"ได้เวลาประชุมแล้วค่ะคุณลิน" พี่ตาลเดินเข้ามาพร้อมกับรายงานในมืออีกครั้ง ทันทีที่ได้ยินดังนั้นฉันก็ถูมือตัวเองอย่างประหม่า ก่อนที่จะค่อยๆ ลุกจากเก้าอี้รองผู้บริหาร แล้วค่อยๆ เดินออกไปยังห้องประชุมใหญ่ด้วยจิตใจที่ล่องลอยไม่เป็นตัวของตัวเองที่สุด
"แฟ้มประชุมค่ะคุณลิน"
"อ อ๋อ…ลินลืมค่ะ" ฉันชะงักแล้วหันมายิ้มแห้งใส่พี่ตาล หยิบแฟ้มจากมือเลขาที่หยิบให้บนโต๊ะแล้วถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่
"คุณลินเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ยังไม่หายแฮงค์เหรอคะ ให้ตาลหาอะไรร้อนๆ ให้ทานก่อนไหม?" ตอนนี้อาการเมาแฮงค์ค้างคืนของฉันหายไปแล้ว แต่เพราะวาระการประชุมครั้งนี้ยิ่งใหญ่มาก แกนหลักอยู่ที่ฉัน ความประหม่าจึงมีเพิ่มขึ้น ไม่เคยได้รับแรงกดดันขนาดนี้มาก่อนเลย
"ไม่เป็นไรค่ะพี่ตาล ลินพร้อมแล้วค่ะ" ฉันพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเพิ่มเสริมความมั่นใจ ก่อนที่จะก้าวเท้าซ้ายออกจากห้องตัวเองด้วยเหตุผลที่ว่าขวาร้ายซ้ายดีเป็นที่ฮีลใจแล้วรีบเดินเข้าไปในประชุมที่มีป๊าและบอร์ดบริหารบางคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
"สวัสดีค่ะ" ฉันยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทุกท่านด้วยความนอบน้อม แล้วเดินไปนั่งด้านข้างผู้เป็นพ่อที่กำลังทำหน้าที่เป็นท่านประธานใหญ่กลางที่ประชุม รวบมือสองข้างเป็นระเบียบยืดหลังตรงวางมาดของรองผู้บริหารในทันที
"หายปวดหัวหรือยัง?" ชายวัยกลางคนที่ยังรูปร่างหน้าตาดีด้านข้างฉันรีบหันมาถาม ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน ปาป๊าสุดที่รักของฉันเอง สีหน้าและน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยออกมาจากดวงตาคู่คม เอ่ยถามเบาๆ พร้อมกับสายตาของความอ่อนโยนที่ปิดไว้ไม่มิดมองมาที่ฉัน
"หายแล้วค่ะ ตอนนี้สบายมาก" ฉันยิ้มกว้างตอบท่าน ใจจริงตอนนี้อยากเข้าไปกอดแน่นๆ เพื่อเพิ่มกำลังใจ แต่ต่อหน้าคนอื่นทั่วไปฉันจะแสดงทีท่าออดอ้อนเป็นเด็กให้คนอื่นเห็นความอ่อนแอของฉันไม่ได้
"เลิกประชุมเข้ามาหาป๊าที่ห้อง" ฉันพยักหน้าเข้าใจแล้วท่านก็หันหน้าตรงมามองบอร์ดบริหารคนอื่นๆ รอเวลาใกล้ประชุมในอีกห้านาที ซึ่งใจฉันก็ยังเต้นแรงอยู่ตลอดเวลาที่รอเวลามาถึง
ในขณะนั้นเอง…
ครืดดด!
บานประตูห้องประชุมใหญ่ถูกเปิดออกด้วยบอดี้การ์ดชุดดำบึกบึนหนึ่งคน ก่อนที่จะปรากฏตัวชายหนุ่มรูปร่างสูงนัยน์ตาสีฟ้าที่เดินเข้ามาท่าทางน่าเกรงขาม มีใบหน้าฟ้าประธานที่ทำเอาฉันปฏิเสธไม่ได้ว่าความหล่อเหลานั้นเรียกให้ฉันตกในห้วงของภวังค์ไม่สามารถละสายตาจากคนที่เข้ามาใหม่ได้เลย…
"ผมทำให้ทุกคนรอหรือเปล่าครับ?" ทันทีที่เขาเอ่ยปากคุยกับป๊าฉันก็เริ่มได้สติ หันกลับมามองทางข้างหน้าผละความสนใจออกแล้วตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองตามปกติ ทั้งที่ในใจอยากหวีดร้องให้กับความหล่อของเขาออกมาเต็มที
"ไม่เลยครับ ได้เวลาพอดี เชิญนั่งเถอะครับ"
"ครับ" เขารีบก้าวมานั่งในตำแหน่งของตัวเอง เก้าอี้ตรงข้ามฉันที่มีป้ายเขียนว่า 'MR. FINCE' บ่งบอกถึงชื่อของเขา ทำให้ฉันหลุดมองใบหน้าเขาอีกครั้ง
เหมือนความรู้สึกอะไรบางอย่างผุดขึ้น ทำให้ฉันจะเผลอมองเขานานเกินไป และคนตรงหน้าเริ่มรู้ตัว เพราะเขาเริ่มเหลือบมามองใบหน้าฉันกลับบ้าง คราวนี้ฉันจึงรีบอาศัยความไวเบือนหน้าหนีตีเนียนราวกับคนไม่ได้ตั้งใจจะมอง
มองซ้ายทีขวาที ยิ้มให้ประตูบ้าง หน้าต่างบ้างเพื่อความเนียนเฉไฉ แต่เชื่อไหมว่าเวลาผ่านไปหลายนาที พอหันกลับมาอีกทีเขาก็ยังมองฉันอยู่...เหมือนเดิม
ฉันไม่ได้คิดอะไรเลยนะ แค่อ่านชื่อเขาเฉยๆ และความรู้สึกบางอย่างที่ว่าก็ไม่ใช่ความเสน่หา แต่เพราะฉันคุ้นหน้าเขาต่างหาก เหมือนเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง เผลอนึกนานเกินไปจนไม่รู้ว่าเขาจะคิดว่าฉันแอบมองเขาอยู่หรือเปล่า…
"เอาล่ะครับ วันนี้ผมจะแนะนำบอร์ดบริหารคนใหม่อย่างเป็นทางการ มิสเตอร์ฟินซ์ครับ" เสียงปรบมือดังฮือฮาเมื่อป๊าแนะนำตัวเขาเสร็จสรรพ ทำให้เขาผละสายตาออกจากฉันแล้วลุกขึ้นยืนโค้งคำนับ ก่อนที่คนหน้านิ่งในตอนแรกจะยิ้มกว้างออกมาเพื่อเป็นการทักทายกับคนอื่นๆ แล้วกลับลงมานั่งเหมือนเดิม
มองฉันอีกแล้ว!
ใช่…ทันทีที่ลงมานั่งดังเดิมเขาก็ตวัดสายตามามองฉันอีกครั้ง แม้ฉันจะแสดงท่าทีว่าไม่ได้มองเขาแต่หางตาฉันก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังจดจ้องใบหน้าฉันตลอดเวลา ขณะที่ฉันกำลังพยายามตั้งใจฟังวาระประชุมโดยพยายามไม่สนใจสายตาคู่นั้นอีก
"งั้นผมจะไม่เสียเวลานะครับ โปรเจ็คใหญ่ต่อไปของไลอ้อนกรุ๊ปผมอยากจะส่งต่อให้ลูกสาวผมในฐานะของรองผู้บริหารเป็นคนจัดการดูแลทั้งหมด มีใครคัดค้านอะไรไหมครับ" ใจฉันเต้นแรงเมื่อตอนนี้ไม่ใช่แค่เขาที่กำลังจับจ้อง ทุกคนมองฉันเป็นตาเดียวทันทีที่หัวข้อนั้นพูดถึงฉัน ขณะที่ฉันได้แต่นั่งลุ้นทุกการเคลื่อนไหวว่าจะมีใครยกมือแสดงความคัดค้านกับประโยคบอกเล่าของปาป๊า แต่ก็ต้องยิ้มดีใจเมื่อภายในห้องประชุมตกอยู่ในความเงียบงัน นั้นจึงแสดงให้เห็นว่าทุกคนพร้อมใจที่จะให้ฉันดูแลโปรเจ็คใหญ่ที่นับว่าโปรเจ็คแรกสำหรับฉัน เรียกรอยยิ้มบนใบหน้าเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะผ่านช่วงเวลากดดันนี้ไปได้
"งั้นก็เอาตามนี้นะครับ" ป๊าฉันรีบสรุปแล้วเตรียมจะพูดต่อ
แต่แล้ว…
"เดี๋ยวครับ…" กลับมีหนึ่งคนที่ขัดขึ้นทำให้ฉันปรายตามามองพร้อมกับรอยยิ้มที่ค่อยๆ จางลงเรื่อยๆ เขาคือคนที่กำลังจ้องฉันอยู่ตลอดรวมไปถึงตอนนี้ และเวลานี้เขาก็กำลังยกมือคัดค้านประธานบริษัทอย่างพ่อฉัน แล้วตวัดสายตามองฉันจริงจัง
"ผมมีสิทธิ์ในการคัดค้านใช่ไหมครับ"
"ครับ" ป๊าฉันตอบ
"ผมไม่มั่นใจในเรื่องของประสิทธิภาพการทำงานและโปรดักส์ที่จะออกมา เท่าที่ผมรู้มา รองผู้บริหารเพิ่งได้รับตำแหน่งมาแค่หนึ่งปี มันเร็วเกินไปหรือเปล่าสำหรับโปรเจ็คใหญ่ที่จะใช้คนที่ประสบการณ์ไม่มากพอ หรือเรียกว่าอ่อนประสบการณ์เป็นคนรับผิดชอบ" เขาเอ่ยพูดกับป๊าแต่สายตากลับจดจ้องมาทางฉันตลอดเวลา มุมปากหนาเหยียดยิ้มตอนที่พูดราวกับกำลังดูถูกในความสามารถของฉันต่อหน้าคนอื่นๆ นับสิบ คำว่า 'อ่อนประสบการณ์' แล่นเข้ามาในโสตประสาทกึกก้องในหูเรียกน้ำโหในตัวฉันเป็นอย่างมาก
ตาบ้านี่กำลังดูถูกความสามารถของฉัน!
ความสงสัยของฉันถูกกระจ่างขึ้นทันที สายตาที่เขามองฉันในตอนแรกคงเป็นสายตาของคนที่เหยียดตัวว่าเหนือกว่าสินะ มันไม่ใช่ความพิศวาสอะไรเลยสักนิด
แต่ถึงจะใช่ฉันก็มั่นใจว่าฉันไม่เอาคนปากไม่ดีอย่างเขาแน่!
"ครับ…คุณฟินซ์มีสิทธิ์ออกความคิดเห็นเพราะเป็นหน้าที่ของบอร์ดบริหาร แต่ทุกอย่างมีเหตุมีผลและต้องมีทางแก้ แล้วทางแก้สำหรับคุณคืออะไรครับ"
"ทางแก้ของผมง่ายๆ ครับ เปลี่ยนคนทำ" ตาบ้านี่กล้าดียังไงมาตัดสินว่าฉันไม่เหมาะที่จะทำงานนี้ กล้าหักหน้าฉันกลางที่ประชุมทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้รู้จักฉันเลยด้วยซ้ำ ฉันทำงานที่นี่มาหนึ่งปีเต็ม ไม่เคยมีบอร์ดบริหารคนไหนกล้าว่าฉันขนาดนี้มาก่อน นับประสาอะไรกับคนที่เพิ่งเข้ามาทำงานหนึ่งวันแต่กลับขีดเส้นให้ค่าความสามารถของฉันต่ำต้อยขนาดนี้
ใครจะยอม!
"คนอื่นว่ายังไงครับ" ป๊าหันไปถามบอร์ดบริหารคนอื่นๆ ซึ่งทุกคนเงียบกริบอีกเช่นเคย ไม่มีใครคัดค้านแต่ก็ไม่มีใครแสดงออกว่าส่งเสริมที่จะอยู่ข้างฉันเลย
"ฉันดูแลโปรเจ็คมานักต่อนัก ถึงจะเป็นโปรเจ็คเล็กแต่ฉันก็ทำดีมาตลอด คุณเป็นบอร์ดคนใหม่กล้ามาตัดสินว่าฉันทำงานออกมาได้ไม่มีประสิทธิภาพได้ยังไงกัน!?" แต่แล้วสุดท้ายความอดทนของฉันก็ขาดผึ่ง กัดกรามแน่นแล้วจดจ้องเขาอย่างไม่วางตา ใครจะยอมให้คนอื่นมาให้ค่างานของตัวเองไม่ดีทั้งที่ยังไม่รู้ความจริง
ใครจะทนก็ทนไป แต่…ยัยลิลินจะไม่ทนอีกต่อไป
"ลิลิน" ป๊าหันมาส่ายหัวให้ฉันเพื่อเตือนสติ แน่นอนว่าแต่ตอนนี้ฉันไม่ได้ใช้อารมณ์ ฉันแค่อยากรู้ว่าเขาต้องการหาเรื่องฉันอยู่หรือเปล่า!?
ซึ่งเขาเหยียดยิ้มใส่ฉันเป็นคำตอบ!
ก่อนที่จะเอนตัวไปพิงเก้าอี้สบายๆ พร้อมกับเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่ฉันยิ่งไม่พอใจเข้าไปใหญ่
"ทำมาเยอะแต่ก็ไม่ได้แปลว่าทำมาดีนี่ครับ" ให้ตายเถอะ…ฉันอยากลุกไปบีบคอเขาให้หมดลมคามือซะเดี๋ยวนี้ แต่สิ่งที่กำลังรั้งฉันไว้ไม่ให้พุ่งไปหาเขาในตอนนี้คือหน้าป๊า ที่ฉันต้องอดทนเพราะการกระทำของฉันอาจจะส่งผลไปถึงป๊าได้
นี่คือสิ่งที่ฉันทำให้ป๊าได้มากที่สุดในตอนนี้
"ลิลินใจเย็นๆ"
"ค่ะ"
"งั้นเอาอย่างนี้ โปรเจ็คนี้จะถูกให้รองผู้บริหารทำเหมือนเดิม" ฉันยิ้มเยาะใส่เขาอย่างผู้ชนะ บอร์ดบริหารอย่างเขาจะทำอะไรได้ในเมื่อประธานบริษัทยังคงยกหน้าที่นั้นให้ฉันทำต่อเหมือนเดิม ใครจะไปรู้ความสามารถของฉันดีเท่าพ่อฉันอีกล่ะ
"แต่…" รอยยิ้มผู้ชนะหุบลงเมื่อป๊ายังพูดไม่จบ รีบหันขวับไปตั้งหน้าตั้งตารอสิ่งป๊าที่กำลังจะพูดต่อ หวังว่าประโยคต่อไปนี้จะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง…
"จะมีคุณฟินซ์เป็นที่ปรึกษาจนกว่าจะทำโปรเจ็คเสร็จ" เหมือนฟ้าผ่าตรงกลางใจ ผิดหวัง…ผิดหวังกับประโยคของป๊ามาก ฉันมองหน้าคนข้างๆ อย่างไม่เข้าใจ บอร์ดบริหารไม่ได้มีหน้าที่คอยให้คำปรึกษา เขาแค่ต้องตั้งตัวเป็นคณะกรรมการ คอยเตือนสติและมองความยั่งยืนของบริษัทเท่านั้น ทำไมฉันถึงต้องไปร่วมงานกับคนประเภทนี้ด้วย
ป๊ากำลังทำอะไรอยู่!?
แค่หน้าฉันก็แทบไม่อยากจะมองแล้ว จะให้ฉันมีเขาคอยเป็นที่ปรึกษาตลอดทั้งงานได้ยังไงกัน!?
"ผมยินดีครับ" เขารีบชิงตอบ
นายยินดี…แต่ฉันไม่!
"ท่านประธานคะ…"
"เข้าเรื่องต่อไปเลยนะครับ" ฉันยังไม่ทันที่จะพูด ป๊าก็รีบชิงเปลี่ยนเรื่องหนีทันที ฉันรู้ว่าป๊าได้ยินและรู้ว่าฉันกำลังจะพูดอะไร แต่ท่านเลือกที่จะเมินแล้วเข้าเรื่องวาระต่อไปโดยไม่สนฉันที่กำลังโมโหเลือดขึ้นหน้าอยากจะตบเขาให้เลือดกลบปากจนไม่มีแรงพูดอีกเลย
การประชุมดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยที่มีฉันคอยมองตาบ้านั้นด้วยสายตาอาฆาตแค้นตลอดเวลา ซึ่งเขาเองก็มองมาทางฉันเป็นระยะ บ้างที่เราสบตากันเขาก็เหยียดยิ้มใส่ บ้างเขาก็แกล้งเมินใส่ฉัน จนตลอดเวลาการประชุมฉันไม่ค่อยมีสมาธิเลย เพราะมัวแต่คิดหาทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราสองคนไม่มีอะไรเหมือนกันเลย แค่ความคิดก็ต่างกัน แล้วจะร่วมงานกันได้ยังไง?
เวลาผ่านไปประมาณสองชั่วโมงเต็มวาระของการประชุมในวันนี้ก็จบลงอย่างน่าเบื่อ
"งั้นสำหรับวันนี้ก็มีแค่นี้ ขอบคุณครับ" ป๊าฉันปิดการประชุมพร้อมกับลุกขึ้นยืน ก่อนที่จะเดินออกจากห้องประชุมเป็นคนแรกและตามด้วยบอร์ดบริหารคนอื่นๆ ที่เดินตาม
"พี่ตาลเคลียร์คิวสักหนึ่งชั่วโมงนะคะ ลินจะเข้าไปพบท่านประธานก่อน" ฉันเก็บแฟ้มต่างๆ พร้อมกับหันไปสั่งงานกับเลขาสาวสวย พี่ตาลพยักหน้าเข้าใจเราสองคนจึงรีบเก็บของแล้วเดินออกจากห้อง
กึก!
"ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะครับ" ฉันชะงักเท้ากึกแล้วปรายตามองไปทางมือหนาที่ยื่นมาหมายจะจับมือฉัน เขายืนดักรอฉันหน้าห้องพร้อมกับบอดี้การ์ดสองที่ขนาบข้าง
จะเป็นใครไปได้นอกจากตาบ้าคนนั้น
มิสเตอร์ฟินซ์!
"ฉันไม่ยินดี" ฉันตอกหน้าใส่เขาอย่างใส่อารมณ์ เป็นสิ่งเดียวที่ฉันอยากทำตลอดการประชุมคือระบายความโกรธใส่เขา เมื่อพอใจแล้วฉันก็เดินเบี่ยงหนีไปอีกทางโดยที่ไม่ได้สนใจจะจับมือเขาที่ยื่นมาเลยสักนิดเดียว
กล้ามาหักหน้าฉันกลางที่ประชุมคิดว่าฉันจะเสวนาด้วยอีกหรือไง
ปล่อยให้ยืนหน้าแตกตรงนั้นนั้นแหละ