เขาใจดีจังเลยนะ ดีใจจังที่ชีวิตฉันได้เจอกับคนดีๆ แบบนี้
มอม้าพาฉันเดินดูทั่วทุกซอกทุกมุมของคาสิโน พร้อมกับแนะนำทุกคนให้รู้จัก สุดท้ายก็พาฉันมาพักที่ห้องเก็บของเก่าๆ ที่ถ้าเก็บกวาดดีๆ ก็ใช้เป็นที่ซุกหัวนอนได้
“พอดีเฮียยูแกไม่อนุญาตให้ใครขึ้นพักบนตึก แกไม่ชอบความวุ่นวาย หงส์อยู่ที่นี่ได้ใช่ไหม” มอม้าถามฉันด้วยสายตาเหมือนรู้สึกผิด
“สบายมาก เก็บกวาดนิดหน่อยก็อยู่ได้แล้ว ก่อนหน้ากินนอนข้างถนนหงส์ก็อยู่มาหมดแล้ว แค่นี้ถือว่าดีกว่าก่อนมากโข” ฉันยิ้มให้กับความมีน้ำใจของเขา
“งั้นขาดเหลืออะไรบอกฉันได้นะ เดี๋ยวเย็นๆ จะพาไปซื้อเสื้อผ้า”
ฉันทำหน้าอ้ำๆ อึ้งๆ เมื่อมอม้าพูดถึงเรื่องนี้ สองตาเรียวรีมองลงไปที่กระเป๋าสะพายข้างสีชมพูใบเล็กที่เหลือเงินแค่ใบสีม่วงใบเดียว
“เรื่องเงินไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันออกให้ก่อน” มอม้าคงจะสังเกตเห็นสิ่งที่ฉันกำลังกังวลเขาเลยเอ่ยปากอาสาช่วย “งั้นหงส์ไม่เกรงใจนะ ถ้ามีเงินจะรีบคืนทันที”
ฉันยิ้มกว้างให้กับความใจดีของผู้ชายตรงหน้า
หลังจากที่ใช้เวลาเก็บกวาดห้องเก็บของไปถึงสองชั่วโมง ฉันก็ได้ห้องใหม่ที่ทั้งสะอาดและน่าอยู่ “เธอคือหงส์ใช่ไหม?” เสียงแหบๆ ของผู้หญิงดังขึ้นที่หน้าประตูห้องที่ฉันเปิดค้างเอาไว้
“ค่ะ” ฉันหันไปตอบผู้หญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวได้เปรี้ยวเข็ดฟันสุดๆ เธอสวย หุ่นอวบอั๋น แถมท่าทางน่าจะใจดี ยืนส่งยิ้มหวานๆ มาให้
“ฉันชื่อลิชา เรียกเจ๊ลิก็ได้ พอดีคุณมอม้าให้มาช่วยพาเธอไปซื้อของใช้ส่วนตัวน่ะ” ผู้หญิงที่เพิ่งเรียกฉันเมื่อครู่แนะนำตัว พร้อมกับเดินเข้ามาภายในห้อง
“หงส์ค่ะ ขอฝากตัวด้วยนะคะเจ๊ลิ” ฉันยิ้มหวานแนะนำตัวกับลิชา
ลิชาพาฉันไปซื้อของที่ห้างไม่ไกลจากยุกกี้คาสิโนเท่าไหร่ เราใช้เวลาเดินทางแค่สิบห้านาทีด้วยการเดินเท้า และใช้เวลาเดินซื้อของอีกประมาณค่อนชั่วโมงได้ หมดเงินไปเยอะอยู่เหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยๆ ทยอยคืนมอม้าแล้วกัน
“หงส์เอาของไปเก็บแล้วค่อยออกมาหาเจ๊ที่โซนบาร์นะ ถ้ามาไม่ถูกลองถามเด็กๆ ที่แต่งตัวเหมือนพนักงานเสิร์ฟเอาก็ได้”
“ค่ะ” ฉันพยักหน้าตอบลิชา ปลีกตัวเอาของเข้ามาเก็บในห้องนอนตามที่เธอบอก โชคดีที่ห้องเก็บของนี้มีห้องน้ำในตัวด้วย
“เป็นไงมาไงถึงได้มากับคุณมอม้าได้ล่ะ” หลังจากเดินเข้ามาถึงโซนบาร์ลิชาก็เอ่ยถามฉันแทบทันที
“พอดีหงส์มีหนี้บุญคุณต้องทดแทนคุณยูกิ แล้วโชคดีเจอกับพี่มอม้า เขาเลยพาหงส์มาที่นี่แล้วก็ช่วยพูดให้ได้ทำงานที่นี่อีกแรงค่ะ” ฉันเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้ลิชาฟัง เพราะตอนไปห้างพวกเรามัวแต่เดินเลือกซื้อของแทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลย
“เหมือนพรหมลิขิตเลยเนอะ ผู้หญิงตามหารักแท้”
“เจ๊คะ หงส์ว่ามันคนละเรื่องแล้วค่ะ หงส์บอกว่าจะมาตอบแทนบุญคุณไม่ได้ตามหารักแท้อะไรนั่นสักหน่อย” ฉันรีบอธิบายให้ลิชาฟังเพราะเธอกำลังจะเข้าใจเจตนาของฉันผิด
“ฮ่าๆ เออนั่นแหละ เจ๊พูดไว้เผื่อมันจะพลิกผลันยังไงล่ะ” ฉันส่ายหน้าน้อยๆ ให้กับความคิดที่แสนจะเลยเถิดของเจ๊แสนสวยตรงหน้า
“เด็กเส้นอีกแล้วเหรอ ครั้งนี้สวยนี่” เสียงแหลมๆ ของผู้หญิงปากแดงๆ ที่เพิ่งเดินเข้ามานั่งโต๊ะที่บาร์เหล้าที่ฉันกับลิชานั่งอยู่ก่อนหน้าเอ่ยขึ้น
“น้อยๆ หน่อยคำพูดคำจา” ลิชาว่าให้ผู้หญิงปากแดงที่เพิ่งมาถึง เธอเบะปากพร้อมจ้องมองฉันตาเขม็ง “หวังว่าจะไม่ได้มาอ่อยคุณยูกิหรือคุณมอม้าหรอกนะ”
ผู้หญิงคนเดิมยังคงเอ่ยน้ำเสียงกระแหนะกระแหนใส่ฉัน
“ไม่มีการมีงานทำหรือไง ถึงได้มาเที่ยวแขวะชาวบ้านเขา” ลิชาว่าให้ผู้หญิงคนเดิม “เปล่า! ก็แค่เตือนว่าอย่าคิดไปอ่อยใครเขาเข้า เดี๋ยวจะตายไม่รู้ตัว” เธอพูดพร้อมกับมองหน้าฉันขมึง ทำเหมือนเกลียดอะไรฉันมากทั้งๆ ที่เราเพิ่งจะเคยเจอกัน
“ก็ดีนะที่หัดเตือนคนอื่น! แต่ฉันว่าหล่อนควรจะบอกตัวเองมากกว่ามั้งยัยจ๋า เพราะคนที่คิดจะทำแบบนั้นก็คงมีแค่หล่อนกับสมุนของหล่อนเท่านั้นแหละ”
“เจ๊!!”
หลังจากที่ทั้งสองคนกำลังสาดคำจิกกัดกันอย่างเมามันส์ ฉันบังเอิญมองขึ้นไปบนชั้นลอยเห็นผู้ชายผมชมพูกำลังจ้องเขม็งลงมายังโต๊ะที่พวกเราสามคนกำลังมีปากเสียงกัน
“เจ๊มีอะไรให้หงส์ช่วยทำหรือเปล่า” ฉันรีบละสายตาจากยูกิที่มองลงมารีบเข้าไปเขย่าแขนลิชาให้เธอละความสนใจจากจ๋าที่กำลังเถียงกันอยู่
“คุณมอม้ามอบหน้าที่ดูแลคุณยูกิให้เธอไม่ใช่เหรอ เรื่องในคาสิโนเธอไม่จำเป็นต้องทำหรอก ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายของตัวเองให้ดีก็พอ”
ลิชาเตือนฉันด้วยแววตาเป็นห่วง ฉันพยักหน้ารับคำเจ๊แกแล้วเดินออกมาจากตรงนั้นเพื่อไปยังห้องทำงานของเจ้านายที่เขาไม่ต้องการ
ก๊อกๆ
ฉันยืนเคาะประตูไม้สักอยู่สองสามที เพื่อรอเสียงอนุญาตจากเจ้าของห้อง แต่จนแล้วจนรอดคนที่ฉันรู้ว่าเขาอยู่ในห้องก็ไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมา
‘ขอแล้วนะ ไม่ยอมตอบเอง อย่ามาว่าที่หลังแล้วกัน’
ฉันบ่นๆ กับตัวเองเสร็จ เปิดประตูเข้าไปภายในห้องทำงานของยูกิ เดินไปไม่ถึงสามก้าวก็ต้องหยุดเท้ากึก เมื่อรู้สึกว่าข้างหลังตัวเองมีวัตถุแข็งๆ จ่ออยู่
“ใครอนุญาตให้เธอเข้ามา” น้ำเสียงแข็งๆ เอ่ยถามฉัน ทำให้ขนในกายลุกชันกับลมหายใจเยือกเย็นที่เป่ารดต้นคอตัวเอง
“หะ หงส์เคาะแล้ว แต่ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับ แต่ก็ถือว่าขอ... อ๊ะ!”
ฉันที่ยังพูดไม่ทันจบดี คนเยือกเย็นที่เอาปืนจ่อหลังฉันอยู่ก็ผลักไหล่ฉันไปข้างหน้าเล็กน้อย แล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานเขาตามเดิม บรรยากาศกลับมาเงียบงันอีกครั้ง แต่กลับชวนขนลุกซู่เพราะมันเย็นยะเยือกเหมือนอยู่ในป่าช้าที่แสนจะวังเวง
“จะทำอะไรก็รีบๆ ทำ ไอ้มอม้าสั่งให้ทำอะไรบ้างล่ะ” หลังจากที่ภายในห้องเงียบไม่นาน ยูกิก็เอ่ยออกมาน้ำเสียงนิ่งๆ ปนเย็นชา
“เที่ยงนี้คุณยูกิจะทานอะไรเป็นพิเศษมั้ยคะ” ฉันเอ่ยถาม คนถูกถามแทนที่จะตอบ เขากลับเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารตรงหน้า จ้องหน้าฉันด้วยแววตาที่เดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่
“เรื่องแค่นี้ต้องให้บอก?” เขาเอียงคอหน่อยๆ พร้อมกับเอ่ยแขวะฉันเสียงเรียบ
ฉันถึงกับอึ้งกับคำตอบของเขาที่สุดแสนจะกวนโอ๊ยสุดๆ
คนอุตส่าห์ถามดีๆ
“ถ้าไม่มีเมนูอะไรอยากทานเป็นพิเศษงั้นรอสักครู่ค่ะ เดี๋ยวหงส์จะเอาอาหารเที่ยงมาให้” พูดจบฉันก็เดินปึงปังกระแทกเท้าด้วยความไม่พอใจออกมาจากห้องมนุษย์หน้านิ่งทันที
[Yuuki’s part]
ไม่มีมารยาทจริงๆ ผู้หญิงอะไร นี่ขนาดผมเป็นคนที่เธอบอกจะมาตอบแทนบุญคุณงี่เง่าอะไรนั่นแท้ๆ แต่แค่เรื่องอาหารการกินแค่นี้ยังต้องถ่อมาถามผม แล้วแบบนี้จะตอบแทนอะไรผมได้ เรื่องขี้ประติ๋วยังคิดเองไม่เป็น
ผมนั่งทำงานต่อสักพักเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ก๊อกๆ
“ขอเข้าไปนะคะ” ครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เสียงเคาะประตู แต่มีเสียงพูดกึ่งตะโกนของผู้หญิงที่เพิ่งออกจากห้องผมไปเมื่อยี่สิบนาทีก่อนดังมาด้วย
แอ้ด~ ประตูไม้สักใบเขื่องของผมถูกเปิดออก พร้อมกับกลิ่นหอมของอาหารที่คนตัวเล็กที่หน้าตามอมแมมยกเข้ามา
“สาบานว่ากินได้” ผมถามออกไปทั้งๆ ที่ยังไม่เห็นหน้าตาของอาหารที่อยู่ในจานและมีฝาคลอบอยู่อีกที ที่ถามเพราะดูจากสภาพหน้าตามอมแมม เสื้อผ้าเลอะซอสมะเขือเทศ และเศษหมูสับที่ติดผ้ากันเปื้อนเธออยู่ต่างหาก
“อย่าดูถูกฝีมือหงส์นะคะ รับรองว่าหมูสับสามรสของหงส์อร่อยเหาะ”
หงส์ยกจานข้าวในมือขึ้นสูงระดับไหล่ พร้อมกับการันตีเองคนเดียวว่าของที่ยกมานั้นอร่อย จากนั้นเธอก็เดินไปวางจานข้าวไว้ตรงโต๊ะรับแขกที่ผมมักจะใช้มันทั้งกินข้าว นั่งพักผ่อนคลายเครียดไปด้วย
“ต้องทานร้อนๆ ถึงจะอร่อย คุณยูกิวางมือจากงานแล้วมาทานเร็วๆ สิคะ”
ยัยนี่กล้าสั่งผม? ผมมองหน้าเธอแบบดุๆ แต่แทนที่หงส์จะกลัวเธอกลับยิ้มแฉ่งโชว์ฝันขาวสะอาดเรียงตัวสวยให้ผมแทน
ยัยนี่เป็นคนที่สองที่กล้าท้าทายอำนาจมืดของผม
ผมไม่อยากให้เธออยู่ในห้องนี้นานๆ เลยรีบเดินมากินให้เสร็จเธอจะได้เก็บจานแล้วออกจากห้องผมไปสักที
หมับ! ผมที่กำลังจะตักหมูสับอะไรสักอย่างที่ชื่อโคตรจะยาวของเธอเข้าปากก็ต้องหยุดชะงักมือค้าง เมื่อยัยตัวดี นั่งลงบนพื้นกระเบื้องข้างๆ โซฟาตัวที่ผมนั่งอยู่
เธอจ้องมองหน้าผมตาแป๋ว ทำหน้าตาลุ้นอย่างหนักว่าอาหารเธอจะอร่อยอย่างที่โม้ไว้หรือเปล่า
“ลุก!” ผมสั่งเธอเสียงแข็ง พร้อมกับวางช้อนข้าวลงที่จานตามเดิม หงส์ทำสีหน้าตกใจ สะดุ้งตัวโหยงกับเสียงตะคอกเมื่อครู่
“ฉันบอกให้ลุก ใครใช้ให้เธอมานั่งจ้องคนกำลังกินข้าว ไม่มีมารยาท” ผมก่นด่าเธอพร้อมกับมองด้วยสายตาตำหนิ
“ขอโทษค่ะ ไม่เห็นจะต้องดุขนาดนี้เลย คนหรือหมากันแน่ ดุชะมัด” หงส์คงคิดว่าตัวเองก่นด่าผมเบามากสิท่า ถึงได้กล้าเปรียบว่าผมดุเหมือนหมา
“อย่าปีนเกลียว คิดว่าไอ้มอม้าให้ท้ายแล้วจะทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ?” ผมว่าให้เธอเสียงดุอีกรอบ ครั้งนี้หงส์จ้องหน้าผมพร้อมกับทำหน้าเหวอๆ ปากพะงาบๆ เหมือนกับจะเถียงอะไรออกมาแต่ก็ต้องหุบปากลงตามเดิม
ผมใช้เวลากินข้าวฝีมือยัยเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอยู่ประมาณสิบนาทีถามว่ารสชาติเป็นยังไง ก็พอกินได้ระดับหนึ่ง ดีกว่ากับข้าวมอม้าที่มันทำให้ผมกินทุกมื้อแทนแม่บ้านคนเก่าที่ผมเพิ่งไล่ตะเพิดไปก็แล้วกัน
“คุณยูกินอนในห้องทำงานด้วยเหรอคะ” เสียงเจื้อยแจ้วของยัยเด็กตาสีฟ้ายังคงดังเข้ามารบกวนสมาธิการทำงานผมเป็นระยะๆ ไม่รู้จะมาวนเวียนอะไรในนี้ ไม่มีการมีงานอย่างอื่นทำหรือยังไงวะ
“ออกไปได้แล้ว ฉันต้องการสมาธิ” ผมไม่จำเป็นต้องตอบคำถามเด็กที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าตรงหน้า เลยไล่ให้เธอออกไปจากห้องทำงานนี้สักที
“ออกไปข้างนอกก็ถูกไล่เข้ามาในนี้ อยู่ในนี้ก็ถูกไล่ออกไปข้างนอก จะให้หงส์อยู่ส่วนไหนของที่นี่ไม่ทราบ” น้ำเสียงประชดปนน้อยใจนิดๆ ของหงส์ดังขึ้น
ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นเธอกำลังยืนก้มหน้ามองเท้าน้อยๆ ที่สวมรองเท้าผ้าใบสีชมพู ใช้เท้าเขี่ยพื้นไปมา
เฮ้อ! ไม่รู้ทำไม เวลาเห็นท่าทางน้อยใจของเด็กคนนี้ทำให้ผมนึกถึงแก้มใสเมียไอ้กรุงโซลขึ้นมาตะหงิดๆ จะว่าไป ผมก็ไม่เห็นพวกนั้นมาเยี่ยมผมนานแล้วนะ
“เอาผ้าปูที่นอนฉันไปซักแล้วจะไปที่ไหนต่อจากนั้นก็ไป ไม่ต้องเข้ามาที่นี่อีกจนกว่าฉันจะเรียก” รำคาญที่จะมองหน้าผู้หญิงตรงหน้านานๆ เลยไล่เธอกรายๆ ด้วยการให้ไปทำความสะอาดห้องนอนตัวเองที่อยู่ห้องข้างๆ ห้องทำงานแห่งนี้
นี่แค่ไม่กี่วันที่เธอเข้ามาที่ยุกกี้คาสิโนของผม ก็ทำให้ผมปวดประสาทได้ขนาดนี้เชียว แล้วถ้าเธอยังคงอยู่ข้างกายผมแบบนี้เรื่อยๆ ผมไม่เป็นบ้าไปเลยเหรอวะ!
[End part]
วันนี้เป็นวันที่สุดแสนจะน่าเบื่อของไฉ่หงคนนี้อีกตามเคย ตั้งแต่ที่ฉันตามหาตัวยูกิ ผู้ที่ช่วยชีวิตฉันเจอและได้เข้ามาทำงานที่ยุกกี้คาสิโนของเขา นี่ก็ผ่านมาเกือบจะสัปดาห์ได้แล้ว
แต่ฉันก็แทบจะไม่ได้ทำอะไรที่เรียกว่าทดแทนบุญคุณเขาเลยนอกจากทำอาหารสามมื้อ ทำความสะอาดห้องนอนที่นานๆ ทียูกิจะอนุญาตให้ย่างกรายเข้าไป พอจะไปช่วยงานในบาร์ที่ชั้นหนึ่งก็โดนลิชา เจ๊ใหญ่ที่คุมพนักงานของโซนบาร์เกือบสามสิบคนไล่ไม่ให้ช่วย ด้วยเหตุผลที่ว่า…
‘คุณมอม้าสั่งไว้ ห้ามเธอทำนอกเหนือจากการดูแลคุณยูกิ’
เฮ้อ! แบบนี้จะไม่ให้ฉันนั่งจับเจ่าเบื่อหน่ายอยู่ที่ห้องนอนตัวเองได้ยังไง
“ฉิงเฉาตอนนี้นายเป็นยังไงบ้างนะ” พอสมองว่างเปล่าไม่รู้จะคิดเรื่องอะไร เลยฉุกคิดเรื่องของฉิงเฉาคนที่ช่วยพาฉันมาที่ประเทศไทยและหายตัวไป
ตั้งแต่ที่ฉันมาอยู่ที่ยุกกี้คาสิโนนี้ ก็ใช่ว่าฉันจะเลิกตามหาเบาะแสของลูกน้องคนนี้หรอกนะ ฉันยังคงพยายามเอารูปวาดที่ตัวเองมีให้แขกที่มาใช้บริการที่นี่ดู แต่ทุกคนก็ยังคงยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ไม่เคยเห็น’ ส่ายหน้ากันทุกคน
ก๊อก ก๊อก
ฉันที่กำลังนั่งเหม่อลอยคิดอะไรเรื่อยเปื่อยก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูห้องที่คงมีไม่กี่คนที่จะมาหาฉันในที่ซอมซ่อแบบนี้
“คุณมอม้าเรียกหาน่ะ บอกว่าให้เอาอาหารว่างไปเสิร์ฟแขกที่ห้องคุณยูกิ”
เป็นสิตานั่นเองที่มาเคาะประตู ‘สิตา’ เป็นเพื่อนที่เรียกว่าสนิทรองมาจากลิชา เธอคอยช่วยเหลือ ดูแล ให้คำแนะนำ ไม่จ้องหาเรื่องฉันเหมือนพวกจ๊ะจ๋า
“อื้ม ขอโทษนะที่ให้มาตาม” ฉันยิ้มแหยๆ รู้สึกผิดกรายๆ ที่ต้องให้สิตาเสีย
เวลางานมาตามไปทำหน้าที่
“คิดมาก ป้ะ! ไปกันเถอะเดี๋ยวคุณยูกิจะว่าเอา”
สิตายิ้มหวานส่งมาให้ฉัน พร้อมกับเอื้อมมือขาวๆ มาจับมือฉันให้เดินตามเธอไปที่ห้องครัว
ฉันจัดแจงอาหารว่างทั้งคาวและหวาน พร้อมกับน้ำผลไม้คั้นเพื่อไปต้อนรับแขกตามคำสั่งก่อนหน้า ไม่รู้จะใช้เวลาเตรียมอาหารนานไปสำหรับเจ้าของห้องผู้เยือกเย็นนั้นหรือเปล่า
ก๊อกๆ
เมื่อมาถึงหน้าห้องทำงานของยูกิ ฉันยกมือเคาะประตูห้องทำงานเขาไปสองครั้งเพื่อรอเสียงอนุญาตจากเจ้าของห้อง ไม่นานก็มีคนมาเปิดประตูห้องให้
แปลกมาก! ปกติจะไม่มีใครเดินมาเปิดประตูห้องให้แบบนี้
“เธอกลับไปได้แล้ว” เป็นมอม้านั่นเองที่มาเปิดประตูพร้อมกับยื่นมือมารับถาดอาหารที่ฉันจัดแจงมา “ให้หงส์ยกเข้าไปดีกว่าค่ะ” ฉันยังคงยื้อถาดอาหารนั่นไว้ เกรงว่ามันจะไม่เหมาะสม ยังไงซะมอม้าก็เป็นถึงลูกน้องคนสนิทของยูกิ
“ไม่เป็นไร พวกเรากำลังคุยธุระสำคัญกันอยู่น่ะ เธอกลับไปอยู่ห้องหรือไม่ก็ไปช่วยพวกเจ๊ลิที่บาร์แทนแล้วกัน”
เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่มอม้าอนุญาตให้ฉันเข้าไปช่วยงานพวกลิชาได้ ฉันเลยไม่อิดออด ปล่อยถาดอาหารให้มอม้ายกเข้าไป พร้อมกับหมุนตัวเพื่อจะเดินลงไปช่วยงานที่โซนบาร์ชั้นล่าง
แต่จังหวะที่มอม้ากำลังจะปิดประตูห้องทำงานยูกิลง หูฉันกลับได้ยินเสียงๆ หนึ่งที่ดังแว่วมาเบาๆ ถึงแม้จะเบามากในความรู้สึก แต่มันกลับคุ้นหูฉันเอาเสียมากๆ
‘กูมีเรื่องให้ช่วย’
นั่นคือเสียงที่ฉันได้ยินและพอจับใจความได้ในตอนนั้น เสียงใครกันนะ แล้วทำไมมันถึงได้มีอิทธิพลกับความรู้สึกของฉันขนาดนั้น
เสียงทุ้มกังวานที่คุ้นหู หรือจะเรียกว่าคุ้นชินก็เป็นได้ แบบว่าแค่ได้ยินหัวใจของฉันมันก็เต้นแรงราวกับฉันรู้จักคนๆ นั้น
“โอ๊ย! ปวดจัง”
สงสัยเพราะใช้งานสมองมากไป ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกปวดหนึบๆ ที่หัว พยายามสะบัดหัวเบาๆ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เลิกคิดเรื่องเสียงปริศนานั่น แล้วเลือกที่จะเดินลงมาช่วยลิชาและพวกสิตาที่โซนบาร์ตามคำสั่งมอม้าแทน
สิบชั่วโมงก่อน ณ บ้านตระกูลหลัน ประเทศฮ่องกง
[LanTian’s part]
เคร้ง! เพล้ง!
“ไม่ได้เรื่อง คนแค่คนเดียวทำไมพวกมึงยังตามหากันไม่เจอ” ผมกำลังตวาดลูกน้องสองคนที่เพิ่งเข้ามารายงานเกี่ยวกับเรื่องที่ผมให้ตามสืบ นี่ก็ผ่านมาสี่วันแล้ว แต่พวกนี้ยังไม่ได้ข่าวดีที่ผมอยากฟังเลย
ให้ตายสิวะ! เธอหายไปอยู่ไหน?
“พวกเราขอโทษครับคุณหลั่นเทียน” หนึ่งในสองคนนั้นเอ่ยขอโทษผมด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น หน้าซีดเผือกตัวสั่นเทาอย่างกับลูกหมาตกน้ำ
“ไม่ได้เรื่อง!” ผมตะวาดกลับไปอีกครั้งด้วยโทนเสียงที่ค่อนข้างดุดัน
‘หลั่นเทียน’ คือชื่อผม ชื่อเต็มๆ คือ หลัน หลั่นเทียน ป๊าผมเป็นคนฮ่องกงส่วนแม่ผมเป็นคนไทยผสมชาติตะวันตก
ผมเป็นเจ้าของคาสิโนหลายแห่งในมาเก๊ารวมทั้งที่ไทย แต่หลักๆ ครอบครัวผมทำธุรกิจท่าเรือขนส่งที่มีมากกว่าสิบแห่งในแถบนี้