บทที่ 5 ขายขนมเค้ก
เช้าวันรุ่งขึ้น
หมี่เล็กนำไข่ต้มโรยเกลือป่นสองใบใส่ถ้วย ข้าวปุกสองชิ้นใหญ่ห่อใบตอง และน้ำชาร้อนในแก้วไม้ไผ่มาให้อาลีกินเป็นอาหารเช้า อาลีกล่าวขอบคุณเด็กหญิงที่ยิ้มหน้าบาน
“แม่บอกว่าถ้าไม่พอให้มาบอก แม่จะปิ้งข้าวปุกเพิ่มให้จ้ะ” หมี่เล็กพูดแล้ววิ่งตื๋อกลับไปนั่งกินข้าวกับพี่สาว วันนี้หมี่โตและหมี่รองจะไปไร่กันสองคน ส่วนหมี่สามจะหัดทำขนมเค้กโดยมีเธอเป็นผู้ช่วยคนสำคัญ
เช้านี้อาลีเปิดท้ายรถบรรทุกขายของให้ชาวบ้านที่เดินมาพูดคุยและซื้อของจำเป็น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกอาหารแห้งและเครื่องใช้ในครัวเรือน
“รถคันนี้กลายเป็นร้านค้าประจำหมู่บ้านไปแล้วนะนี่” ชายคนหนึ่งพูดหลังจากเดินมาซื้อใบมีดสำหรับตัดกิ่งไม้ ซึ่งในรถของอาลีมีใบมีดหลายขนาด ใบจอบ และหัวเสียมที่ทำด้วยเหล็กอย่างดี
“ผมก็อยากจะตั้งร้านตรงนี้เหมือนกันครับ” อาลีพูดตอบชายคนนั้นด้วยอัธยาศัยอันดี
เมื่อขายของรอบเช้าเสร็จแล้ว อาลีปิดผ้าใบคลุมท้ายรถ เขาสวดมนต์ครู่หนึ่งก่อนหอบหิ้วภาชนะต่างๆ เดินเข้าไปยังบริเวณที่ก่อเตาไว้เมื่อวาน
หมี่เล็กที่ยืนแอบดูอยู่ตรงเสาบ้านรีบขึ้นไปบอกหมี่สามที่กำลังเตรียมส่วนผสมของขนมเค้ก เธอมีแป้งสาลีที่โม่ละเอียดดีแล้ว เมล็ดถั่วคั่วสุก ผลแอปเปิลที่ซื้อมาเมื่อวานเธอปอกเปลือกฝานเป็นชิ้นเล็กๆ อาลีบอกว่ามันจะช่วยเพิ่มรสหวานแหลมให้ขนมเค้ก
“ลืมสนิทเลย เราต้องใช้น้ำตาลอีกอย่างหนึ่ง” หมี่สามพึมพำกับตัวเอง เธอควักเหรียญเงินออกมาจากกระเป๋าและถือเตรียมไว้ เธอคงต้องรบกวนอาลีให้เปิดท้ายรถขายของให้เธออีกหนึ่งอย่าง
“หมี่เล็กช่วยพี่ถือของลงไปด้วยจ้ะ” หมี่สามร้องบอกหมี่เล็กที่กำลังล้อเล่นกับเดอเลอในเปล
“จ้ะ พี่หมี่สาม” หมี่เล็กบอกน้องสาวว่าอย่าซุกซน แล้วเธอก็ลุกขึ้นมาหิ้วสิ่งของต่างๆ ไว้เต็มสองมือ
อาซึเพิ่งกลับจากการซักผ้าที่ลำห้วย เธอยืนตากผ้าที่หลังบ้านใกล้สวนครัว เมื่อเห็นหมี่สามและหมี่เล็กลงบันไดมา เธอรีบตากผ้าจนเสร็จและขึ้นบ้านไปดูแลเดอเลอ ส่วนอาฉ่าจูงเจ้าม้าหนุ่มเข้าป่าไปบรรทุกหญ้าสดและขุดหัวกลอยมาไว้ทำอาหาร
“เอาละ มาช่วยกันทำขนมเค้กที่แสนอร่อยด้วยกันครับ” อาลีพูดขณะเริ่มก่อไฟในเตาดินด้วยฟืนที่สี่พี่น้องหามากองเตรียมไว้อย่างมากมายตั้งแต่เมื่อค่ำวานนี้ หมี่สามรู้สึกตื่นเต้นจนลนลานไปหมด เธอเงยหน้าเอ่ยคำพูดกับอาลีว่าเธอต้องการซื้อน้ำตาล
“ไม่ต้องครับ ผมเตรียมมาทุกอย่างแล้ว” อาลีพูดยิ้มๆ และชี้ไปยังสิ่งของต่างๆ ที่เขาขนมาวางไว้อย่างเป็นระเบียบ
หมี่สามมองถาดอลูมิเนียมสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่สามใบที่ส่งประกายเงางาม มีน้ำตาลกรวดสีขาวในห่อกระดาษ นอกจากนั้นยังมีผลไม้แห้งต่างๆ ที่อาลีแบ่งจากโหลใส่มาในถ้วยน่ารักหลายใบ
“โอ้โห เราจะทำสามถาดเลยใช่ไหมจ๊ะ” หมี่สามพูดเสียงสั่นอย่างดีใจ
“เราจะอบทีละถาด เราจะขายสองถาดเอาเงินมาแบ่งกัน เราจะเก็บไว้กินเองหนึ่งถาด ตกลงนะครับ”
“อู้ว ดีจังเลย” หมี่สามสูดหายใจเข้าลึก เธอจะได้หัดทำขนมเค้กในวันนี้รวมทั้งจะได้เป็นแม่ค้าด้วย หากอาลีไม่มีอุบัติเหตุจนต้องพักค้างคืนที่หน้าบ้านเธอ เธออาจไม่มีโอกาสเช่นนี้ มันช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่พอเหมาะพอดี เธอเอ่ยปากถามเขาว่า “ถ้าวันนี้เราขายขนมเค้กหมด เราจะมีเงินเท่าไรจ๊ะ”
อาลีตอบช้าๆ เพื่อให้หมี่สามเข้าใจ “เราต้องคำนวณต้นทุนวัตถุดิบต่างๆ รวมทั้งแรงงานของคนทำ ยังไม่ต้องนับรวมการทำเตาอบที่ใช้คนหลายคนซึ่งเป็นการลงทุนครั้งแรก ขนมเค้กหนึ่งถาดสี่เหลี่ยมใหญ่เมื่อสุกแล้วจะตัดขายได้ยี่สิบชิ้น เธอลองคิดเลขออกมาได้ไหมว่าเราควรจะขายชิ้นละเท่าไร และหากขายหมดหมี่สามกับพี่จะแบ่งเงินกันคนละเท่าไร และจะแบ่งกันอย่างไร”
หมี่สามฟังอาลีพูดอย่างตั้งใจ เธอรู้สึกสนุกกับโจทย์ที่อาลีตั้งขึ้น เธอยืนอึ้งมองดูสิ่งของที่อาลีนำมา และสิ่งของที่เธอเตรียมไว้ เธอเอ่ยปากถามเขา
“พี่อาลีช่วยบอกราคาสิ่งของต่างๆ ที่เราสองคนเอามาใช้ด้วยจ้ะ ฉันจะคิดเลขออกมาให้ได้เลยละ”
อาลีบอกหมี่เล็กถึงราคาสิ่งของที่เขานำมา “นมในถุงหนังที่กลายเป็นเนยแล้วนั้นราคาสามเหรียญเงิน ผงฟูหนึ่งถ้วยราคาสิบเหรียญทองแดง น้ำตาลกรวดสองเหรียญเงิน ผลไม้แห้งห้าชนิด ชนิดละสิบเหรียญทองแดง”
หมี่สามขยับปากและนิ้วทั้งสิบเพื่อคิดตัวเลขในใจ อึดใจหนึ่งเธอตอบออกมา “รวมแปดเหรียญเงินจ้ะ” เธอมองชายหนุ่มที่เดินเข้ามาดูวัตถุดิบที่เธอเตรียมมา เขาประเมินราคา
“แป้งสาลีที่ใช้วันนี้ราคาประมาณสองเหรียญเงิน ถั่วสามชนิด ตีเสียว่าชนิดละสิบเหรียญทองแดง และผลแอปเปิลสองลูกราคาสิบเหรียญทองแดง รวมกันเป็นเท่าไร”
หมี่สามตอบทันที “ของฉันลงทุนไปสี่เหรียญเงิน รวมกับของพี่อาลีแปดเหรียญเงิน ทั้งหมดคือสิบสองเหรียญเงินจ้ะ”
“ใส่ค่าแรงของเราสองคนไปด้วยคนละหนึ่งเหรียญเงิน” อาลีกล่าวขณะชี้บอกให้หมี่สามตวงส่วนผสมทุกอย่างลงในถังสะอาด ซึ่งหมี่สามจดจำทุกอย่างไว้ในสมอง
“ถ้าอย่างนั้นต้นทุนก็จะเป็นสิบสี่เหรียญเงินจ้ะ” หมี่สามตอบทันที
“ยังไม่หมดนะหมี่สาม เราต้องรวมค่าแรงผู้ช่วยของเราอีกหนึ่งเหรียญเงิน” อาลีกล่าวและมองหมี่เล็กที่ทำตาโตอย่างดีใจ
“ก็กลายเป็นสิบห้าเหรียญเงิน” หมี่สามตอบและหันไปยิ้มให้หมี่เล็ก ขณะที่อาลีใช้ถ้วยขนาดเล็กตวงผงฟู เขาพูดไปเรื่อยๆ หมี่สามสังเกตทุกอย่างที่ชายหนุ่มทำและพูด
“ทีนี้เราจะต้องบวกกำไรเข้าไปถาดละหนึ่งเหรียญเงิน รวมทั้งถาดที่เราจะเก็บไว้กินด้วย” อาลีพูดพลางส่งไม้พายให้หมี่สามกวนแป้งขนมเค้ก จากนั้นเขาเทเนยข้นออกจากถุงหนังลงถ้วยตวงและเทใส่ลงไปในอ่างผสม
หมี่สามทำท่าคิดก่อนตอบออกมา “ถ้าอย่างนั้นต้นทุนทั้งหมดรวมกำไรคือสิบแปดเหรียญเงิน เราทำขนมเค้กสามถาด ตกถาดละหกเหรียญเงิน หรือหากคิดเป็นเหรียญทองแดงก็คือหนึ่งร้อยยี่สิบเหรียญทองแดง ถ้าเราตัดขายถาดละยี่สิบชิ้น เราต้องคิดราคาขนมเค้กชิ้นละหกเหรียญทองแดงจ้ะ”
“ดีมาก ราคานี้คือราคาที่ขายในหมู่บ้าน หากเราเอาลงไปขายที่ตลาด เราต้องบวกค่าขนส่งด้วย เราต้องขายอีกราคาหนึ่ง จำไว้นะ”
“จ้ะ พี่อาลี” หมี่สามพยักหน้า เธอคำนวณต่อ “แต่พี่อาลีลงทุนมากกว่าฉันไปหนึ่งเท่า ดังนั้นเงินที่จะขายขนมเค้กได้ พี่อาลีจะต้องได้มากกว่าฉันหนึ่งเท่าด้วยเช่นกัน”
อาลียิ้มและมองหมี่สามอย่างชื่นชม
“หมี่สาม ผมจะต้องจ่ายค่าจอดรถที่หน้าบ้านของเธอและจ่ายค่าอาหารที่ผมได้กินมาแล้วสามมื้อ รวมทั้งค่าใช้สถานที่และฟืนไฟในการทำขนมเค้ก ดังนั้นเรามาแบ่งรายได้กันคนละครึ่งดีกว่า ถ้าเราขายขนมเค้กหมดทั้งสองถาด ผมและหมี่สามจะได้เงินคนละหกเหรียญเงินเท่ากัน”
“หูว ยอดไปเลย” หมี่เล็กที่ยืนฟังอยู่ร้องขึ้น วันนี้เธอจะได้ค่าแรงหนึ่งเหรียญเงินในฐานะผู้ช่วยสำคัญ เธอต้องไปหิ้วน้ำมาหลายเที่ยวสำหรับล้างภาชนะต่างๆ ให้สะอาดและเก็บกวาดรอบเตาไฟ รวมทั้งไล่แม่ไก่ไม่ให้พาลูกเจี๊ยบเดินมาแถวนี้ นอกจากนั้นเธอยังต้องมีหน้าที่เฝ้าหน้าเตาเพื่อคอยดูไม่ให้ขนมเค้กไหม้
อาลีมองแป้งขนมเค้กที่กวนจนได้ที่แล้ว เขาบอกให้หมี่สามใส่ถั่วต่างๆ ลงไปในอ่างผสม รวมทั้งผลแอปเปิลที่ฝานเป็นชิ้นเล็กๆ
“เราต้องลองชิมก่อนว่าขนมเค้กเรารสชาติเป็นอย่างไร” อาลีกล่าว เขาบอกหมี่สามให้ตักแป้งขนมเค้กนิดหน่อยใส่จานใบเล็ก แล้วเขาก็คีบจานนั้นอังไฟไว้ครู่หนึ่ง แป้งขนมเค้กในจานเดือดปุดๆ มันส่งกลิ่นหอม
“ลองชิมดู” อาลีส่งจานนั้นให้หมี่สาม เธอใช้มือหยิกแป้งขนมเค้กชิ้นเล็กๆ ชิมดู เธอยิ้มออกมา
“อร่อยมากเลยจ้ะ ให้หมี่เล็กชิมด้วยนะจ๊ะ”
อาลียื่นจานใบนั้นไปตรงหน้าหมี่เล็ก เด็กหญิงบิแป้งนิ่มอุ่นอมไว้ในปาก แล้วเธอก็พยักหน้ายกนิ้ว
อาลีใช้นิ้วปาดแป้งที่เหลือในจานแล้วยกแตะปลายลิ้น เขาพยักหน้ากับหมี่เล็ก จากนั้นเขาหยิบถาดส่งให้หมี่สาม
“พร้อมจะอบกันละนะ ก่อนอื่นเราต้องทาเนยที่ถาดก่อนนะครับ” อาลีบอก ฟืนในเตาดินส่งความร้อนไปทั่วทุกส่วนของเตา
หมี่สามใช้ผ้าปั้นก้อนกลมชุบเนยทาไปทั่วทั้งถาดแล้วตักแป้งขนมเค้กใส่ลงไป เมื่อปาดหน้าเค้กจนเรียบแล้วเธอก็ยกถาดวางบนตะแกรงเหล็กก่อนเลื่อนเข้าไปในเตาที่กำลังร้อนได้ที่ อาลียกก้อนหินใหญ่ปิดปากเตาไว้
“เรารอประมาณหนึ่งชั่วโมง จากนั้นเราก็เอาขนมเค้กถาดแรกออกมา แล้วอบถาดที่สอง แล้วก็ถาดที่สาม หมี่เล็กคอยดูด้วยนะ” อาลีบอกพี่น้องทั้งสอง เขาลุกขึ้นและเดินออกไปนอกบ้าน
หมี่เล็กมองตามหลังอาลีไป เธอมองเห็นเขาเดินไปหาอาพีที่บ้านตรงข้าม พวกเขายืนพูดกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วอาพีก็พาอาลีเดินไปตามบ้านต่างๆ
หลังเที่ยง
อาฉ่าจูงเจ้าม้าหนุ่มกลับจากป่า หลังจากเอาหญ้าใส่รางแล้วเขาก็กวาดคอกม้าไปพลางชำเลืองมองหมี่สามและหมี่เล็กที่นั่งจ้องเตาอบ ครู่หนึ่งอาซึเดินลงมาจากบนบ้าน เธอทำอาหารกลางวันเตรียมไว้ให้อาฉ่าในครัวและตักแบ่งใส่ชามไว้ให้อาลี
“หมี่สาม หมี่เล็ก มากินข้าวจ้ะ” อาซึส่งเสียงเรียกจากบันได
หมี่สามลุกขึ้นอย่างว่าง่าย เธอขออนุญาตมารดา “เราสองคนตักลงมานั่งกินตรงนี้นะจ๊ะแม่”
“ได้สิ กลัวขนมเค้กจะไหม้ใช่ไหม”
“ใช่จ้ะ” สาวน้อยทั้งสองตอบพร้อมกัน
หมี่สามและหมี่เล็กตักข้าวใส่ถ้วยและราดแกงผักตามลงไป เธอทั้งสองถือถ้วยมานั่งกินที่หน้าเตาพลางคะเนเวลาหนึ่งชั่วโมงจากการดูเงาแดดที่เลื่อนไป การสังเกตตำแหน่งดวงอาทิตย์เป็นความรู้ทั่วไปของผู้คนที่อาศัยอยู่บนดอย พวกเขาไม่มีนาฬิกาดูเวลา แต่ใช้การสังเกตเงาแดดและทิศทางที่พระอาทิตย์ขึ้นและตก
“เราเปิดเตากันเถอะ” หมี่สามชวนหมี่เล็ก
ทั้งสองช่วยกันเลื่อนก้อนหินอันหนักอึ้งที่ปิดปากเตาออก
“ฮูว หอมมากเลย” หมี่เล็กเบิกตามองขนมเค้กสีเหลืองเข้มในถาด หมี่สามใช้ตะขอดึงตะแกรงเหล็กออกมาจากเตา เธอใช้ผ้าซับมือยกถาดขนมเค้กวางบนเก้าอี้กลม จากนั้นเธอวางเค้กถาดที่สองลงบนตะแกรง เธอเติมฟืนลงไปที่พื้นเตาด้านล่างและรอให้ไม้ฟืนลุกไหม้จนหมดเปลวไฟ จากนั้นเธอจึงดันตะแกรงกลับเข้าไปในเตาและดันก้อนหินเลื่อนปิดปากเตาอีกครั้ง
ครู่ใหญ่ผ่านไปอาลีก็เดินกลับมา อาซึรีบยกอาหารมาให้อาลีได้กิน เขากล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ หมี่สามชี้ให้เขาดูถาดขนมเค้กอย่างดีใจ
“โอ้ มันดูดีมาก เราต้องปล่อยให้มันเย็นลงก่อนค่อยตัดเป็นชิ้นๆ นะครับ ไม่อย่างนั้นมันจะเละ” อาลีกล่าว เขานั่งลงขัดตะหมาดและยกมือขึ้นประสานกันครู่หนึ่ง เขาเริ่มกินอาหารเที่ยงในเวลาบ่ายคล้อย ส่วนอาฉ่าขึ้นไปนั่งกินข้าวในครัว หมี่เล็กและหมี่สามต่างนั่งหันหลังให้อาลีเพื่อเป็นการรักษามารยาท พวกเธอต้องการให้เขาได้กินอาหารอย่างสบายใจ
เมื่อกินอาหารเสร็จแล้วอาลีก็ลุกขึ้น เขามองหาบริเวณที่เขาจะล้างจานได้ หมี่เล็กรีบมารับถ้วยจากมือของเขา
“เดี๋ยวหนูล้างให้จ้ะพี่อาลี อย่าลำบากไปเลย” หมี่เล็กพูดและวิ่งเอาถ้วยใบนั้นขึ้นไปบนบ้าน
“เดี๋ยวผมจะทำที่ล้างจานข้างล่างให้นะ จะได้ไม่ต้องยกถาดขึ้นไปล้างข้างบน”
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ขนมเค้กถาดที่สองก็สุกหอม คราวนี้อาลีเป็นคนเปิดเตา เขาใช้ท่อนไม้ดันก้อนหินให้เลื่อนออกและดึงตะแกรงออกมา
“ถาดนี้สวยกว่าถาดแรก” อาลีกล่าว เขามองขนมเค้กสีน้ำตาลอ่อนอย่างพอใจ
ครู่หนึ่งจากนั้นหมี่สามก็ตักแป้งขนมเค้กที่เหลือใส่ลงในถาดสุดท้าย
“ถาดนี้พวกเราจะเก็บไว้กินเองนะจ๊ะพี่อาลี” หมี่สามเงยหน้าพูดกับชายหนุ่ม เขาพยักหน้า
“เดี๋ยวอีกสักพัก พอแดดร่มลมตกแล้วจะมีคนมาซื้อขนมเค้กของเราเยอะเลย ผมกับคุณน้าอาพีเดินไปบอกคนที่อยู่บ้านต่างๆ ว่าเรามีขนมเค้กหอมอร่อยสดใหม่ขายในราคาชิ้นละเจ็ดเหรียญทองแดง แต่เราลดราคาให้พวกเขาเหลือเพียงชิ้นละหกเหรียญ”
“อ้อ อย่างนี้ก็จะมีคนมาซื้อกันเยอะแยะเลยนะจ๊ะ” หมี่เล็กกล่าวพลางพยักหน้าอย่างเข้าใจในวิธีขายของที่อาลีนำมาใช้
ขณะที่คนทั้งสามคุยกัน อาซึก็เดินลงมาจากบนบ้าน ในมือของเธอมีกระทงใบสวย เธอใช้เวลาเมื่อสักครู่นี้เดินไปเก็บใบตองตึงมาวางเรียงแล้วใช้เข็มร้อยด้ายเย็บกระทงอย่างเร็ว มันมีรูปร่างเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมที่สามารถบรรจุอาหารเข้าไปโดยไม่หกเลอะเทอะ
“เอาไว้ใส่ขนมเค้กขาย มีสี่สิบใบ” อาซึพูดยิ้มๆ หมี่สามโผเข้ากอดมารดา
“สวยมากครับคุณน้า” อาลียกกระทงขึ้นดูอย่างพิจารณา เขาคิดกะการไว้ในใจ หากวันหน้าหมี่สามเอาขนมเค้กไปขายในเมือง เขาเชื่อว่าต้องมีคนอยากได้กระทงสวยๆ แบบนี้ มันจะช่วยให้ขนมเค้กขายดี และนอกจากนั้นอาซึควรได้ค่าฝีมือเย็บกระทงด้วย เพราะกระทงสวยเช่นนี้ไม่อาจหาซื้อได้ที่ไหน
“นี่ฉันรีบทำหรอกนะ หากมีเวลาประดิดประดอย ฉันจะทำสวยกว่านี้” อาซึบอกอาลีด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เธอไม่ได้พูดอวดตัว แต่เป็นการออกตัวว่าฝีมือเย็บกระทงของเธอนั้นยังไม่ถึงขั้น
“ผมรับรองว่าต้องมีคนชอบกระทงของคุณน้าแน่นอน” อาลีพูด
ใกล้ถึงเวลาเย็น
หมี่สามยกถาดขนมเค้กสองถาดไปวางที่ท้ายรถของอาลี เขาเปิดผ้าใบและจัดที่รอไว้
“เอาละ ทีนี้เธอก็ตัดขนมเค้กในถาดให้ได้ยี่สิบชิ้นเท่าๆ กันได้แล้ว” อาลีที่นั่งอยู่ท่ามกลางกองสินค้าในรถบอกหมี่สาม
“จ้ะ พี่อาลี” หมี่สามตอบ เธอมีสีหน้าภูมิใจ
มีเสียงกู่มาจากปลายถนนที่มาจากไร่ “วู้! วู้! หมี่สามทำขนมเสร็จแล้วหรือ”
หมี่โต หมี่รอง และเพื่อนอีกสองคนวิ่งตึกตักมาจากด้านนั้น พวกเธอมีผักหลายอย่างในอ้อมแขนและในตะกร้าที่สะพายหลังมา
“มาเร็วๆ มาดูพี่หมี่สามตัดเค้ก” หมี่เล็กกระโดดหยอยๆ พลางโบกมือเรียกพี่สาวทั้งสองที่กระมอมกระแมมมาจากไร่
“โอย เสียดาย ไม่ได้ดูตอนพวกเธออบขนม” หมี่โตหายใจหอบเหนื่อยจากการวิ่งมา หมี่รองวิ่งมาถึงและส่งเสียงอุทานเมื่อได้เห็นขนมเค้กสีเหลืองเข้มในถาดสองใบ มีถั่ว ผลไม้แห้ง และชิ้นแอปเปิลโผล่แซมไปทั่วทั้งถาด
“พี่จะอุดหนุนเธอเป็นคนแรกได้ไหม” หมี่รองถามหมี่สาม เธอเงยหน้ามองเห็นอาลีนั่งยิ้มอยู่รถ
“ของพวกเรามีอีกถาดหนึ่งจ้ะ เราเอาไว้กินตอนค่ำๆ นะ สองถาดนี้เอาไว้ขาย ฉันกับพี่อาลีหุ้นกันคนละครึ่ง ฉันจะแบ่งกำไรให้พวกพี่สองคนด้วย เพราะพวกเราช่วยกันปลูกข้าวสาลี ปลูกถั่ว เหนื่อยกันไม่ใช่น้อย”
หมี่สามสูดหายใจเข้าปอดอย่างตื่นเต้นพลางลงมือตัดเค้กในถาดสี่เหลี่ยมจัตุรัสด้วยการกดมีดกรีดตามยาวกลางถาดหนึ่งครั้ง แล้วกรีดตามขวางอีกสิบครั้งโดยเว้นระยะเท่ากันอย่างแม่นยำ ขนมเค้กรูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้าก็ปรากฏขึ้นต่อหน้ายี่สิบชิ้น
“เธอตัดเค้กได้แม่นมาก เท่ากันทุกชิ้นเลย” อาลีชม “อีกถาดหนึ่งผมขอตัดเองนะ”
“ได้จ้ะ เราขายกันคนละถาดก็สะดวกดีนะจ๊ะ” หมี่สามตอบและส่งมีดให้อาลี
ชายหนุ่มรับมีดมาและเล็งมองขนมเค้กในถาดสี่เหลี่ยมจัตุรัส แล้วเขาก็กรีดมีดลงที่กลางขนมเค้กทั้งสองด้าน ซึ่งทำให้มันกลายเป็นขนมเค้กสี่ชิ้นใหญ่ เขากดมีดลงไปในเนื้อเค้กของแต่ละช่องให้เป็นรูปสามเหลี่ยมขนาดเล็กทั้งมุมแหลมและมุมฉาก ซึ่งน่าแปลกใจที่เมื่อนับแล้ว ในถาดนั้นมีขนมเค้กรูปร่างสามเหลี่ยมยี่สิบชิ้นพอดี
“อย่างนี้คนซื้อก็เลือกได้ว่าจะซื้อขนมเค้กรูปสี่เหลี่ยมหรือสามเหลี่ยม” อาลีพูดอธิบาย “ซึ่งมันก็เป็นขนมอย่างเดียวกันนั่นแหละ แต่เราทำให้มันมีรูปร่างแตกต่างเพื่อให้น่าสนใจยิ่งขึ้น”
“อ้อ แหม พี่อาลีฉลาดมากจ้ะ” หมี่โตออกปากชมชายหนุ่มอย่างจริงใจ เขายิ้มรับ
“พวกเราขอตัวเข้าบ้านก่อนนะจ๊ะ” หมีรองและหมี่โตบอกอาลี เขายิ้มและพยักหน้า เขามองตามหญิงสาวสองคนไปแล้วหันกลับมามองใบหน้ากลมแก้มแดงของหมี่สาม เธอจับจ้องมองขนมเค้กและสูดกลิ่นของมันอย่างหลงใหล เธอจะได้ขายสินค้าที่เธอทำมันขึ้นมาด้วยความตั้งใจ
ที่ใต้ต้นลิ้นจี่อันร่มรื่น
เหล่าชาวบ้านต่างทยอยมาซื้อขนมเค้กชิ้นละหกเหรียญทองแดงไปลองชิม มันมีราคาค่อนข้างสูงสำหรับคนที่ไม่มีรายได้มากนัก พวกเด็กๆ หลายคนหุ้นเงินกันซื้อขนมเค้กหนึ่งชิ้นไปแบ่งกันกิน
“ขนมเค้กนี่อร่อยจัง แต่ฉันคงไม่มีเงินมาซื้อทุกวันนะ” หญิงชราคนหนึ่งพูด นางบิขนมใส่ปากและอมไว้ มันนุ่มนวลและมีรสชาติที่น่าพอใจ “ฉันเคยกินแต่ขนมชิ้นละหนึ่งสตางค์แดงเดียว วันนี้มาลองกินขนมแพงๆ แต่มันอร่อยมากกว่ากันเยอะเลย ทั้งหอม ทั้งหวาน มีผลไม้แห้งหลายอย่างด้วย”
หมี่เล็กซึ่งยืนช่วยหมี่สามขายขนมรู้สึกเพลิดเพลินกับการมองดูผู้คนต่างๆ เธอมองอาลีที่เจรจาด้วยถ้อยคำอ่อนหวานเป็นมิตรกับคนที่มาซื้อของ
“รับรองว่าอร่อยจนทุกคนติดใจนะครับ” อาลีพูดเชิญชวนเหล่าชาวบ้านที่มามุงอยู่รอบรถของเขา
ไม่นานขนมเค้กทั้งสองถาดก็ขายหมด หมี่เล็กเก็บถาดทั้งสองใบไปล้างตามหน้าที่ผู้ช่วย ส่วนอาลียังขายสินค้าอื่นๆ ในรถของเขาต่อไป
“เดี๋ยวพี่อาลีไปกินข้าวที่บ้านนะจ๊ะ” หมี่สามบอกเขา เธอคลำเหรียญทองแดงที่ตุงกระเป๋าอย่างดีใจ
อาลีควักเงินสามสิบเหรียญทองแดงให้หมี่สาม “เราหุ้นกันจ่ายค่าแรงให้หมี่เล็ก และจ่ายค่ากระทงให้แม่ของเธอด้วย แม่ของเธอสมควรมีรายได้จากงานเย็บกระทงที่งดงาม บอกแม่เธอให้เตรียมทำไว้เยอะๆ นะครับ วันพรุ่งนี้เราจะทำขนมเค้กกันตอนบ่ายหกถาด และวันรุ่งขึ้นเราจะเอาไปขายในเมือง ผมรับรองว่าเราจะขายได้หมดทั้งหกถาดเลยละ”
“โอ้ ดีจังเลย ขอบคุณมากจ้ะพี่อาลี” หมี่สามรับเงินจากชายหนุ่ม
ยามเย็น
ขณะที่อาซึ หมี่โตและหมี่รองช่วยกันทำอาหาร หมี่สามเทเงินเหรียญทองแดงจากกระเป๋ากองลงในถาดไม้ไผ่ด้วยใบหน้าเป็นสุข เธอหยิบเงินให้อาซึสี่สิบเหรียญเป็นค่าทำกระทงสี่สิบใบ ซึ่งอาซึรับไว้โดยไม่ปฏิเสธ เงินทุกเหรียญมีค่าสำหรับเธอที่จะนำมาซื้อของใช้ในบ้าน
“เดี๋ยวฉันจะแบ่งเงินให้พี่ๆ นะจ๊ะ เพราะพวกพี่ช่วยฉันปลูกและเก็บเกี่ยวข้าวสาลีจนฉันเอามาทำขนมเค้กขายได้” หมี่สามพูดกับหมี่โตและหมี่รอง
“อย่าเลยหมี่สาม เธอต้องเก็บไว้ทำทุนต่อ เราได้กินขนมเค้กที่เธอทำก็เพียงพอแล้ว” หมี่โตจับมือหมี่สามไว้ เธอและหมี่รองชิมขนมเค้กไปคนละชิ้นเล็กๆ มันมีรสชาติวิเศษมาก
“ใช่ เธอแบ่งขนมเค้กให้พี่ได้กิน เพียงเท่านี้พี่ก็ดีใจแล้ว” หมี่รองกล่าว
อาซึมองลูกสาวทั้งสี่อย่างภูมิใจในความรักใคร่ ปรองดอก มีน้ำใจกว้างขวาง ไม่อิจฉาริษยากัน
“พรุ่งนี้ฉันกับพี่อาลีจะทำขนมเค้กหกถาดเพื่อเอาไปขายในเมืองวันถัดไป” หมี่สามบอกพี่ๆ
“เสียดายที่เราต้องไปถอนหญ้าในไร่อีกหลายวัน ไม่อย่างนั้นพี่จะช่วยทำและเข้าเมืองไปด้วย พี่ทำกระเป๋าสตางค์เล็กๆ ไว้เยอะเลยจะได้เอาไปขายพร้อมกัน” หมี่รองกล่าว
“พี่ก็ปักย่ามไว้หลายใบเหมือนกัน” หมี่โตพูดอย่างเสียดายที่จะไม่ได้เข้าเมือง
“ฉันเอาไปขายให้พวกพี่เองจ้ะ” หมี่สามกล่าวอย่างเต็มใจ
อาฉ่าซึ่งนั่งทำงานที่มุมหนึ่งของห้องครัวลุกขึ้น เขาส่งใบตองตึงที่เจียนเสร็จแล้วให้อาซึเพื่อเตรียมเย็บเป็นกระทงสำหรับใส่ขนมไปขายที่ตลาดในวันมะรืน
เมื่ออาลีขายของเสร็จและปิดผ้าใบท้ายรถแล้วเขาก็เดินขึ้นบันไดบ้านมา
“มานั่งตรงนี้” อาฉ่าชี้มุมครัวด้านที่ติดประตูหลังบ้านให้อาลีนั่งกินในถาดแยกต่างหาก อาหารของอาลีไม่มีเนื้อสัตว์ มันประกอบด้วยผักหลายอย่าง แป้งสาลีที่นวดเป็นแผ่นและปิ้งไฟ อาฉ่าบอกอาซึว่าอาลีมีข้อห้ามทางศาสนาในเรื่องกิน ซึ่งอาซึเข้าใจ เธอจึงนำอาหารแห้งและเครื่องเทศที่เขาให้มาปรุงผสมกับผัก อาลีค้อมตัวแสดงความขอบคุณทุกคน
“หลังอาหารเราจะกินขนมเค้กกันให้เต็มที่” หมี่สามพูด “อย่ากินข้าวอิ่มเกินไปนะจ๊ะ”
“เราเก็บมันไว้ได้หลายวันครับ เพราะเราอบจนแห้งดีแล้ว และอากาศบนดอยก็เย็น ไม่ทำให้ขนมเค้กบูดง่าย” อาลีบอกหลังจากสวดมนต์เสร็จ เขาเริ่มกินอาหาร
“พรุ่งนี้เราจะทำขนมเค้กหกถาดใช่ไหมจ๊ะ” หมี่เล็กถามอาลีซ้ำเพื่อความมั่นใจ เธอจะได้เตรียมตัวไปหิ้วน้ำมาไว้ให้พอใช้ในฐานะผู้ช่วยที่มีค่าตัววันละหนึ่งเหรียญเงิน
“ครับ เราลงมือทำกันตอนบ่าย เราจะอุ่นขนมเค้กไว้หนึ่งคืนในเตา วันรุ่งขึ้นเราจะเข้าเมืองตั้งแต่เช้ามืดเพื่อจะได้ไปขายขนมเค้กที่ตลาดเช้า ในเวลานั้นพวกชาวเมืองเขาออกจากบ้านมาซื้อหาของกิน ผมเชื่อว่าขนมเค้กของเราในกระทงสวยๆ ต้องขายได้หมดแน่นอน”
“พ่อตะไบเล็บม้าและใส่เกือกให้มันแล้ว ทีนี้มันก็เดินได้คล่อง บรรทุกของหนักได้” อาฉ่าพูด เขาดูแลวัวสองตัวและเจ้าม้าหนุ่มอย่างดี
มื้อค่ำวันนั้นเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยอย่างอบอุ่น เมื่อกินอาหารเสร็จหมี่สามลุกขึ้นสำรวจในกระสอบข้าวสาลี เธอคิดคำนวณในใจว่าพรุ่งนี้เธอต้องโม่แป้งมากน้อยขนาดไหนเพื่อจะทำขนมเค้กหกถาด เธอต้องเลาะเปลือกถั่วคืนนี้ มีแอปเปิลเหลือเพียงสามลูก ถ้าอย่างนั้นเธอต้องซื้อเพิ่ม
เช้าวันต่อมา
หมี่โตและหมี่รองต่างพากันสะพายตะกร้าใส่หลังไปไร่เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นพอมีแสง พวกเธอต้องดูแลแปลงข้าวดอยที่กำลังออกรวง ยังอีกหลายวันกว่าข้าวจะสุกและเก็บเกี่ยวได้
หลังอาหารเช้าหมี่สามโม่แป้งสาลีเตรียมไว้เพื่อทำขนมเค้กหกถาด อาฉ่าเข้าป่าไปเกี่ยวหญ้ามาเลี้ยงวัว อาซึดูแลเดอเลอและทำงานบ้าน หมี่เล็กไปซักผ้าที่ลำห้วยและหิ้วน้ำมาเตรียมล้างภาชนะทั้งหลาย จากนั้นเธอรีบไปช่วยหมี่สามเตรียมข้าวของต่างๆ และขนจากครัวลงบันไดไปวางหน้าเตาอบ
อาลีขายของเสร็จแล้ว เขาจัดเตรียมวัตถุดิบและส่วนผสมต่างๆ สำหรับทำเค้กหกถาดที่จะนำลงจากดอยไปตอนเช้ามืดวันพรุ่งนี้ เขาคิดราคาขายไว้ที่ชิ้นละสิบเหรียญทองแดง หรือถาดละสิบเหรียญเงิน ซึ่งราคานี้รวมค่าขนส่งซึ่งก็คือแรงงานของเจ้าม้าหนุ่มที่อาฉ่าจะเป็นผู้รับไว้ อาลีกันเงินไว้สามเหรียญเงินเป็นค่ากระทงใบสวยของอาซึ ทุกคนจะมีรายได้จากการขายขนมเค้กในวันนี้
อาลีคิดในใจว่าหากพวกเขาขายขนมเค้กได้หมดหกถาด เขาและหมี่สามจะได้เงินคนละสามสิบเหรียญเงิน ซึ่งเมื่อหักต้นทุนวัตถุดิบและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ออกไปแล้วมันจะเหลือเป็นกำไรไม่มากนัก แต่ก็นับว่ายังดีกว่าอยู่เฉยๆ ขณะรอให้ช่างมาซ่อมรถ เขาเองจำเป็นต้องเตรียมเงินไว้สำหรับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน อาลีมองผ้าแพรพรรณต่างๆ ในรถบรรทุกและเลือกไว้ว่าวันพรุ่งนี้เขาจะเอาผืนไหนลงไปขาย เขาต้องมัดห่ออย่างดีและระวังไม่ให้มันเปรอะเปื้อน
ช่วงบ่ายหมี่สามและอาลีช่วยกันอบขนมเค้กหกถาดโดยมีหมี่เล็กเป็นผู้ช่วย หมี่สามเรียนรู้เทคนิคต่างๆ มากมายจากการมองดูอาลีทำ ส่วนอาซึก็เริ่มลงมือเย็บกระทงจากใบตองตึง เธอใช้ด้ายสีสวยเย็บขอบกระทงทุกใบอย่างประณีต กระทงหนึ่งร้อยยี่สิบใบวางเรียงซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบในตะกร้า ซึ่งถ้าขนมเค้กขายหมดเธอจะได้ค่าฝีมือหกเหรียญเงิน นับว่าคุ้มค่ากับการนั่งหลังขดหลังแข็งเย็บกระทงที่เธอเริ่มทำตั้งแต่เมื่อคืนนี้จนถึงช่วงบ่าย อาซึนึกถึงชะลอมไม้ไผ่สานที่เธอและลูกๆ เคยทำส่งขายในราคาใบละห้าเหรียญทองแดง ครั้งนั้นเธอมีเงินเก็บไว้จำนวนหนึ่งซึ่งค่อยๆ ทยอยใช้ไปได้หลายเดือน
เมื่อขนมเค้กทั้งหกถาดออกมาจากเตาอบแล้ว อาลีใช้ตะแกรงไม้ไผ่ปิดถาดแต่ละใบ เขาเรียงตั้งถาดทั้งหกซ้อนกันแล้วนำกลับไปเก็บในเตาที่มีขี้เถ้าร้อนโรยไว้โดยรอบเพื่อกันมดและแมลง
“พรุ่งนี้เราจะลงจากดอยก่อนสว่าง” อาฉ่าบอกหมี่สาม เขาและอาลีคุยกันไว้แล้วว่าจะจัดการเอาสิ่งของต่างๆ บรรทุกม้าไปอย่างไร
ค่ำวันนั้น
อาลีกินอาหารเสร็จก็กลับไปพักผ่อนที่รถ เขาจุดตะเกียงเล็กๆ และนั่งอ่านหนังสือสวดมนต์ ส่วนหมี่โตหยิบย่ามปักหกใบที่ตนทำไว้และหมี่รองหยิบกระเป๋าสตางค์ประดับลูกปัดยี่สิบใบห่อใส่ถุงผ้าเพื่อฝากหมี่สามช่วยขายให้ หมี่เล็กอยากตามไปช่วยหมี่สามขายของด้วย
“แล้วหมี่เล็กไม่อยากช่วยพี่สองคนทำไร่ให้เสร็จไวๆ หรือ อีกไม่นานเราจะต้องเกี่ยวข้าวกันแล้วนะ หากหมี่เล็กไม่ช่วย เราก็เสร็จงานช้า” หมี่รองถามน้องสาวคนเล็กที่นอนหงาย เธอยกหนังสือขึ้นดูภาพต่างๆ และพยายามจดจำรูปร่างตัวอักษรที่กำกับไว้
“ถ้าเราขายของได้เงินเยอะ เราก็มีเงินซื้อข้าวกินใช่ไหมจ๊ะ เราจะได้ไม่ต้องเหนื่อยทำไร่” หมี่เล็กถามพี่สาว
หมี่โตและหมี่รองเงียบไป หมี่สามที่เอนหลังเหยียดขาอย่างอ่อนล้าตอบคำถามหมี่เล็กแทนพี่สาวคนโต
“ทำของขาย หรือไปขายของก็ต้องเหนื่อยมากเหมือนกันนะ เรามีที่ดินปลูกข้าวกินเองก็ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อข้าวนะจ๊ะ"
หมี่เล็กยังเพ่งตาดูรูปภาพและตัวหนังสือจนม่อยหลับ