บทที่ 6 ลูกค้ารายใหญ่
เช้าวันรุ่งขึ้น
เมื่อหมี่เล็กตื่นขึ้นมา หมี่สามก็ลุกออกจากที่นอนไปแล้ว เสียงเดินกุบกับของเจ้าม้าหนุ่มดังอยู่ไกลๆ
อาฉ่า อาลี เดินตามหลังเจ้าม้าหนุ่มซึ่งห้อยกระบุงกลมไว้สองข้างลำตัว มีถาดขนมเค้กวางอย่างมั่นคงบนปากกระบุงข้างละสามถาด ภายในกระบุงข้างซ้ายมีผ้าแพรผืนงามหลายผืนของอาลีที่เตรียมไปขาย กระบุงข้างขวาใส่งานฝีมือของหมี่โตและหมี่รอง
หมี่สามเดินจูงเจ้าม้าหนุ่ม เธอสะพายย่ามบรรจุกระบอกน้ำและอาหารที่เตรียมไว้กินตอนสาย เธอมองฝ่าความมืดสลัวยามรุ่งอรุณไปยังเส้นทางที่ทอดยาวเบื้องหน้า เมื่อสี่วันที่แล้วเธอยังต้องไปทำไร่กลางแดดร้อนๆ แต่มาวันนี้เธอกำลังนำขนมเค้กที่เธอทำเองไปขายที่ตลาด ชีวิตช่างน่าแปลกประหลาดนัก
ถนนดินที่เลื้อยลงจากดอยยามเช้ามืดมีกลิ่นน้ำค้างจากต้นหญ้าสองข้างทาง ต้นไม้ใหญ่ทอดกิ่งก้านดูคล้ายยักษ์กางแขนอ้าทำให้หมี่สามกลัว เจ้าม้าหนุ่มที่เดินตามหลังเธอส่งเสียงครืดคราดเบาๆ และใช้จมูกเย็นๆ ดุนหลังเธอ หมี่สามเหลียวดูอาฉ่าและอาลีที่เดินอยู่เบื้องหลังแล้วก็ใจชื้น หากมีอะไรไม่ปกติเกิดขึ้น เธอเชื่อว่าชายทั้งสองจะแก้ปัญหาได้
หนึ่งชั่วโมงผ่านไปเส้นทางที่มืดครึ้มบัดนี้เริ่มมีแสงพระอาทิตย์ส่องจนเห็นทุกสิ่งชัดเจน ตัวเมืองอยู่ไม่ไกลแล้ว
“เราจะไปขายที่ไหนกันดีจ๊ะ” หมี่สามถามชายทั้งสอง
“ไปที่ตลาดสดครับ ย่านที่คนมาซื้ออาหารการกิน” อาลีตอบแทนอาฉ่าที่ทำท่านึก เขาไม่เคยทำของกินมาขายที่ตลาดเลยสักครั้ง เมื่อฟังอาลีพูด เขาพยักหน้าเห็นด้วย
“อ้อ ดี เรายืนขายกันริมถนนก็ได้มั้งนะ” อาฉ่าออกความเห็นอย่างไม่แน่ใจ
“เราไปให้ถึงบริเวณนั้นกันก่อนดีกว่านะครับคุณน้า เราอาจเช่าหน้าร้านสักแห่งตั้งที่ขายให้เหมาะ เพราะหากขายริมถนนอาจไม่มีคนแวะหยุดซื้อ เพราะเป็นเพียงทางผ่าน” อาลีพูดจากประสบการณ์
ทั้งสามเดินต่อไปจนถึงตลาดใหญ่ที่มีคนพลุกพล่าน อาลีบอกหมี่สามให้รออยู่ที่หัวมุมถนนกับเจ้าม้า ส่วนเขากับอาฉ่าเดินไปสำรวจสอบถามผู้คนเจ้าของร้านค้าเพื่อหาที่ขาย ครู่หนึ่งผ่านไปอาฉ่ากลับมาริมถนนที่หมี่สามรออยู่และบอกให้เธอจูงม้าตามไป
เมื่อไปถึงตึกแถวหลังหนึ่งซึ่งมีร้านค้ามากมาย อาลีกำลังปัดกวาดหน้าร้านแห่งหนึ่งอย่างขะมักเขม้น เมื่อได้ยินเสียงกุบกับของเจ้าม้าเขารีบเดินออกมายกถาดขนมเค้กไปวางเรียงบนโต๊ะ
“ร้านนี้เจ้าของหยุดสามวันเพราะมีธุระด่วนไปต่างจังหวัด ญาติของเขาที่อยู่ร้านถัดไปอนุญาตให้เราใช้พื้นที่ขายได้ครึ่งวัน ผมจ่ายค่าเช่าเขาไปสามเหรียญเงิน” อาลีพูดกับหมี่สาม
“อู้หู แพงจัง” หมี่สามอุทาน
“แต่ที่ร้านนี้ทำเลดีมากนะ หมี่สาม เพราะอยู่ในแหล่งค้าขายของกินของใช้ อีกทั้งเรามีของอื่นมาขายด้วย เราช่วยกันจ่ายค่าเช่าคนละสามสิบเหรียญทองแดง ตกลงไหม” อาลีโน้มน้าว
“ตกลงจ้ะ พี่อาลี ฉันเข้าใจแล้วจ้ะ” หมี่สามตอบพลางมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมาอย่างมากมาย เธอต้องขายขนมเค้กได้หมดอย่างแน่นอน รวมทั้งย่ามปักลวดลายสวยและกระเป๋าสตางค์ประดับลูกปัดของพี่สาวทั้งสองด้วย
เมื่อหมี่สามเอาสิ่งของออกจากกระบุงหมดแล้ว อาฉ่าก็จูงม้าออกไปยังหลังตลาดเพื่อหาที่ผูกและหาน้ำให้มันดื่ม
ผู้คนเริ่มเดินเข้ามาเมียงมองที่หน้าร้าน อาลีซึ่งแต่งกายทะมัดทะแมงโค้งคำนับคนที่มองอยู่อย่างสนใจ
“เชิญชิมขนมเค้กทำสดใหม่ ยังอุ่นๆ อยู่เลยครับ”
อาลีตัดขนมเค้กตัวอย่างให้เป็นชิ้นจิ๋วๆ นับสิบชิ้นใส่กระทงและยื่นออกไปให้ผู้คนได้ชิม
“ขายชิ้นละเท่าไรพ่อหนุ่ม” หญิงผมมวยเลียนิ้วมือตัวเองอย่างติดใจในรสชาติขนมเค้ก
“สิบเหรียญทองแดงครับ” อาลีตอบอย่างนอบน้อม
“อร่อยดี ฉันขอซื้อสามชิ้นไปฝากลูก” หญิงผมมวยส่งเหรียญให้อาลีซึ่งเขารับไว้และหย่อนใส่กระเป๋าที่ห้อยไว้ข้างตัว จากนั้นเขาก็บรรจงตักขนมเค้กแต่ละชิ้นใส่กระทงใบสวยซึ่งมีหูหิ้วเป็นเส้นด้ายถักอย่างสวยงาม หญิงคนซื้อมีท่าทีพอใจกับกระทงทั้งสามใบ นางหิ้วออกไปอวดเพื่อนๆ ที่เดินซื้อกับข้าวด้านนอก
“ฉันอยากได้กระทงแบบนั้นจังเลย” หญิงอีกคนพูดเสียงดัง
“เธอต้องไปซื้อขนมเค้กร้านโน้นแน่ะ ชิ้นละสิบเหรียญทองแดง มันมีรสชาติเยี่ยมยอดสมราคา” หญิงผมมวยโฆษณา ไม่นานเพื่อนๆ ของนางก็พากันไปซื้อขนมเค้กคนละสองสามชิ้นเพราะอยากได้กระทงสวย
อาลีแขวนผ้าแพรของเขาไว้บนไม้ที่พาดบนคาน ผ้าแพรจากดินแดนห่างไกลสะดุดตาผู้คนที่เดินผ่านไปมา เขาเขายผ้าได้หลายผืน
หมี่สามจัดวางกระเป๋าสตางค์ใบเล็กฝีมือของหมี่รองที่ประดับลูกปัดอย่างน่ารักจำนวนยี่สิบใบ ย่ามปักลวดลายเถาไม้ของหมี่โตหกใบแขวนไว้บนปลายไม้ดูเด่นสะดุดตา
ลูกค้าบางคนซื้อขนมเค้กไปนั่งกินกับน้ำชาที่ร้านข้างๆ พวกเขาติดใจรสชาติอร่อยและส่วนผสมอันประกอบด้วยผลไม้แห้งและถั่วต่างๆ พวกเขาเดินกลับมาซื้ออีกครั้ง
“พี่อาลีขายเก่งจังเลยจ้ะ” หมี่สามเอ่ยชมเมื่อขนมเค้กส่วนของอาลีขายหมดไปสองถาดแล้ว เขาขายผ้าแพรไปห้าผืน ขณะที่ขนมเค้กของหมี่สามเพิ่งขายหมดไปถาดเดียว ยังไม่มีใครมาซื้อกระเป๋าสตางค์และย่าม
อาฉ่าเดินมาจากด้านหลังตลาดที่เขาเอาม้าไปผูกไว้ เขาเข้ามานั่งข้างหลังหมี่สามและมองดูคนที่เดินผ่านไปมา
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่
“อ้าว นั่นอีตาอาฉ่าใช่ไหม อ้อ มากับลูกสาวและเจ้าหนุ่มชาวหวุย” เสียงแหลมของหญิงคนหนึ่งดังมาจากร้านใกล้เคียง นางซื้อของเสร็จแล้วและกำลังเดินมา
อาฉ่ามองไปยังต้นเสียง อาลีและหมี่สามค้อมตัวให้หญิงปากแดงที่หยุดร่างเบื้องหน้าถาดขนมเค้ก นางสาลี่เจ้าของแผงขายผลไม้คนนั้นนั่นเอง นางมองดูขนมเค้กในถาดที่วางตรงหน้าหนุ่มสาวทั้งสอง นางมองดูผ้าแพรที่แขวนพาดไว้ด้านหลังอาลี แล้วสายตาของนางก็มองต่อไปยังกระเป๋าสตางค์เล็กๆ และย่ามใบสวยที่แขวนเป็นพวงปลายไม้
“อ้อ เจ้าเองหรือ” อาฉ่ายิ้มให้นางสาลี่ เขาบอกหมี่สามให้ตักขนมเค้กใส่กระทงหนึ่งชิ้น แล้วเขาก็ยื่นให้นางสาลี่ด้วยตัวเอง
“ลองชิมขนมเค้ก นี่ฝีมือลูกสาวข้าเอง” อาฉ่าพูดอย่างภูมิใจ “เจ้าไม่ต้องจ่ายเงิน”
นางสาลี่โบกมือปฏิเสธวุ่นวาย “ฉันไม่เคยกินของใครเปล่าๆ ขายชิ้นละเท่าไร”
“เอาน่า ปีที่แล้วเจ้าก็ฝากผลท้อไปให้พวกเราได้กิน ถือว่าแลกเปลี่ยนกัน” อาฉ่าตอบและไพล่มือไว้ข้างหลัง เขาบอกหมี่สามว่าไม่ต้องรับเงินนางสาลี่
นางสาลี่รับกระทงขนมมาหิ้วไว้ มือหนึ่งของนางหยิบขนมตัวอย่างใส่ปากชิม นางหลับตาลงอึดใจหนึ่งแล้วพูดออกมา “รสชาติอย่างนี้ทำให้ฉันคิดถึงบ้านเก่าสมัยที่อยู่เมื่อตอนเด็ก”
อาลีที่ยืนอยู่ข้างหมี่สามบอกนางสาลี่ว่านี่เป็นขนมเค้กสูตรครอบครัวเขา
“เรามีขนมอบหลายชนิด ทั้งขนมปังที่มีกลิ่นอบเชย ขนมปังไส้คาวและไส้หวาน ขนมเค้กที่เราสองคนเตรียมมาวันนี้ผสมธัญพืชและผลไม้แห้ง เราทำสดใหม่เมื่อวานตอนบ่ายและอุ่นไว้ตลอดคืน อ้อ พวกเราอบขนมเค้กจากเตาดินเหนียวนะครับ มันมีกลิ่นหอมของไม้ฟืนและดินผสมกัน”
“อ้อ อย่างนั้นหรือ” นางสาลี่ฟังอาลีพูดอย่างตั้งใจ นางหยิบขนมตัวอย่างกินอีกหนึ่งชิ้นและชวนให้คนอื่นลองชิมด้วย
ผู้คนที่ยืนฟังนางสาลี่พูดคุยกับอาฉ่าและอาลีต่างเขยิบมาและออกปากซื้อขนมเค้กจากหมี่สามไปลองกิน พวกเขากล่าวชมเชยว่า “อร่อยจริงๆ ทั้งหอม ทั้งหวาน”
นางสาลี่เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนที่นางสวมติดตัวมาแล้วหันไปหยิบกระเป๋าสตางค์ประดับลูกปัดขึ้นพิจารณา “ใบละเท่าไร” นางถาม
“ใบละสามเหรียญเงินจ้ะ คุณน้า” หมี่สามตอบเสียงชัดเจน
นางสาลี่ล้วงถุงผ้าออกมาจากแขนเสื้อและหยิบเหรียญเงินสามเหรียญส่งให้หมี่สามโดยไม่ต่อรอง นางเลือกกระเป๋าไปหนึ่งใบ นางเทเงินเหรียญทั้งหมดจากถุงของนางใส่กระเป๋าใบนั้นได้พอดิบพอดี นางพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วนางก็เขยิบร่างเข้าไปใกล้ไม้ที่แขวนย่ามทั้งหกใบและเพ่งมองลวดลายปัก
“ฝีมือเย็บละเอียดอย่างนี้ไม่มีใครแล้ว นอกจากลูกสาวของแก” นางสาลี่พูดกับอาฉ่า
“ย่ามขายใบละสิบเหรียญเงินจ้ะ” หมี่สามบอกนางสาลี่
“อืม” นางพยักหน้ารับรู้แล้วพูดต่อ “เอาละ เดี๋ยวฉันไปเปิดร้านก่อนนะ หากพวกเธอขายของเสร็จแล้วช่วยแวะไปคุยกับฉันหน่อย ฉันมีเรื่องอยากถาม”
พูดเสร็จนางก็พาร่างท้วมหิ้วกระทงใส่ขนมเดินไปที่ย่านขายผลไม้
สองชั่วโมงผ่านไป
อาลีและหมี่สามขายขนมเค้กหมดทั้งหกถาด ในกระเป๋าของหมี่สามหนังอึ้งไปด้วยเหรียญทองแดงและเหรียญเงิน เธอขายกระเป๋าสตางค์ได้ทั้งหมดแปดใบ และขายย่ามไปสามใบ ส่วนผ้าแพรของอาลีนั้นขายหมดในเวลาไม่นาน
“นี่เป็นวันแรกของเรานะหมี่สาม” อาลียิ้มให้หุ้นส่วนที่นั่งลงกินข้าวปุกอย่างหิวโหย เธอเคี้ยวและยิ้มด้วยดวงตาเป็นประกาย อาฉ่าใช้เศษผ้าเช็ดถาดขนมเค้กทั้งหกใบและมัดไว้ด้วยกันเป็นสองพวง จากนั้นเขานั่งลงกินอาหารที่เตรียมมาซึ่งประกอบด้วยข้าวปุกและไข่ต้ม ส่วนอาลีมีขนมปังของตัวเองที่เขาอบไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
หมี่สามควักเหรียญเงินหนึ่งเหรียญและเหรียญทองแดงสิบเหรียญส่งให้อาลี
“นี่จ้ะ ค่าเช่าร้านที่เราหุ้นกัน มันคุ้มค่ามากเลยจ้ะพี่อาลี”
อาลีรับเงินไว้ เขาและหมี่สามจัดการแบ่งเงินให้อาฉ่าคนละสามเหรียญเงินเป็นค่าใช้ม้า และฝากอาฉ่าไปให้อาซึหกเหรียญเป็นค่าทำกระทงอันสวยงาม วันแรกที่ตลาดของพวกเขาเป็นไปด้วยดี
“เราไปที่ย่านผลไม้กันเถอะ” อาฉ่าชวน เขากินอาหารหมดไปอย่างว่องไว นางสาลี่บอกพวกเขาให้ไปหาหลังจากขายของเสร็จแล้ว นางอาจอยากซื้อเสื้อปักอีกสักหนึ่งตัวหรือสองตัว หมี่โตและหมี่รองคงมีรายได้เพิ่มขึ้น
อาลีลุกขึ้นและบอกว่า “เดี๋ยวผมจะไปคุยกับคนดูแลร้านนี้ว่าอีกสองวันเราจะเอาของมาขายอีก ผมจะจองเช่าที่ไว้สำหรับวันมะรืน หมี่สามตกลงไหม”
หมี่สามพยักหน้าอย่างดีใจ “ตกลงจ้ะ”
อาลีเดินไปที่ร้านข้างๆ และพูดกับชายคนหนึ่ง ชายคนนั้นแบมือออกมา อาลีส่งเหรียญเงินให้เขา ทั้งสองจับมือกัน
เมื่ออาลีเดินกลับมา อาฉ่าก็ใช้ไม้คานหาบถาดที่มัดเป็นพวงไว้ข้างละสามใบ หมี่สามสะพายย่ามของพ่อและของตนเอง อาลีเดินตามหลัง ครู่หนึ่งอาฉ่าก็วางหาบลงและบอกให้ทั้งสองรออยู่ เขาเดินซอกแซกไปหลังตลาดและจูงเจ้าม้าหนุ่มมาบรรทุกของซึ่งมีน้ำหนักเบาลงกว่าครึ่ง
อาลีเดินกวาดตามองไปรอบๆ เพื่อสังเกตสภาพตลาดและร้านค้าตามซอยต่างๆ เขารู้สึกพอใจตัวเมืองแห่งนี้ซึ่งมีผู้คนมากมายที่เป็นคนเผ่าพันธุ์เดียวกับเขา คนที่มาซื้อขนมเค้กต่างพูดจากันหลายภาษา โดยมีภาษากลางซึ่งทุกคนเข้าใจ
เจ้าม้าหนุ่มและคนทั้งสามเดินผ่านย่านขายสินค้าต่างๆ จนไปถึงแผงขายผลไม้ซึ่งนางสาลี่กำลังวุ่นวายขายผลไม้ให้ลูกค้าประจำหลายคน
“อย่ามายืนบังหน้าร้านฉัน เอาม้าของแกไปผูกไว้ตรงบ่อน้ำนั่น” นางสาลี่ตะโกนบอกอาฉ่า
อาลีรีบรับเชือกจากมืออาฉ่าและจูงม้าไปยังทิศที่นางสาลี่ชี้บอก ซึ่งอาฉ่าจำได้ดีว่าปีที่แล้วเขานั่งขายลิ้นจี่อยู่บริเวณนั้น อาฉ่ายิ้มกับตัวเอง นางสาลี่ผู้มีเสียงแหวแว้ดผู้นี้เป็นคนช่วยให้เขาและลูกสาวมีรายได้จากการสั่งซื้อชะลอมไม้ไผ่สาน และนางยังซื้อเสื้อปักประดับลูกปัดของหมี่โตและหมี่รองด้วยราคาแพงอีกด้วย
“รอให้ฉันขายของเสร็จก่อนค่อยคุยกัน อย่าเพิ่งไปไหนเสียล่ะ” นางสาลี่หันมาบอกหมี่สามและอาฉ่าที่ยืนเก้กังอยู่ข้างแผง
ครู่ใหญ่ผ่านไป
คนที่มาซื้อผลไม้บางตาลงจนเหลือคนสุดท้าย นางสาลี่ยกกระบอกน้ำขึ้นดื่มและมองหาสองพ่อลูก คนทั้งสองและชายหนุ่มนั่งอยู่ที่ริมบ่อน้ำ
“เอ้า พวกเธอ มาคุยกันหน่อย” นางสาลี่ผู้พูดไม่เพราะตะโกนเรียกและกวักมือ
อาฉ่า หมี่สาม และอาลีเดินตรงไปที่แผงขายผลไม้ของนางสาลี่ นางชูกระทงที่ว่างเปล่าให้ทั้งสามดูและกล่าวว่า
“ฉันกินขนมเค้กหมดแล้ว อร่อยดี กระทงนี่ก็สวยจนฉันไม่กล้าทิ้งเลยละ”
อาลีและหมี่สามยิ้มรับคำชม
“เธอสองคนช่วยกันทำขนมเค้กใช่ไหม” นางสาลี่ถาม เสียงนางแหลมน้อยลงเมื่อไม่ได้ตะโกน
“หมี่สามทำครับ ผมช่วยเล็กๆ น้อยๆ เราเป็นหุ้นส่วนกัน” อาลีตอบ
“เธอทำอย่างมากที่สุดได้วันละกี่ถาดล่ะ” นางสาลี่ถามหมี่สาม
“เราเพิ่งทำสองครั้งเองจ้ะ คุณน้า ครั้งนี้เราทำหกถาดและวันพรุ่งนี้เราจะทำอีกหกถาดเพื่อเอามาขายวันมะรืนนี้ พี่อาลีจองหน้าร้านไว้แล้วจ้ะ” หมี่สามตอบและพยักเพยิดกับอาลี เขาพยักหน้ารับ
“ชิ้นละสิบเหรียญทองแดงก็สมราคานะ เพราะเธอใส่ทั้งนม เนย ผลไม้แห้ง แป้งสาลี และถั่วต่างๆ หลายอย่าง อบเตาดินจนหอมกรุ่นและขนใส่ม้าลงมาขายในเมือง ไม่ใช่งานง่ายเลย” นางสาลี่กล่าว แม้นางจะเป็นคนพูดจาไม่ไพเราะ แต่นางมีความยุติธรรมและเห็นคุณค่างานของผู้อื่น
“ครับ เราสองคนขายไม่ได้เอากำไรมาก เพียงขายหมดไม่ต้องหิ้วกลับก็พอใจแล้วครับ” อาลีตอบแทนหมี่สามที่ยืนนิ่งอึ้ง เธอรู้สึกประทับใจที่นางสาลี่กล่าวเช่นนั้น อาฉ่าฟังแล้วนึกถึงตนเองที่ขนลิ้นจี่กลับขึ้นดอยไปเมื่อปีที่แล้ว เขาคิดแล้วก็นึกสงสารเจ้าม้าแก่
“อืม” นางสาลี่พยักหน้าหงึกๆ แล้วพูดต่อ “ฉันจะบอกอะไรให้ฟัง คืออย่างนี้นะ บ้านฉันจะจัดงานใหญ่ปลายเดือนหน้า ลูกสาวคนโตของฉันจะแต่งงานกับลูกชายคหบดี ฉันต้องเลี้ยงอาหารหมู่ญาติพี่น้องและคนนับถือ มีคนมาร่วมงานน่าจะเกินร้อยคนทั้งญาติฝั่งฉันและฝั่งว่าที่ลูกเขย ทีนี้ฉันสั่งโต๊ะจีนไว้กับคนในตลาดมีอาหารทั้งคาวและหวาน แต่ฉันอยากให้พวกแขกที่มางานได้กินขนมเค้กอร่อยๆ อย่างนี้ด้วย เพราะพวกเขาเอาเงินใส่ซองมาช่วย พวกเขาก็ควรได้กินของดีๆ ใช่ไหม”
นางสาลี่พูด แล้วนางก็ยกกระเป๋าสตางค์ขึ้นดู
“และที่ฉันอยากทำอีกอย่างคือมีของชำร่วยแจกพวกแขก กระเป๋าสตางค์ใบเล็กๆ อย่างนี้ก็เหมาะสมดีนะ ฉันคิดว่าจะสั่งหนึ่งร้อยห้าสิบใบ แล้วฉันอยากได้ย่ามสักห้าสิบใบเพื่อเอาไว้รับไหว้ งานแต่งงานลูกสาวของฉันต้องหาของสวยๆ งามๆ ให้แขก ลูกสาวแกจะทำทันไหมในสี่สิบวัน” นางสาลี่ถามอาฉ่า
อาฉ่าสูดหายใจเข้าเต็มอก เขาพยักหน้าให้ความมั่นใจนางสาลี่
“พวกเขาทำทันอยู่แล้ว ที่ทำตุนกันไว้ข้าเห็นมีอยู่ในตะกร้าเยอะแยะ เดี๋ยวข้าจะบอกพวกเขาว่าหลังจากวันนี้ไม่ต้องไปทำไร่ ข้าจะจ้างคนให้ไปเกี่ยวข้าวแทน เขาจะได้มานั่งทำกระเป๋าให้เสร็จตามสั่ง”
อาลีมองหมี่สามที่น้ำตาคลอด้วยความดีใจที่พี่สาวของเธอทั้งสองคนจะมีรายได้จากการทำของส่งให้นางสาลี่ เขามองแก้มเป็นพวงของหมี่สามแล้วยิ้มออกมา เด็กสาววัยสิบห้าคนนี้แม้หน้าตาของเธอไม่สะสวยมากนัก แต่ความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ความรู้สึกและท่าทีที่แสดงออกมาก็ทำให้เขารู้สึกว่าเธอช่างงดงาม
อาฉ่าค้อมตัวแสดงความขอบคุณแทนลูกสาวสองคนที่บ้าน เขารู้ว่าหมี่โตและหมี่รองคาดหวังว่าย่ามและกระเป๋าสตางค์ของพวกเธอจะได้ขายบ้างสักสองสามใบก็ยังดี แต่พวกเธอคงไม่คิดว่าจะได้คำสั่งซื้อจำนวนมากเช่นนี้
“เออ นี่ฉันยังไม่ได้สั่งขนมเค้กเลยนี่” นางสาลี่หันไปหยิบผลไม้ขายให้ลูกค้าสองราย
อาลียืนคิดถึงเวลาสี่สิบวันข้างหน้าซึ่งเขาคงกลับบ้านไปนานแล้ว หมี่สามคงต้องทำขนมเค้กคนเดียว มีเพียงหมี่เล็กเป็นผู้ช่วย เขาถอนใจ
“คุณน้าต้องการขนมเค้กจำนวนเท่าไรจ๊ะ ฉันจะทำให้คุณน้าตามที่ต้องการ”
“ฉันมีแขกประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบคน ขนมเค้กของเธอหนึ่งถาดมีกี่ชิ้น”
“มียี่สิบชิ้นจ้ะ”
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นฉันคิดว่าเธอควรทำมาส่งฉันแปดถาดในตอนสายของวันงาน”
“ได้จ้ะ” หมี่สามตอบอย่างมั่นใจ เธอจะมีรายได้เพิ่มมากขึ้นจากการทำขนมเค้กแปดถาดและเธออาจได้ลูกค้าที่จะสั่งขนมเค้กของเธอให้ไปส่งที่งานอื่นๆ แต่เมื่อคิดได้ว่าเวลานั้นเธอต้องทำคนเดียว เพราะอีกไม่กี่วันข้างหน้าหากมีช่างขึ้นไปซ่อมรถให้อาลี เขาก็คงขับรถไปที่อื่นแล้ว หมี่สามสีหน้าสลดลงวูบหนึ่ง
“แต่ฉันอยากแน่ใจว่าฝีมือทำขนมเค้กของเธอคงที่และเธอรักษากิจการของตนเองไว้ได้ ฉันจะแวะไปซื้อขนมของเธอมาชิมบ่อยๆ จนใกล้ถึงวันงาน ถ้าขนมเค้กของเธอยังอร่อยหอมหวานเช่นวันนี้ ฉันจะจ่ายเงินมัดจำให้ครึ่งหนึ่ง เพื่อที่เธอจะได้เอาไปซื้อวัตถุดิบต่างๆ ส่วนย่ามกับกระเป๋านั้น พวกพี่สาวเธอทำเสร็จเมื่อไรก็เอามาส่งได้ทันที ฉันพร้อมจ่ายเงินให้ตามจำนวนของที่ได้รับ ทยอยส่งทีละครึ่งก็ได้ เธอลองคิดเงินให้ฉันฟังหน่อยซิว่าฉันต้องจ่ายเงินทั้งหมดเท่าไร”
อาลีและอาฉ่ามองหมี่สามที่ยกนิ้วขึ้นมานับและทำปากขมุบขมิบ อึดใจหนึ่งเธอพูดออกมา
“ขนมเค้กแปดถาดราคาแปดสิบเหรียญเงิน กระเป๋าสตางค์หนึ่งร้อยห้าสิบใบราคาสี่ร้อยห้าสิบเหรียญเงิน ย่ามห้าสิบใบราคาห้าร้อยเหรียญเงิน รวมทั้งสิ้นที่คุณน้าต้องจ่ายคือหนึ่งพันกับสามสิบเหรียญเงินจ้ะ”
“ตกลง งานแต่งงานลูกสาวฉันทั้งที ฉันจ่ายได้”
อาฉ่าและอาลีพยักหน้าพร้อมกันเป็นเชิงรับรองการคิดเลขของหมี่สาม นางสาลี่เอาดินสอจดตัวเลขไว้ที่ฝาผนังด้านหนึ่งเพื่อกันลืม
หมี่สามรู้ว่าแม้เธอจะได้เงินน้อยกว่าพี่สาวทั้งสองในวันนั้น แต่เธอทำขนมเค้กโดยใช้เวลาเพียงวันเดียว ขณะที่ย่ามผ้าทอปักลวดลายอย่างละเอียดและกระเป๋าสตางค์ประดับลูกปัดฝีมือประณีตที่หมี่โตและหมี่รองทำขึ้นนั้นใช้เวลาแรมเดือน
“เอาละ ฉันหมดเรื่องพูดแล้ว” นางสาลี่บอกคนทั้งสาม “อ้อ แหม เกือบลืมไป อย่าลืมทำกระทงมาให้ครบตามจำนวนขนมเค้กที่ตัดเป็นชิ้นแล้วนะ ใช้เชือกสีแดงผูกโบให้สวยๆ ด้วยล่ะให้สมกับเป็นขนมพิเศษวันแต่งงาน”
“ได้จ้ะ เอ่อ คุณน้าจ๊ะ ฉันจะขอซื้อผลแอปเปิลสองชะลอม คุณน้าขายอย่างไรจ๊ะ” หมี่สามชี้ไปที่ชะลอมพลาสติก “ครั้งที่แล้วคุณน้าให้พวกเราไปเปล่าๆ ฉันจึงไม่รู้ราคา”
“ชะลอมละสามสิบเหรียญทองแดง” นางสาลี่ตอบ “เธอเอากระเป๋าสตางค์ของเธอมาแลกก็ได้ เพราะแอปเปิลสองชะลอมมีราคาเท่ากับสามเหรียญเงิน เท่ากับราคากระเป๋าสตางค์ใบน่ารักของเธอ”
“ได้จ้ะ” หมี่สามควานหากระเป๋าสตางค์ของหมี่รองในย่ามของเธอและหยิบส่งให้นางสาลี่ นางรับไว้และส่งชะลอมใส่แอปเปิลให้หมี่สามสองชะลอม อาฉ่ายื่นมือเข้ามารับไว้ทั้งสองชะลอม
จากนั้นคนทั้งสามก็กล่าวลานางสาลี่ก่อนเดินไปรับเจ้าม้าที่ผูกไว้บริเวณบ่อน้ำ อาฉ่าเอาชะลอมแอปเปิลใส่ไว้ในกระบุงที่ห้อยไว้กับสีข้างเจ้าม้า แล้วพวกเขาก็เดินไปซื้อหาสิ่งของต่างๆ จนถึงยามเที่ยง อาลีชวนอาฉ่าและหมี่สามไปนั่งกินอาหารที่ร้านของชาวหวุย อาลีได้มีโอกาสพูดคุยด้วยภาษาของตนกับคนที่อยู่ในร้านนั้น รวมทั้งได้กินอาหารที่ตนเคยชินและปรุงขึ้นอย่างถูกต้องตามหลักศาสนา อาลีซื้อเสบียงสำหรับตนเองไว้กินมื้อต่อไปเพื่อจะไม่ต้องรบกวนอาซึและอาฉ่า
เย็นวันนั้น
หมี่โตและหมี่รองเมื่อได้รู้ว่านางสาลี่สั่งซื้อย่ามห้าสิบใบและกระเป๋าสตางค์หนึ่งร้อยห้าสิบใบ ทั้งสองอุทานด้วยความยินดี แถมวันนี้หมี่สามยังช่วยขายย่ามและกระเป๋าสตางค์ได้จำนวนหนึ่งอีกด้วย
อาฉ่าบอกลูกสาวทั้งสองว่า
“พ่อตกลงจ้างอาโยะและหมี่ยะให้ไปเกี่ยวข้าวที่ไร่ของเรา พ่อบอกพวกเขาไว้แล้ว และพวกเขาก็เต็มใจตกลง ทีนี้ลูกสองคนก็ใช้เวลาทำย่ามกับกระเป๋าสตางค์ไป ถึงเวลาก็เอาเงินค่าจ้างให้พวกเขาคนละสองเหรียญเงินต่อวัน” อาโยะและหมี่ยะคือน้องชายและน้องสะใภ้ของอาพี ไม่นานมานี้พวกเขาพาลูกสามคนย้ายจากดอยอื่นมาอยู่ที่หมู่บ้านหลี่ผะจากการถูกคุกคาม พวกเขาไม่มีที่ดินของตนเอง
“ได้จ้ะพ่อ” หมี่โตและหมี่รองพูดพร้อมกันอย่างยินดีที่พวกเธอจะเย็บปักได้เต็มที่ อาฉ่าพูดต่อ
“หากเป็นคนอื่นจ้างเขาให้เพียงเหรียญเดียวเท่านั้นต่อคนต่อวัน แต่พ่อสงสารลูกๆ ของพวกเขาจึงให้ค่าแรงเขาสองคนสูงกว่าที่อื่นและจะแบ่งข้าวให้พวกเขาเอาไปกินด้วย”
“ดีจ้ะพ่อ” เสียงหมี่เล็กดังแจ๋วๆ ตอบมาจากในครัว เธอเดินเข้าไปตักขนมเค้กที่เหลือใส่จานมาวางไว้บนโต๊ะไม่ไผ่สาน “ทำไร่นี่เหนื่อยมากเลยนะจ๊ะ หนูขอบอก”
“งานอะไรก็เหนื่อยทั้งนั้นแหละลูก” อาซึพูดกับหมี่เล็กโดยตรง เธอสังเกตว่าลูกสาวคนนี้ชอบสบาย “การทำไร่ก็ทำให้เราไม่ต้องซื้อข้าวคนอื่นมากิน ข้าวที่ปลูกจากไร่ของเราเองอร่อยที่สุดนะ”
“จริงจ้ะแม่” หมี่โตและหมี่รองพูดเป็นเสียงเดียวกัน หมี่โตมองหมี่สามที่กำลังคัดเลือกเมล็ดถั่ว เธอกล่าวขึ้นมาว่า
“อีกหน่อยพอมีช่างมาซ่อมรถแล้ว อาลีก็ต้องจากพวกเราไป หมี่สามต้องเอาขนมเค้กลงไปขายคนเดียวแล้วนะ”
“ใครบอกว่าคนเดียว หนูเป็นผู้ช่วยคนเก่งของพี่หมี่สามนะจ๊ะ ใครจะว่าหนูขี้เกียจไม่ได้นะ” หมี่เล็กกล่าวพลางเอียงตัวไปทางหมี่สามที่ยกแขนโอบบ่าน้องเล็กไว้ เดอเลอส่งเสียงพูดเป็นคำๆ มาจากตักของอาซึ เธอเติบโตขึ้นมากและไม่ต้องนอนเปลแล้ว
“อ้อ จริงสิ แม่ลืมไป หมี่เล็กของพวกเราเก่งที่สุดเลยละ” อาซึยกมือลูบหัวหมี่เล็ก ความรู้สึกที่เธอมีให้ลูกทุกคนนั้นเท่าเทียมกัน มันคือความรักของคนเป็นแม่
“แล้วหนูก็ช่วยแม่เก็บใบตองตึงมาทำกระทงด้วย” หมี่เล็กเตือนความจำแม่
อาซึดึงตัวหมี่เล็กมาใกล้ เดอเลออ้าแขนกว้างกอดพี่สาวไว้แน่น หมี่เล็กและแม่หัวเราะเสียงดัง
อาฉ่ามองผู้หญิงผู้เป็นสมาชิกส่วนใหญ่ของบ้านนี้ เขาคิดอยู่ในใจว่าแม้ตนเองไม่มีลูกชาย แต่เขาไม่รู้สึกคับอกคับใจกับเรื่องนี้อีกแล้ว