุณพ่อ เธอกับผมอายุห่างกันถึงเจ็ดปี ใช่ผมอายุยี่สิบเจ็ดแล้ว ในขณะที่ใบเฟิร์นอายุแค่ยี่สิบเอ็ด ตอนที่เธอเพิ่งคลอดใหม่ ๆ คุณพ่อและคุณแม่ของผมเคยพากันไปเยี่ยมครอบครัวของเธอ
“ดีเลยที่นายได้ลูกสาว เอาไว้ถ้าลูกสาวนายอายุยี่สิบแล้วเรียนจบมหาวิทยาลัยเมื่อไหร่ให้ลูกนายกับฉันแต่งงานกันทันทีเลยนะเว้ย”
คำสัญญาระหว่างผู้ใหญ่ที่เป็นมั่นเป็นเหมาะเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ทำให้ผมรับรู้มาตลอดว่าเด็กน้อยแบเบาะในวันนั้นจะต้องกลายเป็นเจ้าสาวของผมในอนาคต ในขณะที่ผมเฝ้ามองเธออยู่ห่าง ๆ แต่เธอกลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผมเลยสักนิด
“ต่อไปคุณควรเรียกผมว่าพี่ พี่ภีมม์ เพราะผมอายุมากกว่าคุณ” ผมบอกเจตนาของผมให้เธอรู้ เพราะอายุของเราค่อนข้างห่างกันพอสมควร
“อ่อจริงสิ คุณอายุมากกว่าฉันนี่นา”
“พี่ภีมม์-ครับ” ขนาดผมเพิ่งบอกเธอไปหยก ๆ ไม่ถึงวินาที เธอก็ลืมซะแล้ว
“อ่าได้ค่ะ พี่ภีมม์” ริมฝีปากสวยของเธอเม้มแน่นคล้ายกับกำลังเขินที่ผมให้เธอเรียกว่าพี่ ก็นะ...ขนาดผมยังฟังดูแปลก ๆ แต่ก็ดันรู้สึกดี
“ในเมื่อเราสองคนต้องแต่งงานตามคำตกลงของผู้ใหญ่ โดยที่ฉันและคุณ เออ...พี่ พี่ภีมม์ไม่เต็มใจ งั้นเราสองคนมาทำข้อตกลงกันก่อนดีไหมคะ”
นี่เธอคิดเป็นตุเป็นตะจากไหนว่าผมไม่เต็มใจ แล้วถ้าผมบอกออกไปว่าผมเต็มใจ เธอจะเชื่อผมไหมนะ
เดาว่า...ไม่