เช้าวันถัดมา ระหว่างที่หร่วนอิ๋งซุยลุกขึ้นเปิดร้านตามปกติ ซุ่นเหยากวานออกไปจ่ายตลาด
ในเรื่องของการทำอาหารและจับจ่ายซื้อของถือว่าเป็นเรื่องถนัดสำหรับพ่อบ้านหนุ่มอย่างซุ่นเหยากวาน หนำซ้ำ เขายังสร้างไมตรีกับร้านละแวกใกล้ๆ ได้ดีกว่าหร่วนอิ๋งซุยที่ยังปรับตัวได้ไม่มาก สำคัญกว่านั้นคือ ในสายตาของผู้อื่น บุรุษผู้หนึ่งย่อมมีความน่าเชื่อถือมากกว่าเด็กสาว
หร่วนอิ๋งซุยคิดพลางเดินเข้าไปหลังโต๊ะคิดเงิน หลังจากเปิดร้านเรียบร้อย นางหยิบสมุดบัญชีตัวอย่างออกมาและลองศึกษาด้วยตัวเอง
แต่ในช่วงเช้าแบบนี้ ผู้มาเยือนร้านผ้ามั่งมีเจ้าแรกกลับหาใช่ลูกค้ากระเป๋าหนัก หากแต่เป็นชายฉกรรจ์หน้าตาไม่น่าต้อนรับจำนวนสี่คน ที่เดินเข้ามาในร้านได้ก็รื้อข้าวของจนล้มระเนระนาด มิหนำซ้ำยังกระชากสมุดบัญชีจากมือหร่วนอิ๋งซุยออกมาฉีกเป็นสองส่วน เจตนาหาเรื่องอย่างเห็นได้ชัด
หร่วนอิ๋งซุยอ้าปากหวอ ความโมโหอันเกิดจากนิสัยใจร้อนตอบสนองรวดเร็ว นางพุ่งตัวออกจากหลังโต๊ะคิดเงิน ดึงสมุดบัญชีคืน ปากก็ตวาดเสียงดังลั่นด้วยความลืมกลัว
“หยุดทำลายของของข้านะ อันธพาลอย่างไรก็เป็นอันธพาลจริงๆ ไร้การอบรม ข้าจะแจ้งทางการให้มาจับพวกเจ้า!”
พอเห็นว่าเด็กสาวไม่ได้หวาดกลัวจนหงอ ชายฉกรรจ์หนึ่งในสี่เดาะลิ้นทำเสียงจิ๊ จากนั้นคว้าคอเสื้อนาง และแทบจะยกร่างบางขึ้นจากพื้นด้วยมือข้างเดียว
“น้อยๆ หน่อยเถอะ เด็กอย่างเจ้าอย่าทำอวดเก่งไปหน่อยเลย”
“เป็นสาวเป็นนาง เหตุใดไม่หาเวลาไปซื้อแป้งมาทาหน้าให้ขาว แต้มชาดบนปากให้แดง แล้วหาบุรุษสักคนเพื่อให้เขาเลี้ยงดูเล่า” ชายอีกคนหนึ่งพูดอย่างดูแคลนนาง
“เป็นผู้หญิงริทำการค้าเสมอเคียงบุรุษ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ฮ่าๆ”
เพียงคำพูดเหล่านั้น หร่วนอิ๋งซุยที่มิได้โง่สมองช้าก็รู้เลยว่า ใครเป็นผู้ว่าจ้างคนพวกนี้มาก่อกวนนาง หากไม่ใช่เหล่าวาณิชก็คงเป็นบุตรีของช่างริษยาพวกนั้น
ทว่ายิ่งรู้แบบนี้แล้ว ด้วยนิสัยหยิ่งและใจร้อนเป็นทุนเดิมของ
หร่วนอิ๋งซุย ยิ่งเป็นการกระตุ้นให้นางชี้หน้าตวาดกลับ
“คนที่จ้างพวกเจ้ามาคงหวาดกลัวความสามารถของข้าละสิ หึ! ทำตัวขี้ขลาด ไม่กล้าสู้ข้าตรงๆ ก็เลยใช้ผู้อื่นมาก่อกวน”
ระหว่างพูดออกไป นางมิอาจระงับอารมณ์โกรธให้เบาบางลงได้เลย ดวงตาแดงก่ำด้วยความโมโหทุกชั่วขณะ นี่ก็คือข้อเสียของนาง รู้ตัวเองดีอยู่แล้วว่าเป็นคนใจร้อน เย่อหยิ่งอวดดี แต่เมื่อโมโหขึ้นมาทีไรก็มิอาจระงับอารมณ์ให้เย็นลงได้ง่ายๆ และเพราะแบบนี้ นางถึงเสียเปรียบอยู่ร่ำไป
“นังเด็กปากดี!” ชายฉกรรจ์ที่คว้าคอเสื้อหร่วนอิ๋งซุยลงมือผลักนางไปชนกับโต๊ะคิดเงิน ก่อนจะเดินเข้ามาง้างมือขึ้นหมายฟาดลงมา
ต่อให้ปากเก่งแค่ไหน แต่หร่วนอิ๋งซุยก็ยังเป็นแค่ผู้หญิง เด็กสาวหลับตาปี๋ นึกถึงความเจ็บที่จะตามมาไม่ออกเลย นั่นเพราะตลอดมานางไม่เคยถูกผู้อื่นตบตี
หากทว่ารอแล้วรอเล่า กลับไม่มีแรงกระทบใดๆ บนใบหน้า เมื่อลืมตาขึ้นมองจึงพบว่าชายฉกรรจ์ที่ทำท่าจะตีนางยืนนิ่ง และกำลังเบนสายตามองอะไรบางอย่างซึ่งอยู่ด้านข้างด้วยความเสียขวัญ มือที่ง้างขึ้นสูงนั้นถูกมือที่แข็งแรงกว่าคว้าจับให้ค้างอยู่กลางอากาศ
หร่วนอิ๋งซุยเองก็ค่อยๆ เบิกตาโต แต่เป็นคนละความรู้สึกกับชายฉกรรจ์
“เสวี่ย...?”
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกชื่อเลื่อนสายตามองหร่วนอิ๋งซุยนิ่ง คล้ายต้องการใช้สายตานั้นบอกนางว่า ‘ข้าเตือนเจ้าแล้ว’ จากนั้น เขาถึงหันมองชายที่กำลังจะทำร้ายนาง และจ้องเขม็งอยู่เช่นนั้น
เป็นเวลาเดียวกัน ชายฉกรรจ์ทั้งสี่หลังจากหายตะลึงแล้ว พวกเขาก็ตะโกนออกมาพร้อมเพรียงด้วยน้ำเสียงตื่นกลัว
“ปะ...ปีศาจ!”
“ไปซะ”
ตอนที่เสวี่ยพูดคำนั้น เขาปล่อยมือจากแขนของชายฉกรรจ์ตรงหน้า และไม่ได้ลงมือกับคนอื่นๆ แต่ชายพวกนั้นกลับมีท่าทางหวาดกลัวเขาเกินจริง และยังวิ่งออกไปจากร้านผ้ามั่งมีเหมือนกำลังหนีตาย
เนื่องจากหร่วนอิ๋งซุยไม่ได้มีอคติกับเสวี่ย หรือหูเบาเชื่อว่าเขาคือปีศาจ ในสายตาของนางจึงไม่ได้มองเสวี่ยเหมือนคนอื่น ตรงกันข้ามเชียวละ พอถูกช่วยเหลืออีกครั้ง นางก็ยิ่งซาบซึ้งในบุญคุณของเขา
อันธพาลทั้งสี่วิ่งหนีไปแล้ว หร่วนอิ๋งซุยจึงดึงสายตาจากชายหนุ่มแล้วมองดูข้าวของในร้านที่ล้มเสียหาย ดวงตาฉายแววเศร้าระคนโมโห
“ข้าไม่คิดว่าเรื่องจะยุ่งยากแบบนี้ ขอโทษที่ไม่เชื่อคำเตือนของท่าน” พูดพลางเดินไปเก็บข้าวของต่างๆ ขึ้นมาจัดเรียง
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไร เขาคงไม่รู้จะพูดอย่างไรมากกว่า จึงได้แต่เงียบ แล้วเดินเข้ามาช่วยนางเก็บของ
ตอนนั้นเอง ซุ่นเหยากวานที่เพิ่งกลับมา เมื่อมองสำรวจข้าวของในร้านและมองคุณหนูของเขาหลายรอบแล้วก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าดำคล้ำ
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณหนู!”
หร่วนอิ๋งซุยมองความโมโหของซุ่นเหยากวานออก นางจึงอธิบายว่า “ก่อนหน้าที่พี่เหยากวานจะกลับมา มีอันธพาลบุกมาทำลายข้าวของในร้าน โชคดีที่ท่านเสวี่ยช่วยข้าไว้ทัน”
“ทำไมถึงมีอันธพาลเข้ามาทำลายข้าวของได้ล่ะ แล้วคุณหนูเจ็บตรงไหนหรือไม่” ซุ่นเหยากวานถามต่อ ความกังวลฉายชัดในแววตาและสีหน้า
“บอกแล้วไงว่าท่านเสวี่ยช่วยข้าไว้พอดี ข้าจึงไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน ส่วนเรื่องอันธพาลพวกนั้น ข้ามีวิธีจัดการแล้ว พี่เหยากวานไม่ต้องเป็นห่วงนะ” หร่วนอิ๋งซุยตอบอย่างขอไปที แต่ในใจคิดว่าคงต้องหาโอกาสให้ฉางซุนไท่หยางจัดการเรื่องนี้ ไหนๆ นางก็เป็นหนึ่งในเจ้าของกิจการที่เขาควรดูแลอยู่แล้ว
เรื่องที่หร่วนอิ๋งซุยไม่คิดจะพึ่งพาฉางซุนไท่หยางนั่นคือเรื่องจริง แต่พอนางเล่นเป็นคนดีก็กลับมีคนรังแก ดังนั้นจึงคิดว่าไม่ควรปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปเฉยๆ
อันที่จริง นางจะเล่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ให้ซุ่นเหยากวานฟังตรงไปตรงมาก็ได้ เพียงแต่ไม่ต้องการให้เขากังวลเกินเหตุ และออกปากคัดค้านไม่ให้นางเรียนรู้การทำการค้า
“อ้อ”
ซุ่นเหยาวกวานส่งเสียงคล้ายเข้าใจ ในใจพอเดาออกถึงเหตุผลของนาง จากนั้นก็หันไปขอบคุณเสวี่ย ทางนั้นเพียงแค่พยักหน้า มีริ้วรอยแดงอันเกิดจากความเก้อเขินบนโหนกแก้มเล็กน้อย ซุ่นเหยากวานจึงพูดขึ้นอีก
“ให้พูดกันตามจริง ข้าเองไม่ค่อยมีเวลาอยู่ดูแลคุณหนูตลอด หากท่านไม่รังเกียจ มาอยู่ที่ร้านผ้ากับพวกเราได้หรือไม่ ยังมีเรือนสำหรับคนงานว่างอยู่”
คำพูดของซุ่นเหยากวานไม่เพียงทำให้อาการแดงบนโหนกแก้มของคนฟังหายไป เสวี่ยยังแสดงสีหน้าอึ้งงัน แม้แต่หร่วนอิ๋งซุยยังเบิกตาโต เพราะนางนึกถึงตอนที่ชายหนุ่มบุกเข้ามากลางดึกได้ หากเขาอยู่ที่นี่ โอกาสในการพบกันก็มากขึ้น...
“พะ...พี่เหยากวาน!?”
“หือ?” ซุ่นเหยากวานทำหน้าไขสือ “คุณหนูไม่คิดเช่นเดียวกับข้าหรือ ในร้านผ้าของเรามีคนงานเพิ่มขึ้น นอกจากสะดวกขึ้นแล้ว คนเยอะย่อมต้องปลอดภัยกว่า ถึงพวกเราจะเพิ่งรู้จักกับท่านเสวี่ย แต่เขาก็ช่วยพวกเราถึงสองครั้ง แน่นอนว่าเขาต้องไม่ใช่คนไม่ดี ใช่หรือไม่ ท่านเสวี่ย”
“ข้าไม่ได้...” เสวี่ยรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“ทำไมล่ะ” ซุ่นเหยากวานถาม
“ข้าอยู่ร่วมกับพวกเจ้าไม่ได้!”
และนั่นคือคำตอบก่อนที่เสวี่ยจะทะยานออกไปจากร้าน
อีกแล้วหรือ?
หร่วนอิ๋งซุยมองนิสัยที่ชอบหลบหน้าของชายหนุ่มแล้วอดถอนใจออกมาไม่ได้ ทว่าหลังจากถอนหายใจ นางก็ยิ้มน้อยๆ
บนโลกนี้ยังมีสิ่งอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ปะปนอยู่ สิ่งนั้นเป็นอันตราย เป็นตราบาปยากอภัย
เสวี่ยรู้ดีว่าตัวเองเป็นอะไร เขาอันตรายแค่ไหนหากอยู่ใกล้มนุษย์ที่อ่อนแอ รวมถึงคนพวกนั้นก็ไม่ได้ยินดีเข้าใกล้เขาสักเท่าไร ดังนั้นตลอดมา ชายหนุ่มจึงพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเข้าใกล้คนส่วนมาก หลบซ่อนตัวตน และเว้นระยะห่างให้มากที่สุด กระทั่ง ‘สองคนนั้น’ ทำให้เขาหลงลืมตน
เขาตื้นตันมากเมื่อรู้ว่านอกจากท่านแม่ ยังมีหร่วนอิ๋งซุยกับซุ่นเหยากวานที่ต้องการให้เขาอยู่ร่วมด้วย
แต่ทว่า เขาไม่คู่ควรกับความหวังดีนั้น ไม่อยากเห็นคนพวกนั้นแสดงอาการหวาดกลัวหลังจากรู้ว่าเขาเป็นอะไร นั่นจะทำให้เขากลับมาปวดร้าวอีกครั้ง
ชายหนุ่มนั่งกอดเข่าหน้าระเบียงบ้าน ใบหน้าคมสันอันแฝงไว้ด้วยความหล่อเหลาเกินมนุษย์แหงนเงยมองท้องฟ้า พลางนึกถึงเพียงแต่เรื่องดีๆ ที่ได้รับจากคนทั้งสอง
ซุ่นเหยากวานดีต่อเขา
หร่วนอิ๋งซุยก็ใจเต้นแรงเพราะเขา
เพียงแค่นี้ก็พอแล้ว...และเขาไม่ควรต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีก