น้ำหอมยกแขนขึ้นดูตัวเลขบนนาฬิกาข้อมือของเธอแทบจะทุกสองนาทีเพราะว่าวันนี้เธอมีงานต้องไปทำความสะอาดคอนโดของลูกค้าประจำในเวลาสี่โมงเย็นและกลับไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปเป็นพีอาร์ที่ร้านประจำต่อในเวลาหนึ่งทุ่มตรง
แต่ตอนนี้บ่ายสามโมงยี่สิบนาทีเลยเวลาเลิกเรียนมาตั้งยี่สิบนาทีแล้ว อาจารย์ประจำวิชากลับไม่มีทีท่าว่าจะเลิกคลาสเสียที
“ไปก่อนมั้ย เดี๋ยวกูจดให้”
แพทเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของเพื่อนก็เดาได้ทันทีว่าน้ำหอมน่าจะแวะไปทำงานที่ไหนสักแห่งก่อนเข้าร้านประจำแน่นอน
“เออๆ น่าจะไม่เยอะแล้วกูฝากที”
ถ้าไม่ใช่เหตุจำเป็นเธอแทบจะไม่หนีเรียนเลยแต่นี่เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงกับการเดินทางไปคอนโดลูกค้าประจำที่อยู่ห่างกับมหาวิทยาลัยพอสมควร เธอจึงจำเป็นต้องออกก่อนเวลา
น้ำหอมรีบเก็บของใส่กระเป๋าแล้วค่อยๆ ย่องออกจากห้องเรียน ไม่เคยรู้สึกว่าทางเดินของอาคารเรียนสาขาการตลาดตรงไปยังลานจอดรถมันไกลเท่าวันนี้มาก่อนเลย
“ว๊าย!”
เพราะความรีบร้อนที่จะข้ามถนนทำให้เธอไม่ทันมองรถบิ๊กไบค์ที่กำลังขับผ่านมา น้ำหอมเสียหลักหงายหลังก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นมือข้างซ้ายที่ค้ำลงมีแผลถลอกเล็กน้อย
“อะ...โอ๊ย”
น้ำหอมค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นยืนพลางปัดมือและกระโปรงที่มีเศษดินเศษฝุ่นติดมาด้วย จะโทษรถบิ๊กไบค์คันนั้นก็ไม่ได้เพราะเธอเดินไม่ดูตาม้าตาเรือเองโชคดีแค่ไหนแล้วที่เขาไม่เสียหลักล้มไปด้วย ถ้าต้องชดเชยค่าซ่อมรถคันนั้นเธอต้องแย่แน่ๆ
“ทำไมไม่ดูรถ!”
รู้ตัวอีกทีเจ้าของรถบิ๊กไบค์คันนั้นก็เดินสวมหมวกกันน็อกใบใหญ่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว ด้วยความสูงหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรทำให้ศีรษะน้ำหอมสูงแค่ไหล่ของเขาเท่านั้นเองและเมื่อเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาผ่านช่องว่างของหมวกเธอก็จำได้ทันทีว่าคนตรงหน้าเป็นใคร
“ขอโทษนะคะ หอมรีบมากเลยไม่ทันได้ดูทางค่ะ”
น้ำหอมตอบกลับพร้อมยกมือไหว้เพราะเธอรู้สึกผิดจริงๆ แถมสายตาดุดันของเขาก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกกลัวเข้าไปใหญ่ คนอะไรชอบทำหน้าเหมือนยักษ์อยู่ตลอดเวลา
แทนไล่สายตามองไปตามร่างบางเพื่อสังเกตว่าเธอมีแผลตรงไหนหรือเปล่า โชคดีที่ตอนนี้อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยทำให้เขาไม่ได้ขับเร็วมากและหักหลบเธอได้ทัน ไม่งั้นคงจะเป็นเธอหรือเขานี่แหละที่นอนกลิ้งอยู่กลางถนน
“ขอโทษจริงๆ ค่ะ”
เมื่อไม่ได้รับคำตอบกลับจากคนตรงหน้า น้ำหอมจึงเอ่ยขอโทษอีกครั้งตอนนี้เธออยากจะออกไปจากมหาวิทยาลัยให้เร็วที่สุดเพราะกลัวว่าจะไปทำงานไม่ทัน
“อืม”
เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรมากแทนจึงตอบรับพลางพยักหน้ากลับไป ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าปากกาเจ้าปัญหาที่ทำให้เขาโดนเพื่อนแซวอยู่หลายวันยังเสียบอยู่ในกระเป๋าเสื้อช็อป
“ปากกาของเธอ”
มือหนาหยิบปากกาสีชมพูหวานแหววยื่นไปตรงหน้าเจ้าของที่ยังคงยืนมองปากกาด้วยความไม่เข้าใจ ผ่านมาตั้งหลายวันแล้วทำไมเขายังพกปากกาของเธอติดตัวอยู่อีก
“อ๋อ ขอบคุณนะคะที่เอามาคืน”
น้ำหอมยื่นมือไปรับปากกามาเก็บใส่กระเป๋าพลางส่งยิ้มให้คนตรงหน้าเพื่อหวังจะผูกมิตร เจอกันครั้งแรกเธอก็ไปรบกวนการนอนของเขา มาเจอกันครั้งที่สองเธอเกือบทำให้เขาเกิดอุบัติเหตุอีก ถ้าเขาจะชอบทำหน้ายักษ์ใส่เธอก็คงจะไม่แปลกหรอก
แทนไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เขายกมือขึ้นปิดกระจกตรงหมวกกันน็อกก่อนจะหันหลังเดินกลับไปที่รถบิ๊กไบค์ของตัวเอง
“พี่ชื่ออะไรเหรอคะ”
ขาแกร่งชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามจากคนข้างหลัง เขาหันกลับไปมองเธออีกครั้งก่อนจะเปิดกระจกหมวกกันน็อกขึ้น
“ทำไม”
เอ่อ....นั่นสิ จู่ๆ เธอก็ถามชื่อของเขาออกไปทำไมกัน เวลาที่อยู่ต่อหน้าเขาน้ำหอมรู้สึกว่าเธอกำลังไม่เป็นตัวของตัวเองเลย
“ก็ทำความรู้จักกันไว้ไงคะ^^ ไหนๆ ก็มีเรียนคลาสเดียวกันแล้ว หนูชื่อน้ำหอมนะคะ”
น้ำหอมแนะนำตัวก่อนจะส่งยิ้มหวานไปให้คนตรงหน้าที่ยังคงยืนมองเธอนิ่ง เขามีปัญหาเรื่องการแสดงออกทางอารมณ์หรือเปล่านะ อยากรู้จังเวลาเขาดีใจ เสียใจ ตกใจหรือสนุกสนานหน้าเขายังคงนิ่งแบบนี้อยู่หรือเปล่า
“แทน”
เขาตอบกลับไปแค่นั้นพลางยกมือขึ้นปิดกระจกหมวกกันน็อกอีกครั้งแล้ววาดวงขาขึ้นคร่อมบนรถบิ๊กไบค์ของตัวเอง
น้ำหอมยกแขนขึ้นมาดูเวลาก่อนจะอุทานด้วยความตกใจนี่เธอเสียเวลายืนอยู่ตรงนี้ไปอีกสิบนาทีแล้วเหรอเนี้ย ตายแน่ๆ สงสัยจะต้องสวมวิญญาณเด็กแว้นรีบซิ่งรถมอเตอร์ไซค์ Honda click คู่ใจไปคอนโดลูกค้าแล้วล่ะ
••××××ו•
“น้ำหอมมมม~”
เสียงเรียกที่ดังมาจากข้างหลังทำให้ขาของสามสาวชะงักไปทันที คนที่ดูจะตกใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้นเจ้าของชื่อที่โดนเรียกนั่นแหละ
“เดี๋ยวพวกกูไปรอที่โรงอาหารนะ”
“เดี๋ยว...!”
แพทคว้าข้อมือของอิ่มเดินหนีไปที่โรงอาหารทันที น้ำหอมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหันหน้ากลับไปหาเจ้าของเสียงที่เธอจำได้ดีว่าเป็นใคร
“หอมไม่ว่างจริงๆ ค่ะพี่เฟิร์น”
น้ำหอมรีบปฏิเสธออกไปพลางทำตาละห้อยโดยไม่รอให้เฟิร์นตั้งคำถามเพราะตั้งแต่เปิดเทอมมาเรื่องเดียวที่รุ่นพี่คนนี้ตามตื้อเธออยู่คือการขอให้เธอไปเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของสาขา
“พี่ไม่ได้จะมาพูดเรื่องนั้น”
“อ้าว! แล้วพี่เฟิร์นมีไรอ่ะ”
แม้จะรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่งแต่น้ำหอมก็ยังไม่ไว้ใจเพราะกลัวจะเป็นการขอให้เธอไปทำอย่างอื่นอีก ความจริงเธอไม่ได้อยากจะปฏิเสธรุ่นพี่เลยอะไรที่ช่วยได้เธอก็อยากช่วยแต่ตอนนี้แค่เวลานอนของเธอก็ยังไม่ค่อยจะพอเลยด้วยซ้ำ
“แกไปทำความผิดอะไรมาล่ะ”
“ห๊ะ? หอมเนี้ยนะ”
“ใช่! มีคนบอกพี่ว่าแกเอารุ่นพี่ไปแอบอ้างในทางที่ผิด”
สีหน้าจริงจังของเฟิร์นเล่นเอาน้ำหอมเหงื่อตก ในแต่ละวันเธอแทบจะไม่ได้คุยกับใครเลยรีบมาเรียนแล้วก็รีบไปทำงานและก็คิดว่าตัวเองไม่น่าจะไปทำอะไรให้ใครรู้สึกไม่ชอบใจจนต้องมาใส่ร้ายเธอแบบนี้
“หอมไม่เคยเอารุ่นพี่ไปแอบอ้างอะไรเลยนะคะ พี่เฟิร์นก็รู้ว่าหอมเป็นคนยังไง ใครมาบอกพี่เฟิร์นเหรอคะ”
“ฮ่าๆๆๆ โอเคๆ ไม่แกล้งแล้วก็ได้”
ท่าทางร้อนใจของน้ำหอมทำให้เฟิร์นหลุดหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู นี่ขนาดเป็นผู้หญิงด้วยกันเธอยังมองว่าน้ำหอมน่ารักน่ามองตลอดเวลาขนาดนี้ ไม่แปลกเลยถ้าผู้ชายที่ไม่เคยชายตามองผู้หญิงคนไหนอย่างแทนจะชอบ
“พี่เฟิร์นแกล้งหอมเพื่อ...”
น้ำหอมถอนหายใจออกมาพลางทำหน้าโอดครวญ มือเรียวยกขึ้นลูบที่หน้าอกข้างซ้ายเบาๆ ราวกับกำลังปลอบหัวใจที่เต้นแรงของตัวเองอยู่
“ฮ่าๆๆ ก็หอมไปบอกหนุ่มวิศวะฯเอาไว้นี่ว่ารุ่นพี่หวงมากถ้าอยากรู้ชื่อให้ไปถามจากรุ่นพี่ในสาขา”
OoO!!
ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นกว่าเดิม อย่าบอกนะว่ารุ่นพี่คนนั้นเขารู้จักกับพี่เฟิร์นแล้วมาถามชื่อเธอกับพี่เฟิร์นไปแล้ว แต่เธอบอกเขาว่าเธอเรียนสาขาการบัญชีนะ ทำไมเขาถึงตามหาเธอได้ง่ายจัง
“เขาเป็นเพื่อนพี่เฟิร์นเหรอคะ”
“ใช่! เขาเป็นเพื่อนพี่แล้วแฟนพี่ก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย”
ตายๆๆๆๆๆ
อะไรจะบังเอิญขนาดนี้อุตส่าห์อ้างรุ่นพี่ไปแล้วเชียวแต่พวกเขาดันเป็นเพื่อนกับพี่เฟิร์นเสียอย่างนั้น
“แล้วพี่ก็บอกชื่อให้เบอร์ ให้ไลน์ ให้เฟสหอมไปแล้วด้วย”
“พี่เฟิร์นนนนนน~”
น้ำหอมแทบอยากจะกรีดร้องออกมาให้ดังก้องมหาวิทยาลัยไปเลย อุตส่าห์ได้รู้จักชื่อพี่แทนแล้วเชียวถ้าเป็นแบบนี้เขาคงไม่ยอมคุยกับเธอแน่
“ก็หอมบอกว่าให้ไปขอจากรุ่นพี่ได้เลย”
“หอมไม่รู้ว่าเขารู้จักพี่เฟิร์นอ่ะ แล้วหอมก็ไม่ได้ชอบเขาด้วย”
น้ำหอมพูดความรู้สึกของตัวเองออกไปตามตรง ถึงพี่คนที่มาขอเบอร์เธอจะหล่อ สูง ขาว หน้าตาดีตามพิมพ์นิยมแต่เธอไม่ได้ชอบ ไม่ได้รู้สึกอยากจะคุยด้วย
“ก็ลองคุยๆ ดูก่อนแกก็ไม่มีแฟนไม่ใช่เหรอ อีกอย่างถึงแทนเขาจะหน้านิ่งๆ เงียบๆ หน่อยแต่เขานิสัยดีนะเว้ย”
“มะ...เมื่อกี้พี่เฟิร์นพูดชื่อใครนะ”