บทที่ 9 คำเตือน

1427 คำ
เมืองหนิงป่อไห่จะว่าเล็กก็เล็ก จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ ไม่เกินครึ่งวัน เรื่องที่เสวี่ยปกป้องหร่วนอิ๋งซุยก็โด่งดังในละแวกนั้น กลุ่มวาณิชที่ไม่ชื่นชอบให้สตรีเป็นหัวเรือในการทำมาค้าขายจึงใช้โอกาสนี้ยุแยงให้ฉางซุนไท่หยางยกเลิกการสนับสนุนร้านผ้ามั่งมี และไม่เพียงแค่ ‘คิด’ จะเล่นงาน หร่วนอิ๋งซุยเท่านั้น พวกเขายัง ‘ลงมือทำจริง’ อีกด้วย ช่วงเย็นของวันเดียวกันนั้น ฉางซุนไท่หยางเพิ่งย่างเท้าพ้นประตูพรรคเข้ามาในอาคาร วาณิชแซ่จางก็พุ่งเข้ามาหาเขา และพูดอย่างร้อนรน “ประมุขฉางซุน เกิดเรื่องแล้วขอรับ!” “เถ้าแก่จาง มีเรื่องอะไรเร่งด่วนหรือ” ฉางซุนไท่หยางหยุดมองท่าทางร้อนรนของอีกฝ่าย ก่อนจะเลิกคิ้วถาม “จะมีอะไรเสียอีกล่ะ เฮ้อ!” วาณิชแซ่จางเปลี่ยนจากร้อนรนเป็นแสร้งถอนหายใจดุจไม่พอใจกับอะไรบางอย่าง จากนั้นพูดขึ้นว่า “ร้านผ้ามั่งมีสมคบกับปีศาจผมขาว เห็นว่ายัดเหยียดและข่มขู่ลูกค้าให้ซื้อผ้า แม่นางหร่วนทำแบบนี้ นางเห็นพรรคงูใหญ่ที่คอยหนุนหลังนางเป็นอะไร!” เถ้าแก่จางเจตนาไม่พูดถึงกลุ่มอันธพาล ได้ยินแบบนั้นแล้ว ฉางซุนไท่หยางก็ขมวดคิ้ว เกิดความสงสัยอยู่ในที “เถ้าแก่จางได้ยินเรื่องนี้มาจากไหน ตรวจสอบแล้วหรือ เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจเกิดความเข้าใจผิด” “ไม่มีทางเข้าใจผิดแน่ขอรับ” วาณิชแซ่จางกล่าวด้วยการเน้นเสียงหนักแน่น “คนทั้งตรอกซอยนั้นต่างเห็นกับตา ภาษิตว่า หากไม่มีไฟก็ไม่มีควัน ไม่มีใครกล้าพูดใส่ร้ายสตรีตัวเล็กๆ อย่างแม่นางหร่วนหรอก หากนั่นไม่ใช่เรื่องจริง” คราวนี้ ฉางซุนไท่หยางไม่พูดเข้าข้างหร่วนอิ๋งซุยอีก ไม่ใช่เชื่อว่านางมีแผนชั่วร้าย หรือคบคิดกับเสวี่ยหรอกนะ เพียงแต่หากมีหลายเสียงพูดไปทางทิศเดียวกัน เขาก็ยิ่งพูดอะไรมากเกินความจำเป็นไม่ได้ ตรงกันข้าม เขาอดนึกเป็นกังวลแทนหร่วนอิ๋งซุยไม่ได้ นั่นเพราะหากเด็กสาวรู้จักกับเสวี่ย นางก็คงไม่รู้ว่าภายใต้ความน่าสงสารของชายคนนั้นยังแอบแฝงไว้ด้วยปริศนาบางอย่าง ไม่ได้! ข้าต้องเตือนนาง ฉางซุนไท่หยางคิดตกแล้ว จึงเอ่ยกับวาณิชแซ่จาง “ขอบคุณเถ้าแก่จางที่นำเรื่องนี้มาบอกข้านะ ข้าจะจัดการเรื่องนี้ทันที” ชายหนุ่มพูดจาสุภาพ และเมื่อพูดจบ เขาก็ก้าวออกจากประตูพรรค แล้วเดินเท้ามาที่ถนนที่ตั้งร้านผ้ามั่งมีทันที ชายหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่า มีรอยยิ้มสะใจผุดเผยบนมุมปากของวาณิชแซ่จาง ‘หร่วนอิ๋งซุยเอ๋ย เป็นสตรีในเรือนหอไม่ชอบ ชอบวางตัวเหนือบุรุษดีนัก คราวนี้แหละ เจ้าคงได้เก็บตัวอยู่แต่ในเรือนแน่!’ ต่อเมื่อฉางซุนไท่หยางเดินมาถึงหน้าร้านผ้ามั่งมี เขาก็หยุดฝีเท้าและยืนมองประตูไม้หน้าร้านที่ปิดสนิท คิดว่าตนเองมาเย็นเกินไป ประตูหน้าร้านจึงปิดแล้ว ดังนั้น เขาจึงเดินอ้อมมาที่ประตูข้าง ประจวบเหมาะที่ซุ่นเหยากวานกำลังจะออกไปข้างนอกพอดี “ประมุขฉางซุน?” ฉางซุนไท่หยางยิ้มมุมปาก “ข้าได้ยินข่าวลือแปลกๆ จึงคิดจะมาสอบถามแม่นางหร่วนถึงต้นเหตุของข่าวลือสักหน่อย” ซุ่นเหยากวานผงกศีรษะว่าเข้าใจ แล้วผายมือเชื้อเชิญ “เช่นนั้นเชิญประมุขฉางซุนเข้ามาข้างในก่อนขอรับ เดี๋ยวข้าจะไปตามคุณหนูมาพบท่าน” ได้รับคำเชิญจากพ่อบ้านหนุ่ม ฉางซุนไท่หยางก็เดินตามอีกฝ่ายเข้ามารอในห้องโถงรับแขก ไม่นาน หร่วนอิ๋งซุยก็ถูกตามออกมา ไม่มีท่าทางตกใจ แต่นางยังยิ้มให้เขาเบาบาง แล้วเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ทิ้งระยะห่างพอเหมาะพอดี มือขาวเนียนทั้งสองข้างวางทาบบนตัก ยืดหลังตรง วางท่าทางว่าเป็นเจ้าบ้าน ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้แข็งกระด้างเหมือนคนเย่อหยิ่ง และไม่ได้อ่อนน้อมเกินไป เพียงเห็นภายนอกก็รู้แล้วว่าเด็กสาวคนนี้ถูกอบรมมาอย่างดี ทั้งยังมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ และสิ่งที่เขาคิดยืนยันได้เมื่อนางเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน “ข้ารู้ว่าประมุขฉางซุนมาที่นี่ด้วยเรื่องอันใด ประจวบเหมาะที่ข้าเองก็มีเรื่องปรึกษาและรบกวนท่าน” “เช่นนั้นเชิญแม่นางหร่วนว่ามาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ” “ประมุขฉางซุนมาที่นี่ก็เพราะข่าวลือที่ว่าข้าร่วมมือกับปีศาจข่มขู่ลูกค้า ซึ่งข้าขออธิบายว่านั่นไม่ใช่เรื่องจริง” หร่วนอิ๋งซุยบอกอย่างตรงไปตรงมา และเมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็เงียบเพื่อเว้นช่วง จากนั้นค่อยพูดต่อ “สิ่งที่ข้าต้องการจะบอกท่านก็คือ ตอนเช้าของวันนี้ ร้านผ้ามั่งมีถูกกลุ่มอันธพาลเข้ามาก่อกวน โชคดีที่ได้คนคนนั้นช่วยเหลือ ข้าวของในร้านจึงไม่ได้เสียหายมาก รวมทั้งตัวข้าก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ใช่ว่าอาการเสียขวัญของข้าจะหายเพียงแค่เรื่องนี้จบ ถึงตอนนี้ ข้ายังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ หวังว่าประมุขฉางซุนจะเข้าใจความหวาดกลัวของข้า” ฉางซุนไท่หยางยิ้มในอก ผู้หญิงคนนี้นอกจากกล้าหาญ นางยังเจ้าเล่ห์ไม่น้อย แต่ก็เป็นความเจ้าเล่ห์เพื่อตนเอง “ก่อความวุ่นวายให้กับพ่อค้าวาณิชของพรรคงูใหญ่ ตัวข้าเป็นถึงประมุขคอยดูแลจัดการเรื่องนี้ยังรู้สึกว่าไม่ควรอภัยให้ง่ายๆ เอาอย่างนี้ ข้ารับปากแม่นางหร่วนว่าจะจับอันธพาลพวกนั้นส่งทางการให้เร็วที่สุด หากมีผู้บงการละก็ ข้าจะให้พวกเขาชดใช้ให้เจ้าอย่างแน่นอน” หร่วนอิ๋งซุยยิ้มน้อยๆ เหมือนว่าค่อยโล่งใจขึ้นมาบ้างแล้ว ฉางซุนไท่หยางทำหน้าว่านึกอะไรออก จึงเอ่ยถาม ถึงแม้ว่าคำตอบนั้น เขาจะรู้คำตอบอยู่แล้วก็ตาม “จริงสิ คนที่ช่วยแม่นางหร่วนไว้คือใครหรือ” เพื่อไม่ให้ถูกสงสัยมากเกินไป หร่วนอิ๋งซุยทำท่าคิดเล็กน้อยก่อนตอบ “อือ...เขาน่าจะชื่อเสวี่ยเจ้าค่ะ” “แม่นางหร่วนเป็นคนฉลาด เพราะแบบนี้ ข้าถึงมั่นใจว่าร้านผ้ามั่งมีต้องทำกำไรได้มากแน่ๆ” ฉางซุนไท่หยางเอ่ยชมนางก่อน จากนั้นค่อยพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “แต่ผู้ชายคนนั้น แม่หร่วนอย่าได้เข้าใกล้เขามากเกินความจำเป็นได้หรือไม่” ได้ยินคำพูดนั้น สีหน้าของหร่วนอิ๋งซุยยังคงเป็นปกติขณะตอบเขาว่า “ขอบคุณสำหรับคำเตือนเจ้าค่ะ” ฉางซุนไท่หยางมองหร่วนอิ๋งซุย เขาเชื่อถือคำพูดของนางได้ไหม คำตอบในใจของเขาตอนนี้บอกว่า ‘ไม่ได้’ นั่นเพราะตั้งแต่แรกก็มองออกว่านางเป็นคนดื้อรั้นและเย่อหยิ่งพอควร แต่สิ่งที่ทำให้เขาสนใจนางจริงๆ ไม่ใช่ข้อเสียพวกนั้น หากแต่เป็นความจริงจังในการทำการค้า ทั้งที่นางเป็นคุณหนูจากเมืองหลวง จะใช้ซุ่นเหยากวานก็ได้ แต่เด็กสาวก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น นั่นรวมไปถึงเวลานี้ด้วย เมื่อนางปักใจเชื่อมั่นในตัวเสวี่ย หากไม่เห็นข้อเสียของคนผู้นั้นกับตาตัวเอง แม่นางหร่วนก็จะไม่มีวันเชื่อคำเตือนของเขา ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ หร่วนอิ๋งซุยเอ่ยขึ้นเหมือนว่าอดใจไม่ถามไม่ได้ “...ขออภัยประมุขฉางซุน ข้าไม่ได้ต้องการจะเมินคำเตือนของท่าน แต่ข้าคิดว่าท่านน่าจะมีเหตุผลว่าทำไมข้าถึงไม่ควรเข้าใกล้คนผู้นั้น” ฉางซุนไท่หยางเงียบ แล้วมองหน้านางนิ่ง ด้านนอกท้องฟ้าเปลี่ยนสี ตอนที่เขาเดินมาที่นี่ก็เป็นเวลาเย็นย่ำ บ้านเรือนแต่ละหลังเริ่มจุดโคมบ้างแล้ว “เขาอันตราย” นั่นคือคำอธิบาย ก่อนที่ชายหนุ่มจะลุกขึ้นยืน และทิ้งท้ายอีกหนึ่งประโยค “แม่นางหร่วนมีสิทธิ์ไม่เชื่อข้า แต่ไม่ช้าก็เร็ว เจ้าจะรู้ว่าสิ่งที่ข้าพูดไม่ใช่การใส่ร้าย”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม