ทลายหัวใจครั้งที่ 5

3071 คำ
กลัว! ร่างกายฉันมันบอกแบบนั้น แต่ความรู้สึกลึกๆ กลับบอกว่าไม่ได้กลัว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องทำงานยูกิก่อนหน้า ทำให้ฉันหวนกลับไปนึกถึงเรื่องเลวร้ายในตรอกเมื่อหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา พวกเศษสวะสองคนนั้น! “หงส์ หงส์! คุณไฉ่หง!” ฉันรับรู้ถึงแรงเขย่าจากใครบางคน พร้อมกับเสียงเรียกที่เหมือนดังอยู่ไกลๆ แต่พอเริ่มตั้งสติได้กลับพบว่าเสียงนั่นดังอยู่ตรงหน้านี่เอง “พะ พี่มอม้า คนนั้น...” อาการตื่นกลัวที่เกิดขึ้นยังคงไม่หมดไป ฉันหายใจไม่ทั่วท้อง รู้สึกเหมือนคนจะเป็นลม “ใจเย็นๆ หายใจเข้าลึกๆ คุณหลั่นเทียนไม่ใช่คนไม่ดี” คำพูดที่หลุดออกมาจากปากมอม้าฉุกให้เสี้ยวหนึ่งของความทรงจำฉันแวบขึ้นมา ‘หลั่นเทียน’ ทำไมชื่อนี้รู้สึกคุ้นๆ อันที่จริงถ้าฉันตัดเรื่องเหตุการณ์ที่กำลังจะถูกข่มขืนในตรอกก่อนหน้าออก ไม่เอามารวมกับเหตุการณ์ในห้องทำงานยูกิ ฉันเองก็ไม่ได้กลัวสัมผัสของผู้ชายคนนั้นเท่าไหร่ กลับกัน... ฉันกลับรู้สึกโหยหาและคุ้นเคยกับอ้อมกอดนั้นมากกว่า “หงส์สับสน หงส์ไม่รู้ว่าหงส์กลัวหรือว่าอุ่นใจกันแน่” ฉันเหมือนตกอยู่ในภวังค์ พูดพึมพำกับตัวเอง “ต้องเป็นอย่างหลังอยู่แล้ว นั่นพี่ชายคุณไฉ่หงนะ” มอม้าปลอบใจฉัน มือใหญ่วางลงบนไหล่ เขาบีบมันเบาๆ เพื่อเรียกสติฉัน “เมื่อกี้พี่มอม้าเรียกหงส์ว่าอะไรนะคะ” เมื่อสติเริ่มจะกลับมาเต็มที่ เลยเพิ่งฉุกคิดในสรรพนามซึ่งมันเปลี่ยนไปที่มอม้าเรียก “คุณไฉ่หง ต่อไปผมต้องเรียกแบบนี้” มอม้าพูดพร้อมกับก้มหัวลงเล็กน้อย “อย่าทำแบบนี้ค่ะ” ฉันร้องห้ามมอม้าเสียงลั่น “ไม่ได้ครับ คุณไฉ่หงเป็นถึงน้องสาวคุณหลั่นเทียนเพื่อนสนิททางธุรกิจของเฮียยูกิ ผมจะทำตัวเหมือนเดิมไม่ได้ ต่อไปคุณไฉ่หงก็ต้องเรียกผมว่ามอม้าเช่นกัน” มอม้าบอกถึงความสัมพันธ์ของเจ้านายตัวเองกับคนที่บอกว่าเป็นพี่ชายฉันให้ฟัง “หงส์ไม่รู้หรอกนะคะ ว่าคนในห้องนั้นกับคุณยูกิจะสนิทกันมากน้อยเพียงไหน แต่หงส์ก็คือหงส์ และพี่มอม้าก็เป็นผู้มีพระคุณอีกคนของหงส์เพราะฉะนั้น…” ฉันหยุดพูดเพื่อหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดอีกครั้ง “ถ้าพี่มอม้าจะให้หงส์เรียกแค่ชื่อพี่ห้วนๆ หงส์ก็จะไม่ให้พี่มอม้าเรียกหงส์ว่า ‘คุณ’ นำหน้าด้วยเช่นกัน โอเคมั้ยคะ?” ฉันลองยื่นหมูยื่นแมวกลับไปดู “อา... สรุปคุณไฉ่หงจะเอาแบบนั้นจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย” มอม้ายกมือเกาหัวแกรกๆ คล้ายกับปวดหัวที่คุยกับเด็กดื้ออย่างฉัน “ใช่ค่ะ! ถ้าพี่มอม้าไม่ทำตามนั้น หงส์ก็จะไม่คุยด้วยจริงๆ นะคะ” ฉันยื่นคำขาดออกไป ตอนนี้ฉันยังสับสนอยู่เลย จู่ๆ ฉันก็มีพี่ชาย? ไม่เห็นฉิงเฉาจะเคยบอกไว้ก่อนหน้าเลยว่าฉันก็มีพี่ชายกับเขาด้วย แถมพี่ชายยังเป็นเพื่อนยูกิที่เคยช่วยชีวิตฉันไว้อีก ฟังดูเหมือนละครน้ำเน่าเลยอะ โลกมันกลมเกินไปว่าเปล่า? หลังจากที่ฉันกับมอม้าตกลงเรื่องการเรียกชื่อกันเสร็จ มอม้าก็พาฉันกลับมาที่ห้องทำงานคุณยูกิอีกครั้ง ฉันยืนอยู่หน้าห้องสูดเอาอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ ยืนทำใจให้สงบอยู่ราวๆ สามนาที มอม้าเลยเป็นคนเปิดประตูพาฉันเข้าไปพบพี่ชายตัวเองอีกครั้ง “ยัยน้อง!” ฉันที่เพิ่งเดินพ้นประตูหน้าห้องเข้าไปไม่ถึงสามก้าว เสียงผู้ชายที่เคยเข้ามากอดฉันก่อนหน้าก็ตะโกนลั่น พร้อมกับจะวิ่งเข้ามาหาฉัน ติดตรงที่ว่ายูกิที่นั่งอยู่ข้างๆ คว้ามือเขาแล้วกระฉากให้นั่งลงที่โซฟาที่เดิมได้ก่อน “มึงแม่ง! ใจเย็นดิวะ” ยูกิห้ามคนที่กำลังจะลุกมาหาฉัน พร้อมกับปรายตามามองฉันเหมือนคนไม่อยากเจอหน้ากัน เย็นชาชะมัด! “มานี่สิ! ยืนบื้ออยู่ได้” คำพูดคำจาแต่ละคำที่ออกจากปากผู้มีพระคุณของฉันทำไมมันถึงได้ขัดกับภาพเทพบุตรที่เคยช่วยฉันไว้วันนั้นไปซะหมดขนาดนี้ ฉันไม่ต่อปากต่อคำกับเขา เลือกที่จะเดินเข้าไปตรงจุดที่ผู้ชายร่างสูงใหญ่ทั้งสองคนนั่งอยู่ เลือกที่จะหยุดยืนอยู่ข้างคนที่บอกว่าตัวเองเป็นพี่ชายของฉัน “นั่งสิ!” น้ำเสียงที่เรียกให้ฉันนั่งแลดูหงุดหงิด ทำไมทำเหมือนไม่ชอบขี้หน้าฉันขนาดนี้ ฉันทำอะไรขัดใจเขางั้นเหรอ? “ไอ้สัสยู! มึงพูดกับน้องกูดีๆ สิวะ แม่งดูสิยัยน้องตัวหดเหลือนิดเดียวแล้ว” ผู้ชายผมดำตาตี๋ๆ เอ่ยว่าเพื่อนเขา พร้อมกับเบือนหน้าส่งแววตาดีใจระคนสงสารมาให้ฉันอีกที ฟึ่บ! ฉันไม่อยากให้ทั้งสองคนทะเลาะกันเพราะฉันเป็นตัวต้นเหตุ จึงเลือกที่จะนั่งลงพื้นข้างๆ เพื่อนยูกิเพื่อตัดปัญหา “เฮ้ย! ทำอะไรของเธอ” มอม้ารีบร้อนวิ่งมาพยุงฉันที่นั่งแหมะลงพื้นกระเบื้องที่เย็นเฉียบ เสียงร้องทักเมื่อกี้ของเขาทำให้ฉันตกใจทำอะไรแทบไม่ถูก “ก็คุณยูกิบอกให้หงส์นั่ง?” ฉันรู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองคงทำหน้าเอ๋อมาก ดูจากสายตาของมอม้าที่มองหน้าฉันแบบอึ้งๆ พร้อมกับสายตาของเพื่อนยูกิที่นิ่งงันอ้าปากค้าง แต่ตัวคนที่ออกคำสั่งให้ฉันนั่งกลับไม่มีปฏิกริยาใดๆ เขายังคงนั่งพิงพนักโซฟาสีเทาหม่นด้วยท่าทางสบายๆ เท่มันก็เท่อยู่หรอก แต่ฉันรู้สึกหมั่นไส้สายตาเรียบนิ่งนั่นมากกว่า แววตาที่ไม่บ่งบอกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่นั่นมันก็ชวนให้อยากค้นหา “ไม่ใช่นั่งตรงนั้นสิ ตอนนี้เธอเป็นถึงน้องสาวคุณหลั่นเทียนเพื่อนเฮียนะ ต้องนั่งบนโซฟา” มอม้าว่าให้พร้อมกับพาฉันมานั่งข้างๆ ผู้ชายตาตี๋ๆ ฉันหันไปมองหน้ายูกิที่นั่งฝั่งตรงข้ามพวกเรา แวบหนึ่งฉันมองเห็นคำด่าทอในสายตาคนเย็นชา ‘ปัญญาอ่อน’ หรือไม่ก็ ‘ซื่อบื้อ’ “ถามจริง! ก่อนหน้านี้น้องกูอยู่ที่นี่ทำหน้าทีไรวะ” คนที่นั่งข้างๆ ฉันถามยูกิน้ำเสียงแลไม่ค่อยสบอารมณ์ “ถามมัน!”แทนที่คนถูกถามจะตอบ เขากลับโบ๊ยมาให้ลูกน้องตัวเองแทน “ผมให้คุณไฉ่หงดูแลเฮียยูกิฮะ” เสียงตอบที่ฉะฉานของมอม้าทำให้คนที่นั่งข้างๆ ฉันพยักหน้าเหมือนเข้าใจ แต่ก็มีความงงงวยปะปนอยู่ “แล้วทำไมน้องกูทำท่าทางไม่เห็นจะเหมือนคนดูแลมึงเลย ยัยน้องทำเหมือนกับตัวเองเป็นคนใช้ซะมากกว่า” ฉึก! แทงใจดำเลย “เข้าเรื่องเหอะ กูอยากพักผ่อน” คนถูกถามยังคงไม่ตอบ แต่กลับเฉไฉเปลี่ยนเรื่องแทน “เออๆ” ผู้ชายข้างๆ ตอบเพื่อนเขาในประโยคแรกและหันมาคุยกับฉัน “นี่ยัยน้อง” ฉันสะดุ้งตัวเล็กน้อย หลังจากที่เขาเรียกฉัน คือ... ไม่ได้เรียกเฉยๆ ไง แต่ขยับตัวเข้ามาใกล้ฉันจนเกือบจะตัวติดกัน “เอ่อ...” ฉันตั้งสติไม่ทัน ไม่รู้จะเริ่มคุยกับเขาว่ายังไง เลยได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ “ไม่ต้องกลัวพี่ขนาดนั้น เราสองคนเป็นพี่น้องแท้ๆ พ่อแม่คนเดียวกัน” คิ้วฉันขมวดเป็นปมทันทีที่ได้ฟังคำพูดนั้น เหมือนเขาจะเดาสีหน้าฉันออกว่าไม่เชื่อ เลยหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ยตรงกลางขึ้นมา กดๆ อะไรสักอย่างพร้อมกับยื่นมันมาให้ฉันดู ภาพในหน้าจอโทรศัพท์เครื่องนั้นทำให้ฉันเบิกตากว้าง หันมองหน้าบุคคลที่เป็นเจ้าของมือถือเครื่องนี้ด้วยแววตาสับสนระคนดีใจ รูปถ่ายที่มีใบหน้าของหญิงสาวผมสีน้ำตาลอ่อน ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลอยู่ในนั้น “เชื่อหรือยังว่าเราเป็นพี่น้องกัน” คนข้างๆ จับมือฉันเลื่อนหน้าจอเพื่อดูรูปอื่นๆ ที่มีฉันกับเขาถ่ายคู่กัน “เฮีย” ฉันโพล่งออกมาโดยไม่รู้ตัว “อื้ม! เฮียเอง เฮียเทียน พี่ชายของเธอไงยัยน้อง” สัมผัสอบอุ่นจากอ้อมกอดของพี่ชายฉันที่มอบให้ตอนนี้มันอุ่นมาก อุ่นมาถึงหัวใจที่เหมือนจะแห้งเหือดมานาน ฉันปล่อยน้ำตาที่กักกลั้นในตอนแรกเอาไว้ไม่อยู่ ปล่อยมันไหลเปลอะเปลื้อนเสื้อตรงแผงอกเฮียเทียนจนชุ่ม “เฮียขอโทษนะยัยน้อง ที่มาหาเธอช้า” ฮึก อึก~ ไร้การตอบกลับจากฉัน เพราะตอนนี้มันดีใจจนพูดออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ อยากจะบอกพี่ชายคนนี้เสียเหลือเกิน ‘หงส์เองก็ดีใจ’ แม้จะจำอะไรเกี่ยวกับตัวพี่ชายและตัวเองไม่ได้เลย แต่พอรู้ตัวว่าฉันยังมีครอบครัวเหลืออยู่บนโลกใบนี้มันก็มากพอสำหรับฉันแล้ว “จะดราม่ากันอีกนานมั้ย?” เสียงเยือกเย็นจากคนที่เจ้าอำนาจสุดในห้องดังขึ้น ทำให้เฮียเทียนผลักฉันออกจากอ้อมกอดเบาๆ “อิจฉากูเหรอ มึงอยากกอดบ้างมั้ยล่ะ? แต่กอดปืนกูไปแทนก่อนนะ” เฮียเทียนใช้น้ำเสียงกวนๆ ว่าให้ยูกิ คนถูกประชดไม่ได้สะทกสะท้านอะไรแม้แต่น้อย สายตาที่ไร้อารมณ์ยังคงจ้องหน้าฉันไม่ให้คลาดสายตาสักเสี้ยววินาที “กูพูดกับมึง คนฟังที่ดีควรมองหน้าคนพูดด้วย นั่นคือมารยาท!” ฉันรีบหันควับไปมองหน้าเฮียเทียน มือน้อยๆ เอื้อมไปดึงแขนเสื้อเฮียเทียนเบาๆ เป็นเชิงสั่งห้ามว่าให้หยุดเปิดศึกนี้ซะ! “โอเคๆ” เฮียเทียนยอมเชื่อฉัน เขาฝืนส่งยิ้มมาให้ “จะฝากนานแค่ไหน” ยูกิถามขึ้น ครั้งนี้เขายอมถอนสายตาจากฉันไปแล้ว ฟู่! ฉันแอบพ่นลมออกจากปากเบาๆ เมื่อไม่มีสายตากดดันจ้องมองหน้าอีก แต่สิ่งที่ยูกิถามเฮียเทียนก็ทำให้ฉันสงสัยไม่น้อย เขาหมายถึงอะไร? “กูตอบไม่ได้ว่ะ! แต่กูรับรองได้ว่ายัยน้องจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้มึง” “หึ! ให้มันจริง” ยูกิหัวเราะเย้ยหยันกับคำพูดของเฮียเทียน “เฮียหมายความว่ายังไงคะ?” เพราะสงสัยในเรื่องที่สองคนนี้คุยกันเลยอดที่จะถามออกไปไม่ได้ “หงส์ต้องอยู่ที่นี่กับไอ้ยูกิต่อ” คำตอบของเฮียเทียนเหมือนคำสั่งมากกว่า ฉันควรรู้สึกดีใจที่จะได้อยู่ที่นี่ต่อ เพราะตอนแรกฉันมาที่นี่เพื่อต้องการทดแทนบุญคุณของยูกิ แต่ตั้งแต่ที่ฉันอยู่ที่นี่มาหลายสัปดาห์ทำให้ฉันรับรู้ว่า คนๆ นี้ไม่ได้ต้องการสิ่งตอบแทนใดๆ จากผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างฉันเลย กลับกัน... ฉันยิ่งเหมือนกับพวกแมลงหวี่แมลงวันที่คอยสร้างความรำคาญให้เขาเสียด้วยซ้ำ คิดแล้วก็รู้สึกเจ็บนิดๆ แหะ! เธอช่างเป็นคนไร้ประโยชน์จริงๆ ไฉ่หง! “เฮียก็อยากพาเรากลับฮ่องกงเหมือนกันนะ แต่ที่นั่นไม่ปลอดภัยสำหรับน้อง” สายตาเป็นห่วงเป็นใยที่เฮียเทียนส่งมาให้ ทำให้ฉันพยักหน้ารับ “ค่ะ” ตอบรับคำสั่งผู้เป็นพี่ชายจบ สองตาคู่สวยก็หันมามองหน้าคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแบบกล้าๆ กลัวๆ ‘น่ารำคาญ’ ฉันเห็นนะ เมื่อกี้ยูกิขยับปากไม่ให้มีเสียง เขาบอกว่าฉันมันน่ารำคาญใช่ไหม? ฉันทำตัวแบบนั้นตอนไหน ทำไมเขาถึงต้องจงเกลียดจงชังฉันนักนะ “คุณไฉ่หงไปเก็บของดีกว่าครับ เดี๋ยวต้องย้ายห้องมาอยู่ตึกนี้แทนห้องเก่า” เสียงมอม้าดังขัดหัวใจที่ปวดหน่วงของฉันขึ้นทันเวลา เพราะถ้าไม่มีใครพูดอะไรออกมาตอนนี้ น้ำตาฉันมันต้องไหลพรากออกมาอีกรอบแน่ๆ และแน่นอนว่าครั้งนี้ไม่ใช่น้ำตาของความดีใจเหมือนตอนแรก แต่มันจะเป็นน้ำตาของคนพ่ายแพ้ แพ้! ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่าไปพนันอะไรไว้ตอนไหน “อย่าให้มันมากไปไอ้มอม้า นี่คาสิโนกู” เสียงเยือกเย็นของยูกิดังขึ้น น้ำเสียงเขากดต่ำไม่พอใจกับการตัดสินใจเอาเองของมอม้าอย่างมาก “เฮียอย่าปากแข็งเลยว่ะ! รู้ทั้งรู้ว่าสถานะคุณไฉ่หงตอนนี้เป็นยังไง ยังจะให้เธอไปนอนในห้องเก็บของเก่าๆ นั่นต่ออีกเหรอ” “ห้องเก็บของ!” สิ้นคำพูดมอม้า เฮียเทียนก็โพล่งขึ้นเหมือนกับไม่พอใจ แย่แล้ว! ต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่จะมีศึกน้ำลายของทั้งสามคนนี้ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หงส์อยู่ที่เดิมก็ได้” ประโยคนี้ฉันพูดกับมอม้า “ห้องเก็บของนั่นไม่ได้แย่มากมายอะไรหรอกค่ะเฮีย หงส์อยู่ได้ มันมีของใช้ของอำนวยความสะดวกเกือบจะครบครัน เพราะงั้นสบายมาก” ฉันฉีกยิ้มกว้างให้พี่ชาย เพื่อที่จะให้เขาสบายใจกับที่พักพิงของตนเอง เฮียเทียนหันไปมองหน้ายูกิเหมือนกับคาดคั้นให้เขาพูดอะไรบ้าง “เอาที่พวกมึงสบายใจไปเลย! ยกเว้นชั้นสาม!” ยูกิพูดไว้เพียงเท่านั้นเขาก็เดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน นั่งสนใจเอกสารบนโต๊ะนั้นไม่สนใจพวกเราสามคนที่นั่งอยู่โซนรับแขกอีกเลย หมับ! ฝ่ามือหนาแต่อบอุ่นของเฮียเทียนดึงสายตาที่เอาแต่จ้องมองคนเย็นชาหันมาสนใจพี่ชายตัวเองอีกครั้ง “ทนหน่อยนะหงส์ เฮียจะรีบจัดการเรื่องที่ฮ่องกงให้เรียบร้อยแล้วจะมารับเรากลับบ้านเรานะ” น้ำเสียงจริงจังแต่ปะปนความเศร้าเคล้าเจ็บปวดของเฮียเทียนทำให้ฉันเอ่ยถามถึงเรื่องบางเรื่องออกไป “ที่นั่นมีเรื่องอะไรเหรอคะ แล้วทำไมหงส์ถึงกลับไปตอนนี้ไม่ได้ หงส์คิดถึงป๊ากับแม่ทั้งสองคนสบายดีใช่ไหมคะ ฉิงเฉาบอกว่าพวกท่านเป็นคนดี” แววตาเฮียเทียนสั่นไหวเล็กน้อย ถ้าฉันตาไม่ฟาดเมื่อกี้เหมือนจะเห็นน้ำคลอที่หน่วยตาของเฮียแกด้วยนะ แต่พอฉันกระพริบตาสิ่งที่เห็นก็หายไปแล้ว “อื้ม! ป๊ากับแม่เป็นคนดี พวกท่าน... สบายดี” ฉันยิ้มออกมาด้วยความดีใจที่ได้ยินว่าพวกท่านสบายดี “แล้วพี่จะแวะมาเยี่ยมเราบ่อยๆ นะ” เฮียเทียนพูดเหมือนเขาจะกลับแล้ว ฉันเลยฉุกคิดขึ้นมาได้ว่ายังมีเรื่องบางอย่างที่ยังไม่ได้บอกเขา “เฮียคะ คือว่า...” ฉันกระตุกชายเสื้อเฮียเทียนไว้เบาๆ เพราะตอนนี้เฮียแกกำลังลุกขึ้นจะเดินไปหายูกิที่โต๊ะทำงาน เฮียเทียนชะงักเล็กน้อย หันหน้ามาจ้องหน้าฉัน คิ้วข้างหนึ่งเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม “เฮียรู้จักฉิงเฉาใช่ไหมคะ คือว่าเขาเป็นคนช่วยพาหงส์มาที่นี่แล้วก็...” พูดถึงฉิงเฉาทีไร น้ำตาก็จะไหลทุกที ความรู้สึกที่ฉันมีต่อเขามันมากกว่าการเป็นเจ้านายกับลูกน้องอย่างที่เขาเคยบอก มันเหมือนกับว่า ฉันกับฉิงเฉาสนิทกันมากกว่านั้น ผูกพันธ์กันมากกว่าสถานะบอดี้การ์ดของป๊า “เฮียรู้เรื่องแล้ว ฉิงเฉามันเป็นคนมีฝีมือ มันไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก เฮียสั่งคนออกค้นหามันแล้ว ไม่นานน้องต้องได้รับข่าวดี” เฮียเทียนเอื้อมฝ่ามือหนาวางบนหัวฉัน พร้อมกับโยกไปมาเบาๆ เพื่อปลอบใจ ฉันใช้เวลาถึงสามชั่วโมงในการย้ายข้าวของจากห้องเก็บของที่อยู่หลังคาสิโนมาที่ตึกใหญ่ชั้นสอง ยูกิให้ฉันอยู่ห้องถัดไปจากห้องนอนเขาบนชั้นนี้ “ไม่นึกเลยนะว่าหงส์ เอ่อ... คุณไฉ่หงจะเป็นถึงน้องสาวเพื่อนคุณยูกิ” “เรียกหงส์เหมือนเดินเถอะค่ะเจ๊ลิ” ฉันเม้นปากขัดใจนิดๆ กับสรรพนามที่ลิชาเรียกเมื่อครู่ “ได้ไงล่ะคะ แบบนั้นเดี๋ยวพวกสิตากับเจ๊ลิก็ซวยกันพอดี” สิตาที่กำลังนั่งพักเหนื่อยบนเก้าอี้ข้างๆ ฉันพูดขึ้นบ้าง ฉันได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ ให้กับความคิดของทั้งสองคน ฉันไม่ใช่คนถือเรื่องพวกนี้ ฉันไม่ได้อยากทำตัวเหนือคนอื่น ฉันจะเป็นใคร ใหญ่มาจากไหนฉันไม่สนใจ ฉันแค่อยากมีเพื่อนดีๆ อย่างเจ๊ลิชากับสิตาก็แค่นั้น “ถ้าทั้งสองคนทำตัวแบบนี้ หงส์นี่แหละค่ะที่จะซวย” ฉันพูดออกไปน้ำเสียงน้อยใจ “ซวยยังไง” ลิชาเดินมานั่งลงที่โซฟายาวตัวเดียวกันกับฉันที่อยู่ปลายเตียง “ก็ซวยที่จะไม่มีเพื่อนดีๆ อย่างเจ๊ลิชาแล้วก็สิตาไงคะ เป็นเพื่อนกันอยู่ดีๆ จู่ๆ มาถูกเรียกซะห่างเหินแบบนี้ หงส์ไม่เอาด้วยหรอกค่ะ” ฉันพูดระบายความรู้สึกอัดอั้นในใจออกมาจนหมด ทั้งสองคนทำหน้าเหวอเล็กน้อยที่ได้ยินฉันพูดตัดพ้อตัวเอง จากนั้นรอยยิ้มหวานๆ ก็ปรากฏบนในหน้าของทั้งสองคน “โอ๋ๆ มานี่มะ แม่หงส์น้อยขี้น้อยใจ” เจ๊ลิชาเอื้อมมือมาคว้าร่างบางของฉันเข้าไปกอด ไม่นานสิตาก็เดินมานั่งข้างๆ ฉัน พร้อมกับเอื้อมมือมากอดฉันไว้อีกทาง “ขอบคุณนะคะที่ทั้งสองคนดีกับหงส์ ขอบคุณจริงๆ” น้ำเสียงสั่นเครือเอ่ยขอบคุณทั้งเจ๊ลิชาและสิตาออกไป ทั้งสองยิ่งกระชับอ้อมกอดแน่นมากขึ้นกว่าเดิม
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม