แพทริกปฏิเสธเสียงเข้ม
“นายจะออกไปกินผู้หญิงไม่ใช่หรือ ไปเถอะ พี่เบื่อที่จะคุยกับนายแล้ว”
“แหม พอถูกพูดแทงใจดำเข้าหน่อย ทำเป็นทนฟังไม่ได้นะครับ”
“นายจะพูดอะไรก็ตามใจ แต่พี่ไม่ได้คิดอะไรกับเชอเอมจริงๆ จบนะ”
“จบก็ได้ครับ”
ฟาเบียนหัวเราะร่วน ก่อนจะเดินผิวปากออกไปจากบ้านอย่างอารมณ์ดี
ตรงกันข้ามกับแพทริกที่ตอนนี้นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่เพียงลำพัง
“ฉันเนี่ยนะ คิดอะไรกับเชอเอม นายบ้าไปแล้วล่ะ
ฟาเบียน”
บรั่นดีในแก้วใสใบสวยถูกเทหายเข้าไปในลำคออีกครั้งจนหมดแล้ว ผู้ชายตัวโต ผิวสีแทนเข้มเพราะชายหนุ่มชอบการนอนอาบแดด วางแก้วลงกับโต๊ะตรงหน้า จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
เขาก้าวจากตัวระเบียง กลับเข้ามาภายในบ้าน กำลังจะขึ้นชั้นบน แต่ก็พบมารดาเสียก่อน
ริสา จอห์นสัน สาวไทยที่ได้สามีเป็นชาวต่างชาตินั่นก็คือแลนดอน จอห์นสัน ก่อนที่หล่อนจะมีทายาทให้กับสามีถึงสามคน เป็นผู้ชายทั้งหมด
“คุณแม่ยังไม่นอนอีกหรือครับ”
“แม่นอนไปแล้วล่ะ แต่นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้พูดเรื่องหนูเอมกับพ่อแพท ก็เลยรีบลุกขึ้น”
“น่าจะรอเอาไว้ตอนเช้าก็ได้นะครับ”
“แม่กลัวลืมน่ะ”
แพทริกระบายยิ้มให้กับมารดา ใบหน้าของเขาเย็นชากับทุกคนยกเว้นคนในครอบครัว
“แล้วคุณแม่มีเรื่องอะไรของเด็กนั่นมาบอกผมหรือครับ”
“เรียกน้องว่าเด็กนั่นอีกแล้ว พูดไม่เพราะเลยนะพ่อแพท”
ชายหนุ่มถอนใจออกมาแรงๆ
“ก็เชอเอมยังเด็กมาก จะให้ผมเรียกว่าสาวก็คงไม่ได้หรอกครับ”
“น้องสิบแปดเต็มแล้วนะ ไม่เด็กแล้ว และก็เป็นเจ้าสาวของพ่อแพทได้แล้วด้วย”
ศีรษะของแพทริกส่ายไปมาน้อยๆ
“ผมไม่ชอบมีเมียเด็กหรอกครับ”
“ไหนตอนที่แม่ป่วยเข้าโรงพยาบาล พ่อแพทรับปากกับแม่เอาไว้ว่าจะตามใจแม่ทุกอย่างยังไงล่ะ”
“แต่เรื่องนี้...”
“เรื่องนี้มันง่ายนิดเดียวเอง แค่รับหนูเอมเป็นภรรยา”
“แต่นั่นมันชีวิตผมทั้งชีวิตเลยนะครับ”
ชายหนุ่มพูดขึ้นอย่างลำบากใจเป็นที่สุด
“น้องออกจะน่ารัก นิสัยก็ดี แถมยังเป็นลูกสาวของเพื่อนซี๊แม่อีกด้วย นะพ่อแพทนะ”
“ถ้าผมแต่งงานกับเชอเอม ผมว่าชีวิตผมคงจะวุ่นวาย หาความสงบสุขไม่เจอแน่นอน”
“เอาน่า มันอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้นะพ่อแพท”
“แต่ผมมั่นใจว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นครับ เพราะเด็กนั่น... ซนยังกับลิง วันๆ เอาแต่วิ่งไล่จับตั๊กแตนไปทั่ว แถมวันดีคืนดีจับหนอนมาเล่นอีกต่างหาก”
“นั่นเรื่องมันผ่านมาตั้งสามปีแล้ว นี่น้องโตขึ้นมากแล้ว สวยด้วยนะ สวยขึ้นมากเลย”
แพทริกถอนใจออกมาแรงๆ กลอกตามองบน และไม่ได้ไยดีกับสิ่งที่มารดาพูดแม้แต่น้อย
“ก็พ่อแพทน่ะเอาแต่หลบหน้าหนูเอม นี่มันก็ผ่านมาสองปีกว่าแล้ว ไม่ยอมให้น้องเจอเลย พ่อแพทก็เลยไม่รู้ไงว่าน้องน่ะโตแล้ว”
“เด็กสิบแปดจะโตสักแค่ไหนกันครับ”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อแพทดูเอาเองก็แล้วกัน”
“พรุ่งนี้?”
ชายหนุ่มแปลกใจหนัก จนต้องเลิกคิ้วเข้มสูงลิบเลยทีเดียว
“ใช่จ้ะ”
“แต่พรุ่งนี้ผมบินไปเมืองไทยแล้วนะครับ”
เขารู้สึกหวาดกลัวรอยยิ้มบนใบหน้าของมารดาในตอนนี้เหลือเกิน มันเจ้าเล่ห์แปลกประหลาด
“น้องเอมจะบินไปไฟลท์เดียวกับพ่อแพท”
“ว่ายังไงนะครับ?”
เขาไม่เคยตกใจเท่านี้มาก่อนเลย
“น้องจะไปเที่ยวเมืองไทย และก็จะพักกับพ่อแพท
ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนจ้ะ”
“คุณแม่!”
“ไม่เอาน่าพ่อแพท แม่ขอแค่นี้เอง นะ ถือว่าพาน้องไปเปิดหูเปิดตาเถอะ”
“ผมไปทำงานนะครับ”
“น้องก็ไปดูงานไงล่ะ เดี๋ยวหลังจากแต่งงานกับพ่อแพทแล้ว น้องจะได้เป็นงานเร็วๆ”
แพทริกยกมือใหญ่ขึ้นกุมศีรษะอย่างเคร่งเครียด
“คุณแม่ทำอย่างนี้ไม่ได้นะครับ ผมไม่อยากได้ตัวยุ่งไปด้วย”
“แม่กำชับหนูเอมแล้วล่ะว่าอย่ากวนใจพ่อแพท และหนูเอมก็รับปากแม่อย่างดีเลย”
“เชื่อได้ที่ไหนกันล่ะครับ”
แพทริกถอนใจนับครั้งไม่ถ้วน หน้าตาเครียดหนักราวกับโลกถล่มใส่ทั้งใบ
“เอาน่า หนูเอมรับปากแม่เป็นมั่นเป็นเหมาะ น่าจะไม่ดื้อไม่ซนเหมือนเมื่อก่อนแล้วล่ะ”
แพทริกได้แต่ทำหน้าเครียด เขาอุตส่าห์หนีหน้าเชอเอมได้สำเร็จมาสองปีกว่า แต่สุดท้ายตอนนี้ กลับกำลังจะต้องเผชิญหน้ากับหล่อนหนึ่งเดือนเต็มๆ
“ยิ้มหน่อยน่าพ่อแพท มันไม่มีอะไรเลวร้ายหรอก หนูเอมน่ารักมาก”
“คนน่ารักของคุณแม่นั่นแหละครับ คือนรกสำหรับผม”
“ก็ว่าน้องไปนั่น”
“ผมพูดเรื่องจริงครับ”
“ไม่เอาแหละ แม่ไปนอนดีกว่า อ้อ แล้วอย่าลืมดูแลน้องดีๆ ล่ะ”
แพทริกอยากจะตะโกนปฏิเสธมารดาดังๆ ว่าเขาไม่ต้องการให้เชอเอมเดินทางไปด้วย แต่ก็ทำได้แค่เพียงคิดในใจเท่านั้น เพราะรู้ดีว่ามารดาป่วยเป็นโรคหัวใจ ถ้าถูกขัดใจ ท่านจะอาการกำเริบทันที
มือใหญ่ยกขึ้นปิดหน้า แค่คิดว่าพรุ่งนี้จะได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเชอเอมข้างหู เขาก็แทบจะสิ้นสติอยู่ร่อมร่อ
“ทำไมโชคร้ายนักนะเรา”