บทที่ 08 จะไหวเหรอ?

1950 คำ
"ใจเย็นๆ เป็นอะไรเนี่ย" "เอาใบนี้ ใบนี้ ใบนี้ แล้วก็ใบนี้ จัดการให้ด้วยค่ะ" ฉันจัดการใช้ปลายนิ้วชี้ไปทางกระเป๋าหรูที่กำลังตั้งโชว์เกือบห้าใบ คนข้างๆ ฉันหันมามองด้วยดวงตาที่ตกตะลึง เพราะราคาของมันเหยียบเจ็ดหลักต้นๆ เกือบทุกใบ แต่ตอนนี้ฉันไม่คิดจะสนใจ แค่อยากซื้อมันทุกอย่างเพื่อให้หายอาการหงุดหงิดในตอนนี้ให้หมดเลย "ยัยลินพอก่อน" "ไม่พอเจ๊ ไปร้านอื่นกัน" "พอเลย นั้นเงินไม่ใช่เศษกระดาษ ตั้งสติค่ะ" มือบางดึงมือฉันไว้แล้วกลอกตาใส่ คนที่ฉันตามมาให้ช็อปด้วยคือน้ำฝนหรืออีเจ๊ เป็นรุ่นพี่กว่าฉันสองปีแต่เรากลับสนิทกันมากเพราะพวกเราเจอกันอยู่บ่อยๆ เจอกันมาตั้งแต่เด็กเพราะปาป๊าและหม่ามี้เราสองคนสนิทกัน อีเจ๊จึงกลายเป็นเพื่อนฉันไปโดยปริยาย ฉันมีเพื่อนไม่เยอะหรอกเพราะคนที่เข้ามาล้วนแต่ต้องถูกกรองไว้หมด วิถีลูกมาเฟียลำบากกว่าที่คิดมากเลยแหละ "ฉันหงุดหงิด หงุดหงิดจนอยากฆ่าคน" ฉันกัดฟันกรอด ยิ่งนึกถึงใบหน้าของตาบ้านั้นความร้อนรุ่มก็ยิ่งทวีเพิ่มเรื่อยๆ "ไปนั่งกินบิงซูให้ใจเย็นก่อน ฉันว่าถ้ายังเดินต่อแบบนี้แกคงจะเหมาหมดห้าง" สุดท้ายฉันก็โดนเจ๊น้ำฝนลากไปร้านของหวานเจ้าประจำของนาง จัดการสั่งทุกอย่างเรียบร้อยฉันก็ยังกอดอกมองออกไปนอกร้านอย่างหงุดหงิดไม่หาย "ไหนเล่ามา เป็นอะไรคะยัยคุณหนู?" "เจ๊! ฉันเจอไอโรคจิตนั้นอีกแล้ว มันกลับมาอีกแล้วฉันต้องทำยังไงดี" ฉันรีบร้อนบอกกับเจ๊น้ำฝนด้วยความร้อนรนใจ "เดี๋ยว…ไอโรคจิตไหน?" "ไอบ้านั้นที่ฉันเคยเล่าให้ฟังไง ที่มันวางยาฉัน!" "อ๋อ…ที่แกเคยเล่าว่าครั้งแรกของแกก็ลีลาดีใหญ่ห้าแปดเลยอ่ะนะ" "อีเจ๊!" "เอ้า...แล้วไม่ใช่เหรอ?" "เจ๊ควรโฟกัสที่เขาวางยาฉันมากกว่าขนาดเขาไหม?" "ก็ตอนนั้นแกเล่าให้ฉันฟังแบบนี้อ่ะ แกยังบอกอยู่เลยว่าแกไม่เคยลืมรสชาติความฟินของคืนนั้นเลย" "โอ๊ยอีเจ๊พอ! ฉันไม่เคยพูด" "แกพูด!" "เออพูดก็พูด แต่ตอนนี้เจ๊ช่วยสนใจที่ฉันบอกว่าฉันเจอเขาก่อนไหม? ห่วงน้องก่อน…" "เจอที่ไหน อะไร ยังไง?" "เจอที่บริษัท บอร์ดบริหารคนใหม่" "หน้าตาเป็นยังไง หล่อไหม?" "กะ ก็…" ฉันเริ่มอึกอัก "เว้นช่วงแบบนี้เขาหล่อใช่ไหม อย่าบอกนะว่าจากที่เกลียดเขาพอเห็นหน้าแกก็ชอบน่ะ" "จะบ้าเหรอเจ๊ ไอหล่อก็หล่อนั้นแหละ เจ๊ก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าฉันหงุดหงิดเพราะเขาแค่ไหน คิดได้ไงว่าฉันจะไปชอบคนโรคจิตแบบนั้น" "ทำไม…เขาหื่นใส่แกอีกแล้วเหรอ?" "มาก! เขาบุกเข้ามาในห้องฉัน แถมยังบอกว่าให้ฉันเตรียมตัวเป็นผู้หญิงของเขาอีก โรคจิต…หน้าตาก็ดีแต่ไม่มีปัญญาไปจีบผู้หญิง เป็นแต่ขืนใจเขา!" "หึ้ย…หน้ากลัวอะ แล้วแกจะทำยังไง มันเริ่มไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วนะยัยลิน ถ้าถึงขนาดที่เขารู้จักแกขนาดนี้ฉันว่าเขาไม่ธรรมดานะ" "ฉันถึงได้หงุดหงิดแบบนี้ไง ให้การ์ดจัดการก็ไม่ได้ ฉันต้องอยู่ให้เงียบที่สุดไม่อย่างนั้นปาป๊ารู้เรื่องที่ฉันไปเป็นดีเจแน่" "ซวยของจริง" เจ๊น้ำฝนพึมพำพร้อมกับมองหน้าฉัน เราสองคนนั่งเครียดไม่ต่างกัน จนกระทั่ง… "ฉันนึกออกแล้ว มีอีกคนที่ช่วยแกได้" อีเจ๊ฉีกยิ้มอย่างมีความหวังใส่ฉัน ทำเอาฉันตื่นเต้นรีบยื่นหน้าเข้าไปรับฟังทันที "ใครอะเจ๊?" "น้องแกไง ไลก้าน่ะ" ความตื่นเต้นหายวับราวกับไม่เคยเกิดขึ้น คราวแรกฉันคิดว่ามันจะสร้างสรรค์กว่านี้นะ ฉันผิดเองที่คาดหวังกับพี่สาวตัวเองมากเกินไป "ไลก้ายิ่งห้ามรู้เด็ดขาด!" "ทำไม...ไลก้าก็เปิดทางให้แกเป็นอลิซเต็มที่นี่หนา" "เจ๊ลืมไปแล้วเหรอว่าน้องชายฉันเลือดร้อนแค่ไหน ถ้าไลก้ารู้ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ" "จริงด้วย...และอาจจะไปถึงหูลุงไลอ้อน และแกก็จะไม่ได้เป็นอลิซอีก" สุดท้ายฉันก็ต้องถอนหายใจเฮือกเช่นเดิม ไลก้ารู้เรื่องดีเจอลิซที่เป็นอีกตัวตนของฉัน แต่เรื่องที่ฉันถูกขืนใจฉันไม่เคยบอก เพราะถ้าน้องรู้แน่นอนว่าไลก้าไม่ยอมปล่อยผ่าน และไม่ยอมให้ฉันเป็นดีเจอีกต่อไปแน่ "เรื่องนี้ไลก้าต้องห้ามรู้" ฉันเอ่ยเสียงแข็ง การได้เป็นอลิซเป็นอีกหนึ่งความสุขของฉัน ทุกวันนี้ฉันก็ยังแอบทำบ้างในวันที่เครียดมากๆ ฉันจะระบายลงกับเสียงเพลงที่พลอยทำให้คนอื่นมีความสุขตาม และถ้าวันหนึ่งฉันจะไม่ได้เป็นมันอีก ชีวิตของฉันคงไม่มีความสุขแน่ๆ "แล้วจะเอายังไง?" "ฉันจะจัดการด้วยตัวเอง ยังไงรอบนี้ฉันจะไม่ยอมให้ไอบ้านั้นทำอะไรฉันได้อีกเด็ดขาด" "จะไหวเหรอ?" เจ๊น้ำฝนถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง "คนอย่างลิลินไหวแน่นอน" "ฉันหมายถึงห้าสิบแปดน่ะ แกจะไหวใช่ไหม?" "อีเจ๊!" "ฮ่าๆ" เจ๊น้ำฝนหัวเราะชอบใจ ถึงจะช่วยอะไรไม่มากแต่อย่างน้อยได้มีคนให้ระบายและรับฟังก็ยังดี เช้าวันต่อมา "ทีมสำรองมาถึงแล้วค่ะ ให้เข้ามาเลยไหมคะ?" "เข้ามาเลยก็ได้ค่ะ" "เอ่อ…มาพร้อมกับคุณฟินซ์เลยค่ะ" "มาอีกแล้วเหรอ จะมาอะไรนักหนา" ความอารมณ์ดีของฉันหายไปในพริบตาที่ได้ยินชื่อของไอโรคจิตที่ฉันไม่อยากเจอมากที่สุด พี่ตาลยืนทำหน้าลังเลใส่ฉันอย่างหนัก จนฉันที่กำลังอารมณ์เสียรีบเงยหน้าขึ้นตอบ "ให้เข้ามาพร้อมกันเลยค่ะ" ยังไงฉันก็ไม่ได้อยู่กับเขาในห้องแค่สองคน ยังมีทีมงานที่จะคุยเรื่องโครงสร้างอยู่ด้วย เขาคงไม่กล้าพูดเรื่องนั้นหรือทำอะไรฉันได้หรอก "สวัสดีครับผมมาจากทีมงานสำรองที่คุณต้นตาลติดต่อไปครับ" "ทราบแล้วค่ะ เชิญนั่งเลยค่ะ" ฉันยิ้มตอบพนักงานชายในบริษัทที่กำลังยืนแนะนำตัวพร้อมกับทีมงานอีกสองคน ในขณะที่คนที่ฉันไม่อยากพบหน้ากลับไม่มีแม้แต่รอยยิ้มคำทักทายแถมยังนั่งลงโดยที่ฉันไม่ได้เอ่ยปากเชิญอีก "ไร้มารยาท" ฉันพึมพำเบาๆ พร้อมกับเบะปากใส่ ก่อนที่จะลงไปนั่งตรงโซฟาในห้องที่พร้อมจะประชุมเรื่องโปรเจ็คใหญ่ "คุณลินว่าอะไรนะครับ" หนึ่งในทีมพูดขึ้นเพราะได้ยินที่ฉันพูดไม่ชัด "อ๋อ…เปล่าค่ะ เราเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ" "ครับ" "ลินอยากได้โปรดักส์ที่มันทันสมัย แพ็คเกจเรียบหรูแต่ยังคงความมินิมอลตะ…" "มีแต่ความอยากได้ แต่ไม่สำรวจตลาด" ฉันที่กำลังร่ายยาวอธิบายความต้องการชะงักเมื่ออยู่ๆ เสียงทุ้มก็พูดขัดขึ้นกลางวงประชุม จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตาโรคจิตบ้าที่นั่งข้างๆ ฉัน พูดขัดเหมือนในห้องประชุมใหญ่วันนั้น แถมสายตายังคงดูถูกความสามารถของฉันเหมือนเดิม ฉันถอนหายใจยาวๆ หนึ่งครั้งเพื่อตั้งสติ ปั้นหน้าฝืนยิ้มไว้ ก่อนที่จะหันกลับมาตอบเขาด้วยความใจเย็นที่มีอันน้อยนิด "ถ้าไม่มีข้อมูลฉันคงไม่พูดหรอกค่ะคุณบอร์ดบริหาร" "ถ้ามีข้อมูลก็น่าจะรู้ว่าสินค้าพวกนั้นมันล้นตลาดแล้ว บางตัวยอดขายเจ๊งไม่เป็นท่า" เขาตอบฉันเสียงเรียบท่าทางน่าหมั่นไส้จนฉันแทบอยากจะกระโจนเข้าใส่ ทุกสายตาของทีมงานหันมามองที่เราสองคนโดยที่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร เม้มปากแน่นเกรงกลัวต่อสายตาของฉันและเขาที่พร้อมจะวางมวยกันเสมอ "แต่ตัวที่ขายดีที่สุดก็ประมาณนี้นี่คะ ถ้าคุณไม่มองโลกในแง่ร้ายหรืออคติกับความคิดของฉันคุณก็จะเห็นว่าสินค้าประมาณนี้ในช่วงนี้ได้รับผลตอบรับที่ดีมากๆ" "ผมไม่เคยใช้ความรู้สึกส่วนตัวมาตัดสิน งานก็คืองาน" "แต่ตอนนี้คุณกำลังใช้ความรู้สึกส่วนตัวมาตัดสินว่าความคิดของฉันมันไม่เข้าท่า" "ผมมองภาพรวม" "ไม่จริง คุณกำลัง…" "เอ่อ…คุณลินคะ" สุดท้ายเหมือนพี่ตาลจะทนต่อเสียงทะเลาะของฉันและคุณฟินซ์ไม่ไหว รีบพูดขัดขึ้นพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ เพื่อให้ฉันตั้งสติ ก่อนที่จะส่งสายตาให้ฉันปรายตามองทีมงานอีกสามคนที่กำลังนั่งมองการตัดสินใจของฉันเงียบๆ และเริ่มเกร็งเมื่อมีความเห็นที่ไม่ลงตัว "คุณรู้เกี่ยวกับตลาดได้แม่นที่สุด ความคิดเห็นคุณเป็นยังไง" สุดท้ายฉันก็ต้องหาจุดตรงกลางของความคิด หันไปถามหัวหน้าทีมงานที่นั่งอยู่ ทำเอาเขาชะงักไม่กล้าตอบคำถามทันที "พูดมาเถอะค่ะ ฉันพร้อมรับฟัง" "เอ่อ…ที่ทางคุณฟินซ์พูดก็มีเหตุผลครับ ถึงแม้สินค้าจะได้รับการตอบรับที่ดี แต่มันก็ล้นตลาดและซ้ำซากมากเหมือนกันครับ" ฉันถอนหายใจแล้วปรายตามองนายฟินซ์ ก่อนที่จะเห็นว่าเขายังทำหน้านิ่งเช่นเดิม ไม่แสดงอารมณ์ออกมาแต่ฉันก็พอรู้ว่าเขาต้องสะใจที่ความคิดเห็นของเขาดีกว่าของฉันแน่ๆ "เขาเลือกของคุณนี่ ลองเสนอมาสิคะ" สุดท้ายฉันก็หันไปบอกเขา ถึงจะไม่พอใจในคำตอบมากนักแต่ก็ต้องเปิดใจรับฟังความคิดเห็นเพื่อบริษัท สองเสียงมาถึงขนาดนี้ฉันก็คงจะทำอะไรไม่ได้ การประชุมดำเนินไปอย่างยากลำบาก ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงวาระการประชุมในวันนี้ก็จบลง โดยที่มีฉันและคุณฟินซ์เถียงกันไปแล้วเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม แค่ฉันอ้าปากเขาก็พร้อมขัดขาฉันทุกเรื่อง หาจุดบกพร่องของฉันอยู่นั้น อยากจะบ้า…นี่พึ่งเริ่มต้นก็ไม่ลงรอยกันขนาดนี้ ฉันว่าสักวันฉันคงได้หยิบมีดมาปาดคอนายนี่ทิ้งแน่ "ขอบคุณสำหรับวันนี้ค่ะ เลิกประชุมได้" "ครับ สวัสดีครับคุณลิน" ว่าจบทีมงานสามคนก็เดินออกไปจากห้องโดยที่มีพี่ตาลเดินไปส่ง แต่ที่แปลกใจคือนายฟินซ์ยังนั่งในห้องเหมือนเดิมไม่ไปไหน ทำทีท่าว่ากำลังเก็บของจนฉันยืนมองการกระทำของเขา "ประชุมเสร็จแล้วก็รีบออกไปสิคะ" "ฉันไม่รีบ" ขณะที่ฉันออกปากไล่เขายังเงยหน้ามาเหยียดยิ้มใส่อยู่เลย นายนี่ต้องบ้าจริงๆ แล้วแน่ "แต่ฉันรีบ!" "พึ่งจะได้คุยแค่เรื่องงาน แต่เรื่องของเรายังไม่ได้คุยกันเลย เธอจะรีบไปไหนกัน" "เรื่องของเราอะไรของนาย!" ฉันรีบถอยหลังกรูเมื่อได้เห็นสายตาแพรวพราวที่กำลังไล่มองเรือนร่างของฉันอย่างแทะโลม "ลืมไปแล้วเหรอว่าก่อนหน้านี้ฉันพูดไปว่าอะไร" "นี่คุณออกไปจากห้องฉันเลยนะ" "วันนี้ฉันต้องได้ในสิ่งที่ฉันอยากได้ :)"
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม