ทลายหัวใจครั้งที่ 4

3974 คำ
ก๊อก ก๊อก จังหวะที่ผมกำลังอารมณ์เดือด เกือบจะอาละวาดให้ลูกน้องสองคนที่ก้มหน้ามองรองเท้าหลบสายตาวาวโรจน์ของผม ก็มีเสียงคนเคาะประตูห้องทำงานดังขึ้น “เข้ามา!” ผมตะโกนบอกบุคคลที่เคาะประตู “คุณหลั่นเทียน” ชายร่างสูงผิวคมเข้มเดินทะมัดทะแมงเข้ามาพร้อมกับโค้งศีรษะทำความเคารพผม “ได้เรื่องไหม?” ผมเอ่ยถาม ‘ปาเกา’ ที่มีศักดิ์เป็นบอดี้การ์ดมือขวาผมออกไป “มีคนแถวท่าเรือขนส่งของเราบอกว่าเห็นคุณหนูกับฉิงเฉาลงเรือส่งสินค้าเที่ยวเรือออกไปไทยเมื่อสองอาทิตย์ก่อนครับ” ปาเการายงานเรื่องที่ผมให้ไปสืบอย่างฉะฉาน ดีมาก! สมกับที่เป็นมือขวาผม ทำงานไม่เคยพลาด ไม่เหมือนไอ้สองตัวนี้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นผมก็ส่งสายตากดดันไล่ไอ้ลูกน้องที่ไม่ได้เรื่องให้รีบไสหัวออกไปจากห้องนี้ก่อนที่ผมจะลงโทษพวกมันโทษฐานที่เลี้ยงเสียข้าวสุก “ยัยน้องไปกับฉิงเฉา?” ผมเอ่ยเบาๆ กับตัวเอง พร้อมกับคิ้วกระตุกเล็กน้อย ‘ยัยน้อง’ เป็นคำที่ผมชอบใช้เรียกน้องสาวผมจนติดปากน่ะ ส่วน ‘ฉิงเฉา’ ที่ปาเกามันเอ่ยถึง คือลูกน้องคนสนิทของป๊าผม แถมมันยังพ่วงตำแหน่งบอดี้การ์ดส่วนตัวให้กับน้องสาวสุดที่รักผมด้วย ฉิงเฉาเป็นคนมีฝีมือชั้นเชิงการต่อสู้ดีเยี่ยม เป็นคนไว้ใจได้ มันกับน้องสาวผมค่อนข้างจะสนิทกันเสียด้วยซ้ำ “คุณหลั่นเทียนจะเอายังไงต่อดี ตามไปค้นหาคุณหนูที่ไทยเลยมั้ยครับ” สงสัยผมนิ่งเงียบนานไปมันเลยถามผมด้วยอาการร้อนรนแทน “ถ้ายัยน้องอยู่กับฉิงเฉา อย่างน้อยก็โล่งใจไปเปาะหนึ่ง” ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ “แล้วอาการเฉินฮ่งเป็นยังไงบ้าง” เมื่อเรื่องน้องสาวคืบหน้าไปในทางที่ดี เธอยังคงมีชีวิตอยู่ผมเลยถามถึงบุคคลที่สำคัญไม่ต่างจากน้องสาวผมออกไป “คุณเฉินยังคงนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลครับ เท่าที่ผมไปถามอาการจากหมอที่นั่น อาการคุณเฉินหนักมาก น่าจะใช้เวลาพักฟื้นอีกเป็นสัปดาห์” ปาเกามันทำงานได้ละเอียดรอบคอบดีจริงๆ ผมพยักหน้าให้กับการรายงานที่พอใจให้มันไปสองสามที สองขาเดินกลับมาที่โต๊ะทำงาน ค่อยๆ หย่อนสะโพกลงบนเก้าอี้บุนวมสีแดงสด ยกขาข้างหนึ่งขึ้นไขว่ห้าง พลางครุ่นคิดถึงเหตุการณ์สุดสลดเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ย้อนกลับไปช่วงที่เกิดเหตุการณ์สลดค่ำคืนสีชาดวันนั้น ผมอยู่ที่ไทย ผมร่วมหุ้นกับเพื่อนคนหนึ่งที่ไทยแลกเปลี่ยนลูกค้าที่ชอบเสี่ยงดวงกัน โดยบางทีคนที่เคยเล่นที่คาสิโนผมก็นึกครึ้มอกครึ้มใจอยากเปลี่ยนบรรยากาศบินไปเล่นที่อื่นดู ผมก็จะเป็นคนจัดส่งคนกลุ่มนั้นผ่านทางเรือขนส่งของครอบครัวผมไปให้เพื่อนที่ร่วมหุ้นกันที่ไทยคอยดูแล ได้ประโยชน์กันทั้งสามฝ่าย เหมือนกับเรือล่มในหนองทองจะไปไหนเสีย ถ้าไม่ใช่เข้ากระเป๋าผม ครอบครัวผม และไอ้เพื่อนที่ไทย และช่วงที่เกิดเรื่องบังเอิญว่าผมรู้สึกเครียดกับงานเลยอยากไปพักร้อนที่ไทย ทว่าพอผมกลับมาฮ่องกงเมื่อห้าวันก่อน ผมกลับพบกับเรื่องที่แสนจะเลวร้าย เมื่อครอบครัวผมถูก ‘แก๊งค์ฉลามดำ’ เข้าถล่มราบคาบเป็นหน้ากลอง น้องสาวเพียงคนเดียวของผมหายไป ผมจึงสั่งลูกน้องของตัวเองที่มีอยู่ระดมกันตามหาให้ควั่ก ผลสุดท้ายก็เพิ่งรู้เรื่องเมื่อไม่กี่นาทีก่อนนี่เอง ว่าน้องผมยังมีบุญวาสนาหนีรอดเงื้อมมือพวกหมาลอบกัดได้ ถึงแม้วันนั้นจะได้ ‘เฉินฮ่ง’ ลูกชายเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ทั้งในฮ่องกงและต่างประเทศเข้ามาช่วยไล่พวกแก๊งค์ฉลามดำไปได้แต่มันก็สายไปเสียแล้ว เพราะมันดันมาช้าไปก้าวเดียว แต่อย่างน้อยการปะทะกันของแก๊งค์ฉลามดำกับพวกเฉินฮ่งก็ทำให้พวกหมาลอบกัดนั้นสังเวยชีวิตเซ่นครอบครัวผมได้มากโขอยู่เหมือนกัน แต่เฉินฮ่งเองก็พลาดท่าถูกยิงไปหลายนัด อาการมันก็อย่างที่ปาเกามันเพิ่งเล่าไปนั่นแหละ กรอด~ ยิ่งคิดผมยิ่งแค้น! สองมือกำหมัดแน่น เส้นเลือดเขียวปูดโปนเกร็งขัดไปทั้งมือ แค้นนี้ผมต้องชำระ แต่ตอนนี้ผมต้องหาตัวแก้วตาดวงใจที่เหลือรอดเพียงคนเดียวให้พบเสียก่อน “ช่วยจัดแจงของไปเยี่ยมอาเฉินให้ฉันที ช่วงนี้เรื่องยัยน้องสำคัญกว่า ฉันต้องบินไปไทยให้เร็วที่สุด” ผมออกคำสั่งให้ปาเกามันเป็นธุระเรื่องทางนี้แทน ปาเกาเองก็ไม่อิดออดรับคำสั่งอย่างเคร่งครัด ก่อนจะค้อมหัวเคารพผมแล้วเดินออกไปจากห้อง ตอนนี้ภายในห้องกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง บรรยากาศชวนวังเวงเสียยิ่งกว่าอยู่ในป่าช้า กลิ่นคาวเลือดจางๆ ยังคงตลบอบอวนอยู่ที่ปลายจมูก ถึงแม้บ้านทั้งหลังจะถูกทำความสะอาดไปจนหมดจดแล้วก็ตาม แต่กลิ่นความเศร้าสลดยังคงไม่จางหาย ผมสลัดความหดหู่ที่กำลังบั่นทอนความเข้มแข็งออกไปจากหัวสมอง แวบหนึ่งผมก็นึกถึงเพื่อนร่วมธุรกิจที่อยู่ในไทยขึ้นมาได้ ไม่รอช้ารีบหยิบมือถือขึ้นมาต่อสายหามันทันที ตู๊ด~ [ว่า?] คำทักทายที่แสนสั้นกระชับดังขึ้นหลังจากคนปลายสายกดรับ “พรุ่งนี้จะแวะไปที่คาสิโน มีเรื่องด่วน” [อื้ม! ตามนั้น] ปลายสายพูดไว้เพียงเท่านั้นก็กดตัดสายไป ผมกับมันเป็นหุ้นส่วนธุรกิจคาสิโนมาถึงสี่ปี ที่มันไม่ถามว่าผมจะไปทำไมมันคงขี้เกียจมากกว่า เพราะยังไงผมไปถึงที่นู่นก็ต้องเล่าให้มันฟังอยู่ดี เพราะมันเป็นคนไม่เรื่องมาก ไม่ซักไซ้ ไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของกันและกัน ผมกับมันเลยไม่เคยมีปัญหาอะไรผิดใจกันมาจนถึงทุกวันนี้ “ยัยน้องพี่ชายคนนี้กำลังจะไปหาเธอแล้ว รอพี่ก่อนนะ น้องต้องรักษาตัวให้ปลอดภัยรอพี่ไปรับกลับบ้านเรา” น้ำเสียงผมสั่นเครือมากผมรับรู้ได้ บางทีการเสแสร้งว่าเข้มแข็งต่อหน้าลูกน้องมันก็ไม่ใช่ผลดีสำหรับผู้เป็นนายอย่างผมเสียทีเดียว มันกลับจะทำลายหัวใจผม ความเข้มแข็งที่ซุกซ่อนความปวดร้าวและอ่อนแอไว้มากๆ มันก็เหมือนตัวเชื้อโรคที่คอยกัดกินพละกำลัง บางทีก็เหมือนจะตายทั้งเป็นเสียให้ได้ นี่ผมเป็นผู้ชายยังรับกับเหตุการณ์เลวร้ายนี้แทบไม่ไหว แล้วน้องสาวผมล่ะ ตอนนี้เธอจะไม่สติแตกไปแล้วหรือไง อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ เธอเข้มแข็งอยู่แล้วน้องพี่ ปัจจุบัน @ประเทศไทย “มึงรีบร้อนมาหากูมีอะไร ได้ข่าวเพิ่งกลับไปยังไม่ถึงอาทิตย์ดี” เสียงราบเรียบของเพื่อนร่วมธุรกิจเอ่ยถามผม ก็อย่างที่มันว่าก่อนหน้านี้ผมมาพักที่นี่ และกลับไปยังไม่ถึงอาทิตย์ดี และเมื่อสี่ชั่วโมงก่อนก็รีบร้อนโทรหามันเพื่อที่จะกลับมาสถานที่เดิมที่เพิ่งจากไป “กูมีเรื่องให้ช่วย เรื่องสำคัญมากแต่ขอเป็นความลับที่สุด” ผมพยายามพูดช้าๆ ก็จริง แต่ในใจตอนนี้โคตรจะร้อนรนกับเรื่องที่สุมอยู่ในอกเป็นอย่างมาก “มึงดูตื่นๆ แปลกๆ” ไอ้ยูกิมันคงจะมองสีหน้าและท่าทางผมออก ลืมบอกไป เพื่อนร่วมธุรกิจผมคือ ‘ยูกิ’ เจ้าของยุกกี้คาสิโนที่ผมกำลังนั่งอยู่ ยูกิเป็นผู้ชายที่เพียบพร้อมทั้งฐานะ หน้าตา ยกเว้นอย่างเดียว ‘หัวใจ’ ที่ตอนนี้คงด้านชาแทบเรียกว่าตายด้านเลยก็ว่าได้ “อื้ม!” ผมตอบมันกลับได้แค่คำเดียว เพราะต้องค่อยๆ ปรับลมหายใจให้เข้าที่เพื่อที่จะได้เล่าเรื่องที่จะขอความช่วยเหลือจากมันแบบไม่ต้องให้สะดุด “...” ยูกิเงียบเสียงก็จริง แต่สายตามันกำลังจ้องหน้าผมแบบคนรอฟัง “คืองี้นะ มึงพอมีเส้นสายหรือว่านักสืบดีๆ หรือเปล่า” ผมถามหาบุคคลที่จะช่วยเบาแรงพวกเราก่อนเป็นอันดับแรก “มึงกำลังจะตามหาคน?” ยูกิเลิกคิ้วข้างหนึ่งถามผมกลับ “น้องสาวกูเอง” ผมเริ่มบอกสิ่งที่ทำให้ผมนั่งก้นไม่ติดเก้าอี้ออกไป “น้องสาว?” ไอ้ยูกิเลิกคิ้วทวนคำบอกเล่าผมอีกครั้ง ถึงแม้เราจะเป็นเพื่อนทางธุรกิจ แต่มันไม่ค่อยยุ่งเรื่องส่วนตัวผมเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่ผมกับไอ้ยูกิก็อายุไล่เลี่ยกัน ผมอาจจะแก่เดือนกว่ามันสองสามเดือน “เธอกำลังถูกตามล่า และมีคนบอกว่าเธอข้ามเรือมาที่ไทย” ผมค่อยๆ เล่าเรื่องราวออกมาทีละนิด ไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดกับครอบครัวผมทั้งหมดออกมา ตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดของผมคือตามหาน้องสาวให้เจอก่อน “มีรูปมั้ย?” ไอ้ยูกิมันก็ดีตรงนี้ มันจะเป็นพวกไม่ค่อยเซ้าซี้ ถ้าจะช่วยคือช่วย ผมถึงคบกับมันมานานแบบนี้ไงล่ะ ผมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงสีดำเพื่อหยิบเอามือถือเครื่องหรูออกมา กดเข้าไปที่คลังรูปภาพในตัวเครื่อง เปิดรูปสาวน้อยวัยใส สวมเสื้อเปิดไหล่สีแดงสด ใบหน้ายิ้มสดใส ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลอ่อนๆ ให้ไอ้ยูกิดู หลังจากที่ไอ้ยูกิหยิบมือถือผมไปดู มันทำหน้านิ่ง แต่แววตาวูบไหวไปชั่ววิ พร้อมกับใบหน้าเชิดขึ้นไปมองลูกน้องมันที่ชื่อมอม้าที่ยืนขนาบข้างพร้อมกับส่งมือถือผมให้มันดู “เฮ้ยเฮีย!” ทันทีที่ไอ้มอม้าเห็นรูปในมือถือผมก็ร้องอุทานเสียงลั่นห้อง ใจผมเต้นแรงกว่าเดิมหลายเท่าตัว เดาเอาจากปฏิกริยาตอบโต้นั่นแสดงว่าสองคนนี้ต้องเคยเห็นน้องสาวผมแน่ๆ “บอกกูมาถ้ามึงรู้หรือเคยเห็น” ผมรีบถามเสียงปนสั่น “เอ่อ” เป็นมอม้าเองที่เหมือนอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ชะงักไว้ พร้อมกับเบือนสายตามองลูกพี่มันที่นั่งหัวโด่ไขว่ห้างแต่หน้าตาเหมือนกำลังคิดอะไรในหัว “อย่าเงียบสิวะ กูซีเรียส” ทนไม่ไหวกับอาการนิ่งเฉยของไอ้ยูกิ ผมเลยเร่งมันอีกทีเผื่อสติมันหลุดออกไปนอกโลก “เฮีย!” ไอ้มอม้าช่วยผมเรียกสติลูกพี่มันอีกแรง “อยู่นี่” มันหมายถึงอะไร? “ไฉ่หงอยู่ที่นี่เหรอ มึงพูดจริงหรือล้อเล่นวะ” ผมถามสิ่งที่คิดออกไปอย่างร้อนรน แต่ไอ้ยูกิตอบกลับเพียงแค่ใบหน้านิ่งเฉย เยือกเย็นตามแบบฉบับมัน นี่สรุปมันจะกลายเป็นคนหน้านิ่ง หน้าเดียวแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน อดีตเหี้ยๆ มันก็ผ่านมาเกือบจะปีแล้ว มันน่าจะปล่อยวางได้แล้ว “กูรู้มึงกำลังด่ากูในใจ” แหมไอ้เพื่อนรัก ทีงี้รีบออกตัวแรง มันจะเทพไปไหน นี่ผมยังไม่ได้เอ่ยสักคำ มันมานั่งในใจผมหรือไงถึงรู้ว่าผมกำลังนินทามันอยู่ “มึงก็อย่าลีลา ถ้าไฉ่หงอยู่ที่นี่มึงรีบพาเธอมาหากู ก่อนที่พวกนั้นจะตามตัวเธอเจอ” ผมพูดรัวยาวออกไป ทั้งดีใจที่น้องอยู่ใกล้แค่เอื้อม โลกมันโคตรจะกลมไปมั้ยวะ! “ไฉ่หง?” ยูกิพึมพำชื่อน้องผมเบาๆ แต่สายตามันจับจ้องมาทางผมเป็นเชิงสงสัย “เออ! ชื่อน้องกูเอง หลัน ไฉ่หง” ผมบอกชื่อจริงน้องผมให้มันฟังชัดๆ “แต่เธอบอกชื่อหงส์ ไม่ใช่ไฉ่หง” ไอ้ยูกิยังคงยอกย้อน ลีลาเชื่องช้าเป็นเต่าไปได้ มันจะรู้มั้ยว่าตอนนี้ผมแทบจะระเบิดความเป็นห่วงน้องตัวเองออกมามากแค่ไหน “จะชื่ออะไรก็ชั่งแม่งเหอะ! สรุปเป็นคนในรูปใช่ไม่ใช่?” ผมเริ่มจะควบคุมน้ำเสียงไม่ให้มันแข็งมากไปกว่านี้ไม่ได้ เพราะเริ่มจะหมั่นไส้ไอ้ยูกิกรายๆ แม่งลีลาฉิบ! แต่แทนที่ไอ้ยูกิจะตอบผม มันหันไปมองหน้าไอ้มอม้าลูกน้องคนสนิทของมัน ลูกน้องมันก็พยักหน้ารับแล้วเดินออกจากห้องนี้ไป ผมได้แต่ทำหน้างงว่ามันสองคนแค่มองตากันแค่นี้ก็เข้าใจคำสั่งลูกพี่มันได้แล้วเหรอวะ แม่งเทพเชี่ยๆ “เธอตาสีฟ้า” จู่ๆ ไอ้ยูกิที่เอาแต่นั่งเงียบหลังจากที่ลูกน้องคนสนิทมันออกจากห้องไปก็เอ่ยถามผม ไม่ใช่แค่ไอ้ยูกิหรอกที่ถามคำถามนี้กับผม ไม่ว่าจะคนที่ฮ่องกงหรือแม้แต่พวกที่เคยเห็นไฉ่หงต่างก็ถามคำถามเดียวกับไอ้ยูกิตอนนี้กันทั้งนั้น “แม่กูเป็นลูกครึ่งชาวตะวันตก ไฉ่หงได้เชื้อแม่มาเยอะทำให้เธอมีตาสีฟ้า ต่างจากกู” ผมตอบคำถามเดิมๆ ที่เคยตอบคนก่อนๆ ไอ้ยูกิทำเพียงแค่พยักหน้าเข้าใจกับสิ่งที่ผมเพิ่งบอกไป จากนั้นก็ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำห้องทำงานสุดหรูหราแห่งนี้อีกครั้ง แต่ก็เงียบได้ไม่นาน เสียงประตูห้องนี้ก็ถูกเคาะและเปิดออกอีกครั้ง บอกให้รู้ว่ามีผู้มาเยือนคนใหม่กำลังก้าวย่างเข้ามา “มาแล้วเฮีย” เสียงไอ้มอม้าชวนให้ผมหันไปมองทางด้านหลังตัวเอง แต่กลับไม่เห็นใครนอกจากไอ้มอม้า แต่ถ้าสังเกตที่พื้นกระเบื้องตรงที่ไอ้มอม้ายืนอยู่จะเห็นมีเงาอีกเงาซ่อนอยู่ข้างหลังมัน “ไฉ่หง นั่นน้องใช่ไหม?” ผมไม่รู้หรอกว่าเงานั้นใช่น้องผมหรือเปล่า ก็แค่เรียกไปเพราะใจมันอยากให้เป็นน้องผมจริงๆ หลังสิ้นเสียงเรียกผมไม่นาน คนที่ซ่อนอยู่หลังไอ้มอม้าก็ค่อยๆ โผล่หน้าออกมาทางด้านหลังลูกน้องไอ้ยูกิเล็กน้อย ทันทีที่สายตาผมเห็นใบหน้าแค่ครึ่งเสี้ยว เท้าใหญ่ๆ ของผมก็รีบก้าวตรงดิ่งไปที่ผู้หญิงคนนั้นทันที หมับ! ผมกระชากข้อมือของผู้หญิงที่แอบอยู่หลังไอ้มอม้าออกมาเพื่อมองหน้าเธอชัดๆ สิ่งที่ผมเห็นทำให้ผมถึงกับกลืนก้อนแข็งๆ ที่มันอัดอั้นมานานลงคอ สองมือหนาใหญ่ของตัวเองรีบดึงร่างเล็กเข้ามาสู่อ้อมกอดทันที “กรี้ด! ปล่อยหงส์นะ ช่วยด้วยค่ะพี่มอม้า” ผมตกใจกับปฏิกิริยาตอบสนองของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นน้องสาวตัวเอง อาการที่แสดงออกชัดเจนว่าผมคือคนแปลกหน้าของเธอ แปลกหน้างั้นเหรอ? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับอาการต่อต้านของน้องสาวร่วมสายเลือดของผม “ไฉ่หง เป็นอะไร ใจเย็นๆ ค่อยๆ ตั้งสติ มองหน้าพี่สิ นี่พี่เอง หลั่นเทียนไง” ผมพยายามจับร่างบางที่กำลังดิ้นต่อต้านในอ้อมกอด เธอเหมือนกับชะงักอาการต่อต้านไปครู่หนึ่ง พร้อมกับค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองหน้าผมช้าๆ อา... นี่ล่ะน้องสาวตัวจริงของผม ผู้หญิงผิวขาวใส ดวงตาสีฟ้าอ่อน ‘พี่ดีใจที่หาเราเจอ’ ‘ดีใจที่น้องปลอดภัย’ ผมอยากจะบอกน้องสาวตรงหน้าออกไปแบบนี้ แต่เสียงผมมันกลับหายไปเสียดื้อๆ มันตื้นตัน มันจุกกับความดีใจที่เห็นคนที่เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของผมยังมีชีวิตอยู่ตรงนี้ “ปล่อยค่ะ ฉันไม่รู้จักคุณ” เฮือก!! แต่ความดีใจของผมที่ล้นปรี่เมื่อครู่กลับจางหายไปทันทีที่ไฉ่หงบอกว่าไม่รู้จักผม นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ? “หงส์เล่นอะไร ไม่ตลก” ผมใช้น้ำเสียงดุๆ ถามเธอ แต่อาการที่เธอแสดงออกมันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แววตาเหินห่างที่เธอมองมา มันเป็นสิ่งยืนยันว่าเธอไม่รู้จักผมจริงๆ “พี่มอม้าช่วยหงส์ด้วย!” เมื่อผมไม่ยอมปล่อยเธอสักที ไฉ่หงจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากลูกน้องไอ้ยูกิแทน อาจจะเพราะผมกำลังช็อคมาก มากถึงมากที่สุด เลยทำให้ไม่มีแรงขืนร่างเธอไว้ เธอเลยถือโอกาสปัดมือที่ผมจับไหล่บางทั้งสองข้างออกและวิ่งไปหลบที่หลังไอ้มอม้าเหมือนเดิม [Yuuki’s part] ผมนั่งมองเหตุการณ์ก่อนหน้าของคู่พี่น้องตรงหน้าด้วยใบหน้าเรียบเฉย ผมลืมบอกหลั่นเทียนไป ‘น้องสาวมันความจำเสื่อม’ ไอ้มอม้ามันบอกผมมาแบบนี้ ก็นะ! ไอ้หลั่นเทียนมันก็รีบร้อนเกินไปทำให้ผมไม่มีเวลาบอก สุดท้ายมันเลยต้องยืนช็อคอยู่แบบนั้น “ไอ้เทียน มึงมานั่งก่อนเดี๋ยวเล่าให้ฟัง ส่วนเธอออกไปก่อนไป” เหตุการณ์ดูท่าจะวุ่นวายไปกันใหญ่ ผมเลยเรียกสติหลั่นเทียนแล้วไล่ยัยเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าในตอนแรกแต่สถานะตอนนี้เป็นน้องสาวเพื่อนร่วมธุรกิจผมออกไปก่อน ไอ้มอม้าเป็นคนอาสาพาหงส์ออกไปจากห้อง ส่วนหลั่นเทียนก็เดินเหมือนคนสติหลุดมานั่งที่โซฟาตัวเดิม “ได้ไงวะ เกิดอะไรขึ้นกับน้องกู” หลั่นเทียนพร่ำเพ้อเหมือนคนสติหลุดลอย มันเอาแต่นั่งทึ้งหัวตัวเองไม่เลิก “ไอ้มอม้าบอกน้องมึงจำเรื่องราวก่อนที่จะมาที่นี่ไม่ได้สักอย่าง” ผมเล่าเรื่องที่ไอ้มอม้าเคยเล่าให้ผมฟังมาเล่าต่อให้หลั่นเทียนฟังอีกทอด “จำไม่ได้? มึงคงไม่ได้หมายถึง...” หลั่นเทียนไม่เอ่ยต่อ มันคงยังไม่เชื่อว่าน้องมันความจำเสื่อม “ก็อย่างที่มึงเข้าใจ” ผมไม่ได้พูดปลอบอะไรมัน เรื่องพวกนี้ปลอบไปแล้วจะได้อะไร รู้ทั้งรู้ว่ามันคือเรื่องจริง จะให้มานั่งบอกว่า ‘น้องมึงคงโกหก’ ‘เธอล้อมึงเล่น’ แบบนี้เหรอที่เรียกว่าปลอบใจ นั่นยิ่งจะทำให้มันรู้สึกเฟลกว่าเก่าเหอะ “แล้วน้องกูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” หลั่นเทียนเริ่มตั้งสติได้เลยเอ่ยถามถึงเรื่องราวความเป็นมา ผมตัดสินใจเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนที่ผมเจอกับเธอที่ตรอกแถวท่าเรือของครอบครัวมันที่เป็นเจ้าของ รวมถึงตอนที่ไอ้มอม้าเจอเธอกำลังตามหาผมแล้วพามาที่นี่ หลั่นเทียนฟังจบมันพยักหน้ารับรู้สิ่งที่ผมเล่าพร้อมกับสีหน้าที่ดูดีขึ้น “ขอบใจที่วันนั้นมึงบังเอิญผ่านไปและช่วยน้องกูไว้ทัน ขอบใจจริงๆ” หลั่นเทียนเอาแต่พูดขอบคุณผม ผมมองเห็นแววตาสั่นไหวจากความหวาดกลัวถ้าหากน้องสาวมันไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผมในวันนั้น มันคงจะรักน้องสาวมันมากจริงๆ แหงล่ะ! พี่น้องที่ไหนไม่รักกัน ถ้าไม่ใช่... ช่างมันอันนั้นมันคนละสายเลือดนี่เนอะ “มึงจะพาเธอกลับไปฮ่องกงเลยมั้ย” ผมไม่สนคำขอบคุณของมัน แต่เปลี่ยนเรื่องถาม ผมโคตรจะลุ้นกับคำตอบมันเลย ปากฉีกยิ้มเมื่อคิดว่าคำตอบที่ได้รับคงทำให้ชีวิตแสนราบเรียบผมกลับมาปกติอีกครั้ง “ไม่ล่ะ ยังกลับไม่ได้” ฉิบหาย! ปากผมหุบยิ้มแทบทันที ทำไมคำตอบมันทำให้ผมรู้สึกคันอวัยวะเบื้องล่างแปลกๆ นี่มันไม่ยอมพาน้องมันกลับทั้งๆ ที่มันบอกมาตามหาเธอแทบจะเป็นจะตายนี่นะ “มึงฟังกูก่อน” หลั่นเทียนเงยหน้าขึ้นมองหน้าผมแล้วเบรกสิ่งที่ผมกำลังหงุดหงิดไว้ เหมือนมันอ่านใจผมออกว่าผมไม่สบอารมณ์กับคำตอบก่อนหน้ามัน “ว่ามาให้ไว ขอเหตุผลดีๆ” ผมเริ่มใช้น้ำเสียงขุ่นมัวพูดกับมัน “ไฉ่หงกำลังถูกตามล่า ถ้าเธอกลับไปที่นั่น เธอจะไม่ปลอดภัย” “น้องคนเดียวมึงไม่มีปัญญาดูแล? กากว่ะ!” ผมไม่ชอบสุงสิงกับผู้หญิง ยิ่งเป็นผู้หญิงที่จุ้นจ้านอย่างน้องไอ้หลั่นเทียน ผมยิ่งขยาดใหญ่ อีกอย่างมันเป็นถึงเจ้าของคาสิโนแห่งใหญ่ในมาเก๊า มีทั้งอำนาจ ลูกสมุนก่ายกองอยู่แล้ว จะกลัวอะไรกะอิแค่พวกที่ตามล่าน้องตัวเอง “กูยอมให้มึงด่า ให้มึงประณามยังไงก็ได้ แต่กูมีเหตุผลที่พาเธอกลับไปตอนนี้ไม่ได้จริงๆ กูขอร้องยูกิ ฝากหงส์ไว้ที่นี่ต่อได้ไหมวะ ถ้ากูเคลียร์อะไรๆ ฝั่งนู้นเสร็จกูจะรีบมารับน้องกูกลับทันที” ผมมองเห็นสายตาที่ทั้งเป็นกังวลปนอ้อนวอน และความเป็นห่วงเป็นใยที่สื่อออกมา แต่ถ้ามันไม่ยอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟัง ผมจะช่วยมันได้ยังไงวะ “มีข้อแม้” “ยังไม่ใช่ตอนนี้” หลั่นเทียนมันคงเดาออกว่าผมจะพูดอะไรมันเลยชิงพูดขัดก่อน เอาวะ! ดูจากสีหน้าเป็นกังวลของมันแล้วผมไม่เซ้าซี้ดีกว่า ถึงเวลามันคงจะเล่าเอง ผมเลยหยักหน้าเป็นเชิงทำตามที่มันขอ สีหน้าหลั่นเทียนเลยดูดีขึ้นมาหน่อย “กูจะยังไม่รื้อฟื้นความทรงจำของไฉ่หง อันที่จริงปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ก็น่าจะดีที่สุดแล้ว” หลั่นเทียนยังคงพูดระบายไปเรื่อย ผมก็เป็นคนฟังที่ดี นั่งฟังมันปรับทุกข์เงียบๆ พร้อมกับจับสังเกตอาการของมันไปในที “เออ แล้วตอนมึงเจอเธอ มีใครอยู่ด้วยมั้ยวะ” จู่ๆ มันก็โพล่งถามขึ้นด้วยเสียงดังลั่น สงสัยมันเพิ่งจะนึกอะไรๆ ได้สินะ “ไม่มี” ผมตอบพร้อมกับส่ายหน้าให้มัน สีหน้าหลั่นเทียนเริ่มกลับมาดูยุ่งเยิงอีกครั้ง “มึงมีอะไรจะถาม?” ผมเดาเอาจากหัวคิ้วที่ขมวดเป็นปมของมัน “เท่าที่กูสืบมา มีคนพาน้องกูหนีมาที่นี่ หมอนั่นชื่อฉิงเฉาเป็นมือขวาป๊า แต่แปลกที่หมอนั่นกล้าปล่อยให้ไฉ่หงอยู่คนเดียวลำพัง” ยิ่งพูดหลั่นเทียนยิ่งขมวดคิ้วยุ่งเหยิงยิ่งกว่าเดิม ตอนที่ผมเจอไฉ่หงที่กำลังถูกเดนนรกสองตัวรุมทำร้ายเธออยู่คนเดียวจริงๆ และเห็นไอ้มอม้าบอกว่าเธอกำลังตามหาลูกพี่ลูกน้องอยู่ด้วย สงสัยอาจจะเป็น ฉิง-เฉา อะไรนั่นที่หลั่นเทียนมันบอก “ไว้กูจะช่วยตามหาอีกแรง” ผมบอกมันไปเพื่อให้มันผ่อนคลายอาการวิตกลงบ้าง หลั่นเทียน มันเป็นคนประเภทใจร้อน วู่วาม แต่ลึกๆ มันเป็นคนมีน้ำใจ รักเพื่อนรักฝูง ซึ่งผิดจากผม ที่ค่อนข้างเจ้าระเบียบ นิ่งขรึม เลยทำให้รูปลักษณ์ภายนอกดูเยือกเย็นไม่น่าเข้าใกล้ “กูฝากน้องสาวไว้กับมึงด้วยนะ ไอ้สหายรัก” หลั่นเทียนกำชับผมอีกครั้ง ผมไม่รู้จะทำตามสัญญามันได้ไหม แต่ก็พยักหน้ารับคำขอของมันไว้ก่อน บอกแล้วผมไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิง ตั้งแต่เหตุการณ์ตอนนั้น ผมก็ไม่เคยไว้ใจผู้หญิงคนไหนอีกเลย [End part]
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม