ครืดดด ครืดดดดด ~
"อื้ออ น่ารำคาญ!" ฉันสบถออกมาเสียงดังพร้อมกับควานหาหมอนหนุนด้านข้างมาอุดหูไว้ ขณะที่ดวงตาก็ปิดสนิทไม่ยอมตื่นมารับสายที่กำลังกระหน่ำโทรเข้าเป็นมารรบกวนเวลานอนอันมีค่าในวันหยุดของฉัน
ครืดดดด ~
เสียงสั่นเครือดังขึ้นเป็นครั้งที่สองสามตามมาติดๆ ให้ตายเถอะ…จะให้ฉันตื่นให้ได้เลยใช่ไหม!?
ความหงุดหงิดรำคาญทำให้ฉันเอื้อมไปควานหาเสียงเจ้าปัญหาเพื่อต้องการรับสาย เมื่อโทรศัพท์มือถือเครื่องหรูเข้ามาอยู่ในมือฉันก็รีบเลื่อนกดรับโดยที่ไม่ได้สนใจจะมองว่าปลายสายที่โทรเข้ามานั้นเป็นใคร
"มีอะไร!" ฉันกรอกเสียงห้วนๆ ปนหงุดหงิดอย่างไม่พอใจใส่ปลายสาย มือบางก็คว้าผ้าห่มมาคุมโปงเพื่อนอนต้องการที่จะนอนต่อหลังจากที่คุยธุระเสร็จ
(ยังไม่ตื่นอีกเหรอ…ลิลิน)
ทันทีที่ได้ยินเสียงปลายสายตอบกลับมา ร่างกายฉันก็รีบดีดตัวเองขึ้นมานั่งแล้วเปิดเปลือกตาขึ้นเปลี่ยนเป็นคนละคน มือบางเลื่อนโทรศัพท์ที่กำลังแนบหูออกมาดู ก่อนที่จะเบิกตากว้างกับรายชื่อของคนที่โชว์หราบนหน้าจอโทรศัพท์ แล้วรีบนำกลับมาแนบหูอีกครั้ง
"เอ่อคือ…คือ…นะ หนูปวดหัวนิดหน่อยค่ะปาป๊า" ใช่แล้ว…คนที่โทรเข้ามาเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของฉันเอง ฉันรีบหาเหตุผลที่พอจะเป็นไปได้ บีบเสียงแล้วไอ 'แค่ก แค่ก' เพื่อให้สมจริงมากที่สุด ปาป๊าสิงห์หรือไลอ้อน ตำนานความดุโหดที่ทำให้คนอย่างฉันหายง่วงได้ในพริบตาเดียว
(ปวดหัวหรือตื่นสาย) พ่อยังไงก็คือพ่อ รู้ทันฉันทุกอย่างเสียจริง แต่คนอย่างลิลินไม่ยอมง่ายๆ หรอก ยังไงซะฉันก็ต้องเนียนโกหกเพื่อไม่ให้พ่อดุฉันได้แน่
"หนูปวดหัวจริงๆ ค่ะ เมื่อคืนทานยาไป ฤทธิ์ยาคงทำให้ตื่นสายค่ะ"
(เอาล่ะๆ ถึงจะเป็นวันหยุดแต่วันนี้เรามีงาน ไปทำงานได้หรือเปล่า วันนี้มีประชุมบอร์ดบริหาร ลูกไหวใช่ไหม?) เห็นไหมฉันบอกแล้วยังไงลิลินก็รอด ไม่ยอมรับซะอย่าง ไม่มีใครรู้หรอกว่าที่ฉันตื่นสายเพราะ…เมา!
"หนูไม่ลืมค่ะ สบายมากค่ะ ไม่เกินหนึ่งชั่วโมง หนูไปถึงแน่นอน"
(อืม…ขับรถดีๆ)
"หนูรักปาป๊านะ เจอกันที่ทำงานค่ะ"
ติ๊ด.
พ่อฉันน่ารักใช่ไหมล่ะ ถึงจะดุไปหน่อย แต่ก็ตามใจฉันเสียทุกอย่าง แต่ไม่ถึงกับที่สุดหรอก เพราะคนที่พ่อฉันตามใจและหวงมากที่สุดคือหม่ามี้ต่างหากล่ะ รายนั้นรักเมียยิ่งกว่าอะไรเลย…
หลังจากนินทาพ่อบังเกิดเกล้าเสร็จฉันก็รีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อให้ทันเวลาหนึ่งชั่วโมงที่เคลมไว้ วันนี้แต่งเบาๆ ไปทำงานด้วยชุดเดรสสีดำรัดรูปตามด้วยบอดี้สูทที่สวมทับ แต่งหน้าเบาๆ ก็รีบคว้ากุญแจรถมินิคู่ใจของตัวเองมาไว้ในมือ
ฉันเดินผิวปากอารมณ์ดีกดลิฟต์ลงชั้นล่างแม้จะมีอาการแฮงค์อยู่บ้าง แต่ก็ต้องคว่ำปากแล้วกรอกตาใส่ชายชุดดำสองคนที่กำลังยืนรอที่ล็อบบี้ล่างคอนโด
"วันนี้ฉันอยากขับรถไปเอง พี่ๆ ขับรถตามไปแล้วกันนะคะ"
"ครับคุณหนู" ชายชุดดำที่ว่าคือบอดี้การ์ดที่ปาป๊าส่งมาคุ้มกันฉัน ทันทีที่ฉันยื่นข้อเสนอว่าอยากออกมาอยู่คอนโด ปาป๊าที่แสนหวงลูกสาวคนเดียวแบบฉันก็ยื่นข้อเสนอว่าต้องมีการ์ดมาตามดูแล และคอนโดที่อยู่ก็ต้องเป็นคอนโดของที่บ้านเท่านั้น ฉันที่ปฏิเสธอยู่หลายครั้งแต่ปาป๊าก็ยื่นคำขาดว่าถ้าไม่อยากมีการ์ดก็ต้องอยู่บ้านกับท่านดังเดิม
สุดท้ายฉันก็ต่อต้านอะไรท่านไม่ได้ จำเป็นต้องมีบอดี้การ์ดคอยตามต้อยๆ ไปทุกที่ ถึงแม้ว่าฉันจะไปแค่บริษัทตัวเองก็ตาม
พี่การ์ดหนึ่งคนเปิดประตูรถฝั่งคนขับให้ฉัน ส่วนอีกคนก็วิ่งไปเอารถเพื่อที่จะขับตามฉัน ยืนรอให้ฉันเข้าไปนั่งแล้วขับออกไป เขาสองคนถึงจะขับตามฉันมา
"ขอบคุณค่ะ" ฉันเอ่ยพูดกับพี่เขาแล้วลงไปนั่งในรถ พี่การ์ดก้มหัวให้ฉันแล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถที่อีกคนที่ขับมารอก่อนแล้ว
ชีวิตประจำวันของฉันก็เป็นแบบนี้แหละ ฉันเห็นหน้าพี่บอดี้การ์ดสองคนนี้มากกว่าหน้าพ่อแม่และน้องชายตัวเองเสียอีก
รถมินิเริ่มขับออกไปจากหน้าคอนโดใจกลางเมือง วิ่งบนถนนเส้นหลัก ไม่นานฉันก็ขับมาถึงบริษัทยักใหญ่บริษัทหนึ่งก่อนเวลาเกือบสิบนาที
ใช่แล้วที่นี่คือบริษัทปาป๊า ฉันมีตำแหน่งรองประธานบริษัท ส่วนตำแหน่งประธานก็ยังคงคุณไลอ้อนหรือปาป๊าฉันเช่นเดิม
รถหรูเลี้ยวถอยเข้ามาจอดที่ลานจอดรถสำหรับผู้บริหาร ฉันจัดหน้าผมให้เข้าที่ดับรถเสร็จประตูก็ถูกเปิดออก จะใครอีกล่ะถ้าไม่ใช่บอดี้การ์ดที่ขับตามฉันมา ฉันแทบจะเป็นง่อยแล้วเพราะทุกอย่างพี่ชุดดำเป็นคนทำแทนหมดเลย
ถ้าป้อนข้าวให้ได้ ฉันคิดว่าพวกเขาคงจะทำให้แล้ว
"เฮ้อ…พวกพี่นี่ขยันจริงๆ เลย" ฉันถอนหายใจใส่พี่การ์ดแล้วเดินนำทั้งสองคนเข้ามาในบริษัท พนักงานที่เดินผ่านกันให้ควักพอเห็นฉันทุกคนก็พร้อมกันหยุดแล้วก้มหัวลง แรกๆ ฉันก็ไม่ค่อยชินกับความรู้สึกยิ่งใหญ่พวกนี้หรอก มีคนก้มหัวให้ตลอดทางแถมยังมีผู้ชายหน้าเข้มสองคนเดินตามประกบอีก แต่ตอนนี้ฉันเริ่มปลงแล้วล่ะ ฉันเริ่มปลงกับวิถีลูกมาเฟียแบบนี้แล้ว
"สวัสดีตอนเช้าค่ะคุณลิลิน" ทันทีที่ฉันเดินมาถึงหน้าห้องรองประธาน เลขาสาวที่อยู่หน้าห้องก็รีบลุกขึ้นแล้วก้มหัวทักทาย พี่การ์ดสองคนสลายตัวคนละฝั่ง ยืนเป็นหุ่นปั้นหน้าห้องทำงานของฉัน ส่วนฉันก็พยักหน้าใส่เลขาแล้วรีบเดินเข้าไปในห้องทันที
"อ๋อ…ลินขออะไรร้อนๆ มาเสิร์ฟหน่อยนะคะ เอาเข้ามาพร้อมกับตอนที่เข้ามารายงานก็ได้" ฉันหมุนตัวกลับมาบอกเลขาสาว พอพูดจบเธอพยักหน้าเข้าใจแล้วรีบเดินออกไปชงให้ทันที
ฉันรีบสับเท้าเดินเข้ามาในห้องทำงาน ก่อนที่จะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้แล้วนวดขมับเพื่อคลายอาการแฮงค์ เมื่อคืนไม่น่ารับปากไปดวลเหล้ากับอีเจ๊เลย ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ ต้องเข้าประชุมบอร์ดด้วยอาการมึนๆ งงๆ แบบนี้น่ะสิ
"ชาร้อนๆ แก้เมาแฮงค์ค่ะคุณลิน"
"ขอบคุณค่ะพี่ตาล รู้ใจลินจริงๆ" พี่ตาลคือชื่อของเลขาฉัน เราเข้ามาทำงานที่นี่พร้อมกัน เรียนรู้งานพร้อมกันทำให้ฉันสนิทและไว้ใจพี่ตาลมากกว่าใคร
"พี่จะพยายามแจงรายงานให้กระชับนะคะ คุณลินจะได้ไม่ต้องจำเยอะ"
"ตามนั้นเลยค่ะพี่ตาล เอาแค่ป๊าไม่ดุลินก็พอค่ะ"
"ได้ค่ะคุณลิน" ฉันยกชามาดื่มพร้อมกับนั่งฟังรายงานที่พี่ตาลกำลังพูดถึงเรื่องที่จะประชุมบอร์ดในวันนี้ พยายามตั้งสติแล้วฟังพี่ตาลทุกคำไม่ให้ขาดตกเพื่อไม่ให้โดนปาป๊าดุ จนเวลาผ่านไปสิบนาทีข้อมูลในรางานทั้งหมดก็เข้ามาฝังในหัวฉันเป็นที่เรียบร้อย
"คุณลินไม่เข้าใจตรงไหนถามตาลได้เลยนะคะ"
"เรื่องหลักๆ ของวันนี้ก็คือบริษัทมีโปรเจ็คใหญ่ที่ต้องทำ ซึ่งคนรับผิดชอบคือลินใช่ไหมคะ"
"ใช่ค่ะคุณลิน"
"ขอบคุณค่ะพี่ตาล"
"ยังมีอีกเรื่องในรายงานเมื่อกี้นะคะ"
"แฮะ…น่าจะจำไม่หมด พี่ตาลทวนอีกรอบได้ไหมคะ?"
"อีกเรื่องคือวันนี้มีบอร์ดบริหารคนใหม่ค่ะ ดีกรีนักลงทุนทั่วโลก มีอสังหาริมทรัพย์ในไทยนับไม่ถ้วน รวมไปถึงในเอเชีย แถมยังมีคนแย่งตัวเยอะมากๆ ค่ะ"
"เก่งขนาดนั้น ทำไมถึงมาเป็นแค่บอร์ดบริหารให้บริษัทเราล่ะคะ"
"ไม่ได้ระบุไว้ในข้อมูล แต่เห็นว่าคนนี้ท่านประธานรับรองด้วยตัวเองค่ะ"
"ถ้าประธานรับรองเอง ก็คงไม่ธรรมดาจริงๆ นั้นแหละค่ะ"